ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 605 ลู่เทียนเฟิ่งน่าขยะแขยง
บทที่ 605 ลู่เทียนเฟิ่งน่าขยะแขยง
เฟยซิงกล่าวต่อไปว่า “หลังจากนั้น ข้าก็ใช้ชีวิตเพียงลำพังมาโดยตลอด ต่อมาฟางฉงก็ก่อตั้งฐานทัพและถามว่าต้องการร่วมเดินทางไปด้วยกันหรือไม่ ข้าจึงตอบรับไป”
ลู่หยวนยิ้มบาง ๆ “ช่างเป็นสุนัขที่ดีเสียจริง”
หากคำนวณแล้ว เฟยซิงทรยศเจ้านายไปแล้วถึงสองครั้ง
เมื่อเฟยซิงได้ยินถ้อยคำของลู่หยวนแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการเหน็บแนม แต่กลับคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วปล่อยให้ลู่หยวนจัดการ
วันนี้เขาหนีไปไหนไม่ได้ หากลู่หยวนต้องการให้เขาตาย เขาก็ต้องตาย!
“เอาเถิด ลุกขึ้นเสีย”
เสียงของลู่หยวนแผ่วเบา คิดจะไว้ชีวิตของเฟยซิง
เดิมทีเขาก็เตรียมจะไว้ชีวิตเฟยซิงอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เฟยซิงเข้ามอบตัวโดยสมัครใจจึงตรงกับใจเขาพอดี
ส่วนเรื่องทรยศนั้น หึ…ต่อหน้าพลังอันยิ่งใหญ่ หากไม่ใช่คนสมองกลวง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าทรยศลู่หยวนแน่!
ยิ่งกว่านั้น หากเขาคิดทรยศจริง ลู่หยวนก็อาจจะหวังให้เฟยซิงทำเช่นนั้นก็ได้
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เฟยซิงก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในมือของลู่หวน หมากตัวนี้จะตายเมื่อไรก็อยู่ที่การตัดสินใจของลู่หยวนทั้งสิ้น!
เฟยซิงโล่งใจ เขารักษาชีวิตไว้ได้ชั่วคราวก็เพราะถ้อยคำนี้
ส่วนจะอยู่ได้นานเพียงใดนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเขาจะมีประโยชน์ต่อลู่หยวนมากเพียงใด!
เฟยซิงคำนับอย่างสุดตัว “บุตรศักดิ์สิทธิ์มีบัญชาใดก็สั่งมาได้เลย! ข้าจะสละชีวิตและวิญญาณเพื่อสิ่งนั้น!”
ลู่หยวนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าเพิ่งได้ยินมาว่าเกาะสังหารเซียนมีฐานทัพสามแห่ง ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งแห่งแล้วอีกสองแห่งอยู่ที่ใด”
เฟยซิงลังเลและกล่าวว่า “บุตรศักดิ์สิทธิ์คงไม่ทราบ ฐานทัพทั้งสามแห่งนี้เป็นตัวแทนของสามกลุ่ม โดยที่ของเรานับว่าอ่อนแอที่สุดและไร้ซึ่งระเบียบ ส่วนอีกสองแห่งมีกฎของตนเองและมีกำลังพลก็ไม่น้อยเลยทีเดียว”
“ผู้คนในฐานทัพที่ฟางฉงก่อตั้งล้วนเป็นพวกอวดดีและถูกผู้คนจากอีกสองฐานทัพขับไล่ไปแล้ว ตอนนี้ผู้คนจากอีกสองฐานทัพก็อยู่รอบนอก แต่ด้วยกำลังของเราจึงยังไม่สามารถสืบหาตำแหน่งที่แน่นอนของพวกเขาได้”
“ถึงกระนั้น จากที่ข้ารับทราบมาฐานทัพทั้งสองนี้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มและเป็นคู่ต่อสู้กัน โดยกลุ่มหนึ่งประกอบด้วยผู้คนจากแดนเหนือและแดนมัชฌิม อีกกลุ่มประกอบด้วยผู้คนจากเขาบูรพาที่เรียกว่าตำหนักประตูสวรรค์!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่หยวนก็ขมวดคิ้วแน่น “ตำหนักประตูสวรรค์รึ ที่นี่มีพรรคพวกของพวกเขาอยู่หรือ?”
เฟยซิงนิ่งเงียบก้มหัวรอคำสั่งจากลู่หยวน
“ไม่เป็นไร ฐานทัพอีกสองแห่งไม่เกี่ยวข้องกับข้า”
ลู่หยวนหันกลับมามองฝูงชนกว่ายี่สิบคนที่ติดตามมา จากนั้นจึงเอ่ยว่า “พวกเจ้าเป็นพวกภาระ จงอยู่ที่นี่ต่อไปเสียและใช้ที่แห่งนี้เป็นฐานทัพ รีบทำความคุ้นเคย ข้าไม่มีอะไรให้พวกเจ้าทำนอกจากการล่าสัตว์กับหาเสบียง”
ผู้คนที่ลู่หยวนเรียกว่า ‘ภาระ’ นั้นล้วนเป็นจ้าวยุทธ์และปรมาจารย์ยุทธ์ โดยเฉพาะผู้ที่มาจากตระกูลลู่ ล้วนใช้อาคมลับเพื่อเร่งปราณให้พุ่งสูงขึ้นจนมาถึงจุดนี้
เดิมทีพวกเขาต้องการมาที่เกาะสังหารเซียนแล้วแผ่ขยายอำนาจ แม้ไม่ได้เป็นการสังหารให้ตายจนหมดแต่พวกเขาก็ต้องสละชีวิตที่นี่อยู่ดี!
ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ลู่หยวนกลับให้พวกเขามาเฝ้าสถานที่แห่งนี้และอยู่เบื้องหลังเท่านั้น ผู้คนเหล่านี้จึงไม่เต็มใจเอาเสียเลย!
คนผู้หนึ่งกลั้นใจอยู่พักใหญ่แต่ก็อดใจไม่ไหว เขาก้าวออกไปข้างหน้าแล้วค้อมตัวลง “ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์!”
ลู่หยวนเหลือบตามองแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เจ้าว่าอย่างไร มีความเห็นรึ?”
เมื่อสบตากับลู่หยวน ชายผู้นั้นก็เงียบไปทันที เขานึกถึงภาพของฟางฉงและคนอื่น ๆ ที่ตายไปเมื่อครู่ ถ้อยคำมากมายในอกก็กลายเป็นเถ้าธุลีสิ้น เขาเอ่ยสิ่งใดไม่ออกสักคำ
ยามนี้สายตาของทุกคนต่างพากันหันมา เขากลั้นใจข่มความรู้สึกด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม “สิ่งที่ท่านเอ่ย ข้าจะมีความคิดเห็นใดได้นอกจากอยากจะถามท่านว่า ท่านต้องการให้พวกเราทำความสะอาดพื้นที่ตรงนี้บัดนี้หรือเลยไม่?”
ตอนนี้บนพื้นในกระโจมยังมีศพของพวกพ้องของฟางฉงที่ถูกเฟยซิงสังหารเต็มไปด้วยเลือดชวนให้รู้สึกน่าขนลุก
ลู่หยวนตอบเบา ๆ
ชายคนนั้นรีบวิ่งไปเก็บกวาดศพโดยพลัน ลู่หยวนกวาดสายตามองผู้คนเหล่านี้ทีละคน “ยังมีผู้ใดมีความคิดเห็นอีกบ้าง?”
ทุกคนล้วนก้มหน้าไม่กล้าโต้แย้งกับลู่หยวน
เกรงว่าหากพวกเขาแสดงความไม่พอใจ ถ้อยคำเพียงคำเดียวที่เปล่งออกมาก็อาจต้องแลกด้วยชีวิต
“หากไม่มีความคิดเห็นก็เป็นไปตามนี้”
ลู่หยวนจึงพากู้ชิงหรัน ฮ่วนซิงไป๋และเซียวเทียนเดินออกจากกระโจม
ภายในกระโจม
ผู้คนแห่งแดนมัชฌิมเชื่อฟังลู่หยวนยิ่งนัก ต่างก็พากันตามเฟยซิงเพื่อสอบถามว่าจะมีชีวิตอยู่ในเกาะสังหารเซียนแห่งนี้เช่นไร
นับตั้งแต่ที่เข้ามาในดินแดนแห่งนี้ พวกเขาก็พบว่าที่นี่แตกต่างจาก แผ่นดินหยวนหงอย่างสิ้นเชิง อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทั้งการกินอยู่และอื่น ๆ
พวกเขาต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เช่น แหล่งอาหาร สถานฝึกตนที่ดีที่สุด แหล่งที่มีสิ่งของที่เป็นประโยชน์ต่อการฝึกปฏิบัติหรือแม้แต่ความจำเป็นในการผลัดกันยืนเวร
ขณะที่คนจากตระกูลลู่ต่างก็หันไปมองลู่เทียนเฟิ่งเพราะระหว่างที่พวกเขามาที่นี่ได้รับข่าวสารว่าไม่เพียงแค่จะติดตามลู่หยวนและเชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น
แต่จะต้องให้ลู่เทียนเฟิ่งเป็นใหญ่ในทุกเรื่อง!
ลู่หยวนได้สั่งการแล้วแต่ยังไม่ได้หารือกับลู่เทียนเฟิ่ง ลู่เทียนเฟิ่งจึงยังไม่ได้มีคำสั่งใด ๆ!
ลู่เทียนเฟิ่งหรี่ตามองราวกับกำลังครุ่นคิดเรื่องใดอยู่
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าไม่เข้าใจหรือว่าคุณชายเอ่ยว่ากระไร แล้วล้อมรอบข้าเช่นนี้เพื่อสิ่งใด?!”
เมื่อได้ยินคำกล่าว ผู้คนเหล่านั้นจึงสลายตัวไปและต่างพากันเอ่ยตอบรับไม่ขาดสาย
นอกกระโจม
ลู่หยวนได้จัดการสั่งการเรื่องต่าง ๆ ให้กับฮ่วนซิงไป๋และคนอื่น ๆ เรียบร้อยแล้ว เมื่อทุกคนปรึกษาหารือกันอย่างรอบคอบแล้วทุกอย่างเสร็จสิ้น
ขณะที่พวกเขากำลังจะแยกย้ายกันไป ลู่เทียนเฟิ่งก็เดินออกมาจากกระโจมในทันที ใบหน้าที่เคร่งขรึมก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
“หลานชายที่รัก”
ลู่หยวนเห็นลู่เทียนเฟิ่งสายตาก็พลันมีประกายแฝงความร้ายกาจซ่อนอยู่ แต่ริมฝีปากกลับปรากฏรอยยิ้มขึ้น “ท่านลุง มีเรื่องอะไรหรือ?”
ลู่เทียนเฟิ่งกล่าว “หลานชายที่รัก เจ้าคงรู้จักลุงดี หากให้ทำเรื่องจิปาถะ ลุงก็คงจะว่างเกินไป มีเรื่องอื่นใดที่จะให้ดูแลอีกหรือไม่? ลุงก็มีวิทยายุทธ์ที่ไม่เลวเสียหน่อย!”
ลู่เทียนเฟิ่งต้องการที่จะเข้าไปด้านในของเกาะสังหารเซียนอย่างแน่นอน นี่คือคำสั่งตายที่ลู่ปู้ฝานได้มอบหมายมาและเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขาพาคนมาที่นี่!
แต่สิ่งที่ลู่หยวนเพิ่งกล่าวไปนั้นดูเหมือนจะจัดให้เขาอยู่กับพวกที่ไร้ประโยชน์ หากเขายังอยู่ที่นี่ ต่อให้เก่งกล้าสามารถเพียงใดก็คงจะไม่สามารถเข้าไปด้านในของเกาะสังหารเซียนได้
ลู่หยวนทำทีลังเลก่อนจะหยุดชะงักลงทันทีและกล่าวขึ้น “ท่านลุงไม่เต็มใจจะอยู่ที่นี่ แต่ต้องการจะรับใช้ข้าและตระกูลลู่หรือ?”
ลู่เทียนเฟิ่งก็กล่าวขึ้นในทันที “ใช่แล้ว เรื่องจิปาถะก็ให้พวกนั้นทำไป ข้าก็อยากจะรับใช้หลานชายและรับใช้ตระกูล!”
“ดียิ่ง!”
รอยยิ้มบนริมฝีปากของลู่หยวนกว้างขึ้น แล้วเขาก็ยกมือขึ้นจับคอลู่เทียนเฟิ่งเอาไว้ “ท่านลุง ท่านก็ไม่ใช่คนหนุ่มแล้วแต่ยังไม่มีลูกหลานสักคน เมื่อครู่ท่านก็คงเห็นแล้วว่ามีหญิงสาวคนหนึ่ง ข้าว่านางก็ไม่เลวเลย ท่านลองพยายามดูเสียหน่อย ลองปลูกต้นอ่อนสักต้นดู”
รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่เทียนเฟิ่งพลันหายไป “อย่างไรนะ?”
ทว่าลู่หยวนยังคงยิ้มอยู่ “ข้ารู้ว่าท่านอยากให้ข้าพาท่านเข้าไปข้างใน แต่เรื่องนี้ต้องรีบสะสางก่อน คราวนี้ออกมาบรรพบุรุษได้บอกเป็นนัยแก่ข้าว่า ขอให้หาทางให้ท่านมีทายาทข้าเลยรับปากไป”
“อีกอย่าง ข้าจะพาคนออกเดินทางพรุ่งนี้ ท่านมีเวลาคิดแค่คืนเดียว ท่านว่าอย่างไร?”
ในใจลู่เทียนเฟิ่งมีเพียงคำคำเดียวนั่นคือ ‘ไร้สาระ!’
บรรพบุรุษจะมีคำสั่งเช่นนั้นได้อย่างไร? นี่ลู่หยวนกำลังกล่าวเท็จชัด ๆ
ตอนนี้ลู่เทียนเฟิ่งเริ่มเข้าใจแล้ว ลู่หยวนผู้นี้คงรู้แล้วว่าในยามนี้ตัวตนของเขามิใช่ลู่เทียนเฟิ่งคนเดิมจึงจงใจมาหาเรื่องเช่นนี้
ลู่เทียนเฟิ่งโกรธจนหนวดเคราตั้ง “ข้ามีทายาทแล้ว เจ้าจะยอมพาข้าไปหรือไม่?”
ลู่เทียนเฟิ่งจ้องมองลู่หยวนด้วยสายตาแน่วแน่
ฝ่ายลู่หยวนพยักหน้ารับ “ใช่ ข้าเอ่ยคำไหนคำนั้น”
“ดี!”
ลู่เทียนเฟิ่งสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของลู่หยวนแล้วสะบัดแขนเสื้อเข้าไปในห้องของหญิงสาวทันที
ลู่หยวนมองแผ่นหลังของลู่เทียนเฟิ่งแล้วคำนวณในใจ
ดูเหมือนลู่เทียนเฟิ่งผู้นี้จะมิได้ถูกบรรพบุรุษแห่งตระกูลลู่นามว่าลู่ปู้ฝานสิงสู่ มิเช่นนั้นคงจะไม่วางท่าเช่นนี้แต่คงจะรับปากโดยทันที
เพราะลู่ปู้ฝานผู้นั้นซึ่งมีชีวิตมาอย่างยาวนาน คงจะยืดหยุ่นและเอาชนะได้โดยไม่คำนึงถึงวิธีการ หนำซ้ำจะไม่แสดงท่าทีใดออกมาเลย