ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 610 โอกาสที่ยากจะพบในหมื่นปี
บทที่ 610 โอกาสที่ยากจะพบในหมื่นปี
ร่างที่เหมือนกับซ่งชิงหลายสิบร่างพุ่งออกไปรุกล้ำไปทั่วท้องฟ้าในพริบตา ภูเขาและแม่น้ำสั่นสะเทือน เกาะที่จมลงอย่างต่อเนื่องก็ยิ่งจมลงอย่างรวดเร็วมากขึ้น
“หึ ๆ”
ลู่หยวนหัวเราะในลำคอ กระบี่เทวะผนึกสวรรค์ในมือหมุนควงเล็กน้อย จากนั้นพลังปราณก็สูงหลายหมื่นจั้งผุดขึ้นเป็นฉาก ๆ แผ่ขยายไปทั่วอาณาบริเวณ!
บนเกาะสังหารเซียนปั่นป่วนอย่างรุนแรงราวกับว่าถูกชี้นำจากปราณอันทรงพลัง คล้ายกับมังกรที่พุ่งขึ้นจากน่านน้ำและเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา
คลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำเข้าหาฝั่งเกาะสังหารเซียนเป็นชั้น ๆ ราวกับปากเหวขนาดใหญ่ที่ค่อย ๆ กลืนกินไปทั้งเกาะ!
ในอีกไม่กี่ลมหายใจต่อมาพลังปราณของลู่หยวนกับซ่งชิงก็พุ่งทะยานขึ้นไปยังจุดสูงสุด พร้อมที่จะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ!
ทว่าตอนนี้!
ท่ามกลางท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล มีวิหารอันโอ่อ่าสง่างามดั่งเป็นที่ประทับของเหล่าเทพเจ้า เงาของเทพเจ้าเก้าองค์ยืนนิ่งสง่างามอยู่เก้าตำแหน่ง ณ เวลานี้ สายตาของพวกเขาทั้งหมดต่างจดจ่อไปที่ภาพลวงตาซึ่งปรากฏอยู่ใจกลางวิหาร โดยไม่สนใจสิ่งใดรอบข้าง
นอกวิหาร มีทหารจำนวนหลายหมื่นนายสวมชุดเกราะที่แตกต่างกันกระจายตัวอยู่ทั้งเก้าทิศ ทหารเหล่านี้ คือ เหล่าทหารองครักษ์ของเหล่าประมุขทั้งเก้าแห่งแดนเซียน!
ด้านหน้าวิหารมีคนเก้าคนทั้งนั่งและนอน บางคนหลับตาพักผ่อน บางคนก็พูดคุยกัน
เสียงดังจอแจจากการเสวนาที่ไม่ปิดบังดังออกมาจากกลุ่มคนเหล่านั้น
“คราวนี้เทพทั้งเก้ารวมตัวกัน เกรงว่าทั้งแดนเซียนจะปั่นป่วนเข้าแล้ว!”
“ฮ่า ๆ น้อยไปสิ! ผู้ที่มารวมกันอยู่ที่นี่ในวันนี้ล้วนเป็นผู้ทรงพลังที่สุดทั้งเก้าแห่งแดนเซียน! รวมกับทหารองครักษ์ของเหล่าประมุขทั้งเก้าแล้ว หากพวกเขาโจมตีพร้อมกัน โลกทั้งหมดที่อยู่ใต้สวรรค์คงต้องสั่นสะเทือนไปด้วยความหวาดกลัว”
“ฮ่า ๆ พวกเจ้าแอบรู้สิ่งมาหรือไม่? กำลังจะเกิดสงครามขึ้นหรือนี่? หากใช่ บอกข้าล่วงหน้าด้วยล่ะ ข้ามิได้ขยับเขยื้อนร่างกายนี้มาหลายหมื่นปีแล้ว!”
“ข้าไม่รู้ว่าจะก่อสงครามหรือไม่ รู้แต่ว่าสวรรค์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว!”
…
ในวิหารของแดนเซียน เก้าประมุขเพ่งมองเงาที่สั่นไหวอยู่เบื้องหน้า
หากสังเกตให้ดี จะพบว่าภาพลวงตาที่จ้องมองอยู่นั้นก็คือลู่หยวนและซ่งชิงที่อยู่บนเกาะสังหารเซียนในแผ่นดินหยวนหง
เมื่อเห็นลู่หยวนและซ่งชิงประมือกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดได้เปรียบ อยู่ดี ๆ เทพคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “เหอะ คนสองคนนี้ไม่มีความตั้งใจจะสู้กันเลย ไม่เห็นมีสิ่งใดให้ดู มีผู้ใดขี้เกียจดูแล้วอยากออกไปประลองกับข้าบ้าง?”
คนอื่น ๆ จึงมองไปที่ผู้เอ่ย เขาก็คือบุคคลที่มีสายฟ้าแลบอยู่รอบกายพร้อมทั้งมีพลังปราณอันมหาศาลแผ่กระจายอยู่โดยรอบ
นี่คือมหาจักรพรรดิเหลยอวี้!
มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนที่นั่งตรงกลางยิ้มเยาะเล็กน้อย เขาแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่หรูหราอลังการ เปล่งประกายด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ “เหลยอวี้ เจ้ารีบร้อนอะไรนักหนา? หากพวกเขาสู้กันจริง ๆ พวกเราจะยังนั่งเฉยอยู่ที่นี่หรือ? วิถีสวรรค์และวิถีโบราณคงลงมาด้วยตนเอง แล้วพวกเราจะนั่งดูอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร?”
“เหอะ”
มหาจักรพรรดิเหลยอวี้ไม่สนใจ เขานั่งพิงหลังพร้อมยกขาพาดกันอย่างสบายใจ สายฟ้านับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่ด้านหลังเป็นเบาะรองให้นั่ง
มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนเหลือบมองคนทั้งหลายในวิหาร แล้วปัดแขนเสื้อของตน “พวกท่านมาที่นี่เพื่อสิ่งใดคงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ แม้สองคนนี้จะยังมิได้สู้กันอย่างเต็มที่ แต่ทุกคนคงจะเข้าใจดีว่า บนเกาะนั้นต้องเป็นสมรภูมิสุดท้ายของคนทั้งสอง พวกท่านจะทำเช่นไร คิดดีแล้วหรือไม่?”
ในอีกไม่กี่ลมหายใจต่อมา มหาจักรพรรดิเหยาจีผู้สง่างามและเลอโฉมก็ขยับริมฝีปาก “มหาจักรพรรดิจิ่วเทียน เจ้าคงจะรู้ดีว่าวิถีสวรรค์และวิถีโบราณเป็นคู่ปรับกันมานับหมื่นปีแล้ว ในโลกทั้งสามต่างก็ต่อสู้กันไม่รู้จบ ลู่หยวนและซ่งชิงเป็นหมากที่ทั้งสองฝ่ายวางเอาไว้ เมื่อไรที่เราเข้าไปยุ่ง เราก็จะหนีไม่พ้นต้องเลือกข้าง!”
มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนเข้าใจความหมายของมหาจักรพรรดิเหยาจี จึงพยักหน้า “แน่นอน เมื่อสงครามเริ่มขึ้น จะมีผู้ใดทรยศในสนามรบได้กัน?”
“ฟังพวกท่านทั้งสองเอ่ยเช่นนี้แล้ว พวกท่านคงได้เลือกข้างกันแล้วกระมัง”
เสียงของเด็กหนุ่มที่ใสกังวานดังออกมาจากที่หนึ่ง ผู้คนต่างหันไปมองแล้วพบว่าผู้ที่เปล่งเสียงสวมอาภรณ์แก้วหลากสี ทั้งร่างเปี่ยมด้วยรัศมีอันเจิดจ้า เขามีใบหน้าหล่อเหลา แต่ดวงตานั้นกลับเขียวมรกตลุ่มลึกราวถูกอาบด้วยพิษ
ท่านผู้นี้คือ จักรพรรดิแดนนรก!
มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนเอ่ยว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น วันนี้ที่ได้เชิญท่านทั้งหลายมาที่นี่ก็เพื่อให้ทุกท่านได้แสดงจุดยืน!”
จักรพรรดิแดนนรกหัวเราะในลำคอ ดวงตาเขียวมรกตคล้ำลึกค่อย ๆ กวาดมองจ้องไปยังจักรพรรดิจิ่วเทียน อีกฝ่ายรู้สึกถึงความเย็นวาบที่หลังก็เผลอกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว
จักรพรรดิแดนนรกผู้เกิดจากการรวมตัวของความอาฆาตพยาบาทนับหมื่นนับแสน หากฝึกตนก็มักจะมุ่งไปยังสถานที่ที่ลึกลับและน่าสะพรึงกลัว ในเวลานี้ พลังปราณที่ออกมาจากทั่วร่างของเขาก็ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวได้
“อ้อ แล้วเช่นนั้นจิ่วเทียนกับเหยาจียืนข้างผู้ใดเล่า”
มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนฝืนธรรมชาติของตนเองแล้วจ้องมองไปที่จักรพรรดิแดนนรกอย่างจริงจังพร้อมเอ่ยว่า “ข้าและเหยาจียืนข้างซ่งชิง!”
จักรพรรดิแดนนรกพยักหน้า “หรือก็คือสนับสนุนวิถีสวรรค์ใช่หรือไม่ ทว่าพวกเจ้าคงจะมองออกว่าซ่งชิงไม่คู่ควรกับลู่หยวน เมื่อถึงเวลาการต่อสู้ครั้งสุดท้าย หากอาศัยเพียงปราณของทั้งสองฝ่าย ลู่หยวนมีโอกาสชนะมากกว่า”
“แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ในยามสงคราม วิถีสวรรค์กับวิถีโบราณย่อมต้องมาถึงในบรรดาสามพันภพ ในที่สุดวิถีสวรรค์ก็ยังเหนือกว่าเล็กน้อย แน่นอนว่าหากวิถีสวรรค์แทรกแซง ซ่งชิงอาจต้องตาย แต่วิถีสวรรค์จะไม่มีวันแพ้!”
จักรพรรดิจิ่วเทียนพูดวิเคราะห์อย่างกระจ่างและชัดเจน แล้วกล่าวอีกครั้งว่า “แต่ว่า จักรพรรดิแดนนรก ท่านควรจะเข้าใจความหมายของข้า โลกนี้สงบสุขมานานเกินไปแล้ว หากเกิดสงครามขึ้นสามพันโลกก็จะต้องผันผวน เมื่อถึงเวลานั้นโอกาสของเราก็มาถึงแล้ว! วิถีสวรรค์อันกว้างใหญ่ไพศาลกล่าวว่าจะไม่ควบคุมพวกเราอีก แต่ในที่สุดก็ต้องกดขี่พวกเราอย่างแน่นอน เจ้าไม่ปรารถนาที่จะอยู่กับวิถีสวรรค์อย่างเท่าเทียมในสักวันหนึ่งหรือ? ในเวลานั้นพวกเราถึงจะเป็นเทวะอย่างแท้จริง! แต่วิถีสวรรค์จะไม่มีวันแพ้!”
ดวงตาของจักรพรรดิแห่งแดนนรกเป็นประกายเล็กน้อย เขาเกิดความลังเลใจ
มหาจักรพรรดิเหยาจีกลับหลุบตาลง จิตสังหารก็พุ่งขึ้นมาจากดวงตาเป็นระลอก ๆ
นางจำต้องเป็นศัตรูกับลู่หยวน!
มิใช่เพราะผลประโยชน์ใด ๆ แต่เป็นเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุด ประการแรกก็คือกระบี่แห่งไท่อีและฝักกระบี่ของเทพีแห่งสงครามได้สูญหายไปทั้งหมดเพราะลู่หยวน!
หากเทพีแห่งสงครามตื่นขึ้นมา เกรงว่าจะไปหาลู่หยวนเพื่อขอคืนในทันที ทั้งสองฝ่ายคงจะไม่ลงรอยกันอย่างแน่นอน!
ยิ่งไปกว่านั้น จิตวิญญาณกระบี่ของกระบี่ไท่อีกลับมีความสัมพันธ์อันดีต่อลู่หยวนเสียอย่างนั้น ช่างน่าขันยิ่งนัก!
มุมปากของมหาจักรพรรดิเหยาจีปรากฏรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกขึ้น มหาจักรพรรดิเหลยอวี้ที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็สั่นสะท้านทั้งร่างในทันที
สตรีผู้นี้ในยามปกตินั้นมีรูปลักษณ์อันเย้ายวน แต่เบื้องลึกนั้นบางทีอาจจะร้ายกาจยิ่งกว่าจักรพรรดิแห่งแดนนรกเสียด้วยซ้ำ!
หลังจากการคุยกันในครั้งนี้ เหล่าเทพก็คิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง
สำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงนี้ พวกเขามีทางเลือกหลายทาง เช่น เข้าร่วมต่อสู้โดยเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อีกทางเลือกก็คือวางแผนเพื่อประโยชน์ของตัวเอง หรือเลือกที่จะเฉยเมยและไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ก็ต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบ หลังจากผ่านไปหมื่น ๆ ปี ในที่สุดก็มีโอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้เข้าแล้ว!
จักรพรรดิแดนนรกนั่งขัดสมาธิค้ำคางของตนเองด้วยมือสายตาของเขากลับไปจับจ้องยังภาพลวงตาอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อนไป ดูพวกเขาต่อสู้กันให้จบก่อนเถิด”