ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 613 วิถีโบราณ
บทที่ 613 วิถีโบราณ
ลู่หยวนติดตามเฟยซิงอ้อมผ่านด้านนอกและตอนกลางของเกาะสังหารเซียนไปยังส่วนลึกของดินแดน
ในตอนนี้สิ่งมีชีวิตลดลงอย่างมาก ไม่เพียงแต่สัตว์อสูรที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่ต้นไม้และใบหญ้าก็ลดลงไปไม่น้อย
แม้ว่าดินจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็ไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวา
เฟยซิงเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วก็สั่นเทิ้มเล็กน้อยดูเหมือนจะกลัวอยู่บ้าง
เดินต่อไปอีกราวสามจั้งก็จะถึงพื้นที่ภายในของเกาะสังหารเซียน!
หากรวมครั้งนี้ด้วยแล้วเขามาที่นี่เพียงสองครั้ง
ทั้งสองครั้ง เขารู้สึกเหมือนมีชีวิตเหลือเพียงครึ่งเดียวเมื่อก้าวเข้าไปในวังของเจ้าแห่งนรก
แม้ว่าจะไม่มีอันตรายใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม แต่ก็มีความรู้สึกถูกบีบคั้นเหมือนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย
“ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ ถึงแล้วขอรับ”
คนของลู่หยวนเองก็หยุดฝีเท้าตาม
ทุกคนต่างเงยหน้ามองไปยังด้านหน้า จากระยะไกลโพ้นพื้นที่กว้างใหญ่ แต่ไม่มีอะไรเลย
นี่คือส่วนลึกที่ว่ากันว่า ทำให้คนที่เคยก้าวเข้ามาในเกาะสังหารเซียนก่อนหน้านี้ ไม่กล้าเข้าใกล้อย่างนั้นหรือ?
ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายอะไรเลยนี่!
ฮ่วนซิงไป๋ขมวดคิ้ว มองลู่หยวนแล้วกล่าวขึ้นทันใด “ข้าจะลองดูเสียหน่อย”
พูดจบ ฮ่วนซิงไป๋ก็ยื่นมือขวาออกไป ดาบยาวปรากฏขึ้นในมือ ปราณดาบอันคมกริบพุ่งปราดเปรียวราวกับเปลวไฟพันจั้ง
นี่คือหนึ่งในดาบที่ฮ่วนซิงไป๋เก็บสะสมไว้ก่อนหน้านี้
ฮ่วนซิงไป๋ถือดาบฟาดฟันลงครั้งหนึ่ง แล้วดาบก็หลุดออกจากมือพุ่งทะยานไปไกล
ความว่างเปล่าถูกปราณดาบพุ่งปราดผ่านจนฉีกขาดสั่นสะเทือนไปทั่ว บุกตรงเข้าไปในดินแดนส่วนลึกของเกาะสังหารเซียน
หลังจากนั้นก็ถูกพลังบางอย่างยับยั้งไว้ทันที ก่อนมันจะส่งเสียงดังสนั่นแล้วแตกกระจายสลายหายไป
ฮ่วนซิงไป๋ยิ่งขมวดคิ้วแน่น เมื่อครู่ แม้ว่าดาบจะหลุดมือออกไปแต่ก็ยังคงรับพลังของเขาอยู่ จึงไม่เข้าใจว่าพลังที่ทำให้ดาบแตกละเอียดเช่นนี้มาจากที่ใด
“ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์”
ฮ่วนซิงไป๋ยังคงยืนตัวแข็งทื่อถือดาบ ท่าทางเหมือนไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ
“ไม่จำเป็นแล้ว”
ลู่หยวนเอ่ยขึ้น ห้ามฮ่วนซิงไป๋ไว้ “ระหว่างส่วนลึกด้านในกับตรงจุดนี้มีชั้นกำแพงกั้นที่ยากจะเปิดได้อยู่ กำแพงนี้เจ้ายังเปิดไม่ได้หรอก”
พูดจบ ลู่หยวนก็ขยับไปยังจุดเชื่อมต่อระหว่างตอนกลางกับด้านในในพริบตา
ที่นี่ดูธรรมดา ไม่มีความผิดปกติใด ๆ ปรากฏให้เห็นเลย แต่ในสายตาของลู่หยวนกลับมีกำแพงขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็น
กำแพงนั้นบดบังท้องฟ้า เหมือนปิศาจนรกผงาดอยู่ใต้ดวงอาทิตย์บดขยี้ดาบที่ฮ่วนซิงไป๋ส่งมาจนแตกละเอียด
แม้กระทั่งในขณะที่ลู่หยวนมองม่านกำบังก็ปะทะสายตากับลู่หยวนราวกับกำลังอวดอ้างความยิ่งใหญ่
ลู่หยวนไม่รู้จริง ๆ ว่าเหตุใดสิ่งนี้ถึงมีชีวิตชีวาถึงเพียงนี้ และมีพลังอะไรอยู่เบื้องหลังมันกันแน่
คมกระบี่ขนาดมหึมาก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในพื้นที่ว่างด้านหลังของลู่หยวน กระบี่ยักษ์ที่พอจะผ่าเกาะสังหารเซียนออกเป็นสองส่วนก็พลันปรากฏขึ้น ชี้ตรงไปยังด้านในของเกาะสังหารเซียน!
“กระบี่ ร่วงหล่น!”
พร้อมกับเสียงตะโกนของลู่หยวน คมกระบี่ขนาดมหึมาก็ฟาดลงมาทันที กดทับเข้าไปในด้านในของเกาะสังหารเซียน!
ครืน!
คมกระบี่นั้นเข้าไปยังพื้นที่ด้านในปะทะกับม่านกำบังขนาดใหญ่แล้วหยุดลงทันที คราวนี้ม่านกำบังไม่ได้ทำลายกระบี่เหมือนกับที่ทำลายดาบของฮ่วนซิงไป๋ได้ง่าย ๆ ใบหน้าที่คืบคลานขึ้นมาจากนรกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมราวกับต้องการผลักดันคมกระบี่ที่กดทับชั้นแล้วชั้นเล่าให้ถอยกลับไป
ลู่หยวนหัวเราะเย็นชา สองมือกดคมกระบี่ลงมาเบา ๆ ทำให้คมกระบี่บนท้องฟ้าก็เพิ่มพลังขึ้นตามไปด้วย ก่อนจะฟาดลงพื้นอย่างรุนแรง!
คราวนี้ม่านกำบังไม่มีความสามารถอะไรอีกแล้ว ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้ก็สลายหายไปจนหมด
ทุกคนเห็นคมกระบี่ที่ลู่หยวนก่อตัวขึ้นกดลงมา แต่หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกดต่อแล้วค่อย ๆ สลายไป
“้เรียบร้อย”
ลู่หยวนเอ่ยเบา ๆ แล้วก้าวออกไป ย่างก้าวต่อไป ก็มาถึงพื้นที่ด้านในแล้ว
คนที่เหลือเห็นดังนั้นก็รู้ว่าวิกฤตทั้งหมดถูกลู่หยวนจัดการแล้ว จึงตามเข้าไปทันที
เมื่อเข้าไปด้านใน ทุกคนต่างรู้สึกหนักอึ้งในใจ ที่นี่ไม่เหมือนภายนอกที่ดูเหมือนจะรกร้างว่างเปล่า แต่เป็นความเงียบสงัดที่ไม่อาจบรรยายได้
เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ตายแล้ว หมอกจาง ๆ ยังคงลอยล่องอยู่โดยรอบราวกับเป็นเส้นทางสู่นรกของมนุษย์
ทันใดนั้น ลู่หยวนก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่ง สายตาพลันเหลือบมองไปยังทิศทางหนึ่ง
กู้ชิงหรันเองก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ชักกระบี่ไท่อีในมือออกมาฉับพลัน ยืนขวางอยู่ตรงหน้าลู่หยวนดวงตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
“ใครอยู่ที่นั่น ออกมา!”
กู้ชิงหรันถือกระบี่ยืนอยู่ เจตจำนงกระบี่ของวิถีสวรรค์ปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่
สถานที่ที่ลู่หยวนจ้องมองไปนั้นเกิดเสียงดังลั่น ทุกคนต่างกำอาวุธไว้ในมือ มองอย่างพินิจพิเคราะห์ พลังวิญญาณวิ่งผ่านไปมาราวกับจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
ร่างเลือนรางปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกจาง ๆ จากระยะไกล
บุคคลผู้นี้มีใบหน้าธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ รองเท้ายิ่งขาดวิ่นไม่เป็นชิ้นดี
ถึงแม้จะแต่งกายเช่นนี้ แต่เอวของเขาก็ยังยืดตรง ท่าทางสูงส่งไม่เหมือนคนธรรมดา
ลู่หยวนกวาดตามองตัวคนผู้นั้นหนึ่งรอบ แต่ก็ไม่พบอะไร ไม่เพียงแต่พลังการฝึกยุทธ์เท่านั้น แม้แต่การไหลเวียนของพลังปราณภายในร่างกายของคนผู้นั้นก็มองไม่เห็น
เขายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าลู่หยวน ส่วนกู้ชิงหรันกลับชะงักงัน ไม่นานสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อครู่ก็จางหายไป ถือกระบี่หันหลังกลับเอ่ยเสียงเบาว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็น วิถีโบราณ”
ลู่หยวนเลิกคิ้วเรื่องระหว่าง ‘วิถีโบราณ’ กับ ‘วิถีสวรรค์’ ลู่หยวนได้ยินมาบ้างแล้วจากกู้ชิงหรัน
เมื่อครู่ที่ซ่งชิงหายตัวไปอย่างกะทันหันลู่หยวนก็พอเข้าใจแล้วว่าวิถีสวรรค์พาตัวเขาไป แต่ไม่คิดว่าวิถีโบราณจะมาด้วย กระไรกัน มาชี้แจงเรื่องก่อนการต่อสู้อย่างนั้นหรือ?
ลู่หยวนเงยหน้ามองสบตากับคนผู้นั้น “วิถีโบราณ?”
คนผู้นั้นยิ้มมุมปาก “ใช่แล้ว ข้าผู้อาวุโสเอง”
“มาหาข้าด้วยเหตุใด?”
วิถีโบราณหัวเราะและตาหรี่จนเกือบเป็นเส้น “นี่ก็กำลังจะเริ่มต่อสู้แล้วไม่ใช่หรือ? ข้ามาเสริมบทเรียนให้เจ้าเสียหน่อย อย่างไรเสียระบบของเจ้าก็ใช้ไม่ค่อยได้แล้ว ใช่หรือไม่?…”
ลู่หยวนตาหรี่ลงเจตนาฆ่าแผ่ขยายไปทั่วร่างปกคลุมทั้งโลก
ระบบและการย้ายวิญญาณของลู่หยวนเป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดของลู่หยวน!
ผู้ที่ติดตามลู่หยวนมาต่างก็รับรู้ถึงเจตนาฆ่านี้ ชั่วขณะหนึ่งต่างก็ถูกกดทับด้วยพลังนี้
ทว่าเจตนาฆ่านี้ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนจึงหลุดพ้นจากเจตนาฆ่าที่รุนแรงไป
ทุกคนมองลู่หยวนกับวิถีโบราณด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป
นอกจากกู้ชิงหรันที่ยังรู้อะไรบ้าง คนที่เหลือต่างก็สับสน
วิถีโบราณอะไร? ระบบอะไร?
ลู่เทียนเฟิ่งเดินตามหลังคนอื่น ๆ พยายามทำความเข้าใจ ต้องการจดจำทุกอย่างเอาไว้เพื่อส่งกลับไปให้ลู่ปู้ฝาน
วิถีโบราณผู้นั้นหันตัวกลับมาเอามือไพล่หลัง “ไปกันเถิด ตามข้ามา”
พูดจบ วิถีโบราณก็เดินไปยังระยะทางอันไกลโพ้นทีละก้าว
จากนั้นลู่หยวนก็ตามไปโดยไม่ลังเล