ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 590 ไอ้นี่มันสุดยอดจริง ๆ!
บทที่ 590 ไอ้นี่มันสุดยอดจริง ๆ!
ลู่หยวนยิ้มมุมปากกระบี่เทวะผนึกสวรรค์ยังไม่มีพลังเช่นนี้!
“หากเป็นเช่นนั้น กระบี่จะต้องมีจิตวิญญาณแห่งกระบี่กลับมาสิงสู่ใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว!”
กู้ชิงหรันพยักหน้าอย่างจริงจัง “กระบี่ไท่อีที่อยู่ในมือข้าในตอนนี้ ถือว่าเป็นเพียงเศษเสี้ยวของกระบี่ไท่อีที่แท้จริงเพียงหนึ่งในสาม ที่เหลืออีกสองส่วนยังคงกระจัดกระจายไปทั่ว และข้าก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าอีกสองส่วนนั้นอยู่ที่ใด!”
“แต่กระบี่เล่มนี้จะกลับมาในไม่ช้า หากไม่สามารถรับมือกับปราณของกระบี่ไท่อีได้ ก็จะไม่สามารถถือกระบี่เล่มนี้ได้! หากต้องการถือกระบี่เล่มนี้ เจ้าก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก!”
กู้ชิงหรันเอ่ยอย่างจริงจัง ด้วยความที่ความทรงจำของนางค่อย ๆ กลับมา หลายสิ่งหลายอย่างก็ชัดเจนขึ้นในจิตใจ แต่นางกลับไม่สามารถเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันได้ หากนางเอ่ยทุกสิ่งทุกอย่างให้ลู่หยวนฟังในตอนนี้ ก็คงเป็นเพียงข้อมูลที่ไร้ประโยชน์
มันไม่สู้การบอกเพียงสิ่งที่มีประโยชน์เท่านั้น!
กระบี่ไท่อีเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในความทรงจำอันจำกัดของกู้ชิงหรันในตอนนี้ หากลู่หยวนสามารถถือครองกระบี่เล่มนี้ได้ ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะสามารถตั้งรับทัน
สิ่งไม่คาดฝันนั้นเกิดขึ้นกับผู้ที่อ่อนแอเท่านั้น สำหรับผู้ที่สามารถยึดครองเหนือฟ้าใต้หล้าได้นั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ทั้งหมดล้วนอยู่ในแผนการของพวกเขา และจะไม่มีสิ่งเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!
ใบหน้าของลู่หยวนปรากฏสีหน้าจริงจังขึ้นเล็กน้อย เขาเข้าใจความหมายของกู้ชิงหรันที่เอ่ยวาจาเหล่านั้นออกมา
การถือครองกระบี่ไท่อีนั้นหมายความว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น กู้ชิงหรันในฐานะจิตวิญญาณแห่งกระบี่ไท่อีก็เต็มใจที่จะละทิ้งร่างกายของตนเอง เพื่อเข้าไปอยู่ในกระบี่ไท่อีเพื่อต่อสู้เคียงข้างลู่หยวน และกวาดล้างแผ่นดิน!
“เจ้าคิดดีแล้วรึ?”
ลู่หยวนถามเอ่ยถามขึ้นในฉับพลัน น้ำเสียงของเขาไม่เหมือนในวันปกติที่มักเต็มไปด้วยความเกียจคร้าน แต่กลับดูต่ำลงเล็กน้อย ดูคล้ายว่าเขากำลังจะถามคำถามที่สำคัญมาก
กู้ชิงหรันพยักหน้า “ข้ามีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวในแดนเซียนอยู่บ้าง แม้ว่ามันจะยังไม่กระจ่างชัด แต่ข้ารู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสามแสนปีก่อนควรจะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว และไม่ควรเป็นฝีมือของคนในดินแดนเซียน”
“ลู่หยวน หากไม่ใช่เจ้า ก็ต้องเป็นซ่งชิง แต่ข้ากลับรู้สึกว่าควรเป็นเจ้าต่างหาก! กระบี่ไท่อีต้องเป็นเจ้าเท่านั้นที่ใช้ได้!”
เมื่อเอ่ยจบลง แววตาที่มั่นคงก็ปรากฏขึ้นในแววตาของลู่หยวน มุมปากของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น “สามีภรรยาทำงานร่วมกัน งานนั้นย่อมไม่เหนื่อย”
ลู่หยวนเหยียดมือซ้ายไปข้างหน้า แล้วจับลงที่ด้ามกระบี่ซึ่งว่างอยู่!
“ครืน!”
ทั่วทั้งดินแดนเงียบสงัดลงในพริบตา จากบริเวณห้องของลู่หยวน มีปราณเจตจำนงกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ราวกับจะกลืนกินแผ่นดินได้ปะทุขึ้น!
ตระกูลลู่ทั้งตระกูลต่างจมดิ่งอยู่ในอำนาจอันยิ่งใหญ่นี้!
แม้กระทั่งบรรพชนแห่งตระกูลลู่บนเกาะเมฆาก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วย!
บนเกาะเมฆา
บรรพชนแห่งตระกูลลู่ ลู่ปู้ฝานยืนพิงรั้วมองไปทางตระกูลลู่ที่มีไฟสว่างไสว จากมุมหนึ่งของลู่หยวน ปราณเจตจำนงกระบี่อันยิ่งใหญ่ก็แผ่ขยายออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ผู้คนในตระกูลลู่ทุกคนต่างคุกเข่าลงกับพื้นเพราะด้วยปราณวิญญาณนี้!
หัวใจของลู่ปู้ฝานที่จมดิ่งมานับหมื่นปีก็เต้นระรัวขึ้นเล็กน้อย!
“ฮ่า ๆ ๆ ไอ้หนุ่มนี่มีโชคไม่น้อยเลยเชียว! แม้แต่จิตวิญญาณแห่งกระบี่ไท่อีก็ยังอยากจะยอมจำนนต่อเขา!”
“เฮ้อ! หากเทพีนักรบเห็นภาพนี้ โลกใบนี้คงได้ปั่นป่วนอีกครา… แต่ก็ดีเหมือนกัน ยิ่งลู่หยวนสร้างความยิ่งใหญ่เท่าไร ตระกูลลู่ก็ยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้น!”
“ลู่หยวนเอ๋ย ลู่หยวน เอาเลยตะลุยไปให้สุด และทำลายล้างโลกนี้ให้เละไปเสีย! ลากเหล่าจักรพรรดิสูงส่งลงจากหลังม้าให้หมดสิ้น! เป็นเช่นนั้นตำแหน่งจักรพรรดิแห่งแดนเซียนก็จะว่างลงเสียที! ฮ่า ๆ ๆ …”
เมื่อเอ่ยจบ เงาร่างของลู่ปู้ฝานก็จมหายไปท่ามกลางหมู่เกาะเมฆาอีกครั้ง!
…
ภายในบริเวณตำหนักของลู่หยวน
ทั้งลู่หยวนและกู้ชิงหรันยืนประจันหน้ากัน สายตาของแต่ละคนต่างสะท้อนเพียงเงาของอีกฝ่ายเท่านั้น
ตั้งแต่ที่ลู่หยวนได้สัมผัสกระบี่ไท่อีเล่มนี้ ก็เกิดเจตจำนงกระบี่อันแข็งแกร่งที่ขัดขวางลู่หยวนอยู่ตลอดราวกับต้องการให้ลู่หยวนปล่อยมือออกไปโดยทันที!
ขณะเดียวกันกล่องกระบี่ที่อยู่ในมืออีกข้างของลู่หยวนก็สั่นไหวขึ้นมาอย่างกะทันหัน พลังอำนาจอันไร้ขอบเขตสั่นสะเทือนอยู่ภายใน เริ่มหลอมรวมตัวกับปราณในกระบี่ไท่อีเพื่อต่อต้านลู่หยวน!
นี่เป็นกระบี่ไท่อีที่กำลังต่อต้านลู่หยวนอยู่!
กู้ชิงหรันก็รู้สึกถึงความผิดปกติเช่นกัน จึงเตรียมจะชักกระบี่ไท่อีกลับคืน ทว่าลู่หยวนกลับกำไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ยอมปล่อยให้กู้ชิงหรันถอยออกเลยแม้แต่น้อย!
“หรือว่าเจ้าควรใช้เวลาฝึกฝนปราณจากกล่องกระบี่ไท่อีเพิ่มเติมก่อน แล้วจึงลองจับกระบี่เล่มนี้ดูอีกครั้ง”
กู้ชิงหรันเปิดปากเอ่ย “กระบี่เล่มนี้ผิดแผกจากกระบี่เล่มอื่นโดยสิ้นเชิง มีเพียงสองคนที่เคยใช้มันเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือข้า”
ลู่หยวนมองกู้ชิงหรัน มุมปากของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาไม่ขาด พลางนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นจึงเอ่ยออกมาอย่างมีนัย “เจ้าคือจิตวิญญาณแห่งกระบี่ แน่นอนว่าในสายตาของกระบี่เล่มนี้ เจ้าเป็นคนพิเศษอยู่แล้ว ส่วนตัวข้าเองว่ากันตามตรงก็ยังเป็นคนนอก กระบี่จะไม่ยอมก็คงเป็นเรื่องปกติ ยิ่งไปกว่านั้น กล่องกระบี่ก็อยู่ที่นี่ด้วย ถึงอย่างไรมันก็สามารถให้ทำกระบี่เล่มนี้มีปราณวิญญาณที่ไม่มีที่สิ้นสุดได้ ถึงแม้ว่าตัวข้าเองจะใช้พลังทั้งหมดที่มีบีบบังคับมันจนถึงที่สุด แต่ก็ยังมีโอกาสที่มันจะได้พักหายใจอยู่ดี เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีเพียง…”
ปกติแล้วกู้ชิงหรันคือคนที่เข้าใจคำกล่าวของลู่หยวนได้ดีที่สุด ทว่าตอนนี้กลับมีอาการนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “ว่าอย่างไรนะ?”
ลู่หยวนเปิดกล่องกระบี่ที่อยู่ในมือ จากนั้นก็ใช้มือข้างซ้ายส่งกระบี่ไท่อีนั้นลงไปในกล่องอย่างเบามือ!
เจตจำนงกระบี่มากมายที่ปกคลุมตระกูลลู่ก็พลันสลายหายไปทั้งหมดในเวลานี้!
ดังนั้นคนของตระกูลลู่จึงได้รับอิสรภาพ ไม่ต้องถูกกดขี่จากเจตจำนงกระบี่อีกต่อไป!
ทันทีที่กล่องกระบี่ปิด ลู่หยวนก็โน้มตัวเข้ากอดเอวที่นุ่มนวลของกู้ชิงหรันไว้ “ตอนนี้มีวิธีที่ดีอีกหนึ่งที่สามารถทำให้ตัวข้าและกระบี่ไท่อีได้ใกล้ชิดกันขึ้นมาเล็กน้อย และอาจจะทำให้มันยอมจำนนต่อข้าเพราะเห็นแก่หน้าเจ้าก็ได้!”
กู้ชิงหรันจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าลู่หยวนหมายถึงสิ่งใด!
ใบหน้างดงามแดงก่ำขึ้นมาในทันใด สายตาก็เผลอหันไปทางอื่น มือหยกทั้งสองข้างกำเสื้อผ้าของลู่หยวนเบา ๆ ปากเล็กบางก็เผยอออกเล็กน้อย “หรือ… หรืออาจจะ… ลองดูก็ได้…”
เสียงของกู้ชิงหรันแผ่วเบาลง แต่กลับลอยเข้าไปในหูลู่หยวนได้อย่างชัดเจน
“เช่นนั้น คืนนี้ตัวข้าก็จะสำรวจเจตจำนงกระบี่ร่วมกับเจ้า แล้ว…สุขสำราญในดินแดนนี้ไปด้วยกัน!”
ลู่หยวนอุ้มกู้ชิงหรันขึ้นในฉับพลัน แล้วจึงเดินไปยังเตียง
เวลาค่อย ๆ ผ่านไป ในราตรียิ่งดึกก็ยิ่งหนาว
ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาว แล้วจากสีขาวก็เป็นสีดำอีกครั้ง ผ่านไปเช่นนี้ติดต่อกันถึงสามวัน ภายในห้องโถงของลู่หยวนกลับไม่มีผู้ใดเข้าออก!
ลู่หยวนตั้งวงล้อมไว้แน่นหนาจนไม่มีผู้ใดสามารถบุกผ่านเข้ามาได้ และไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ภายใน
ลู่เทียนเฟิ่งก็ออกมาดูข้างนอกเช่นกัน เมื่อคิดทบทวนดูดี ๆ เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงสั่งให้คนสองคนเฝ้าอยู่หน้าห้องโถง รอคอยลู่หยวนเรียกตัวทุกเมื่อ ส่วนตัวเขาก็เดินจากไป
ลู่หยวนไม่ย่างกรายออกจากห้องเป็นเวลาสามวัน มีเพียงลู่หยวนและกู้ชิงหรันเท่านั้นที่รู้ว่าภายในห้องที่ถูกกักขังด้วยวงล้อมนั้นเต็มไปด้วยเจตจำนงกระบี่ที่ผันผวนรุนแรง และปราณที่รุนแรงถูกกดขี่ให้จมดิ่งลงสู่ความเงียบ ดั่งคลื่นซัดสาดไม่มีที่สิ้นสุด!
ส่วนแผ่นดินทั้งหมดก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาด้วยเช่นเดียวกัน
ลู่เทียนเหอแห่งตระกูลลู่ก็ไม่อยู่แล้ว ทั้งตระกูลก็ถูกเหล่าผู้อาวุโสและลู่เทียนเฟิ่งคอยควบคุมไว้
ลู่เทียนเฟิ่งมิใช่คนไม่ใส่ใจดูแลตัวเองอีกแล้ว เขาจัดการหนวดเครา ตัดเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมและหรูหรา แม้ว่าจะไม่ค่อยถูกซักถามอะไรมากนัก แต่กลับทำให้คนของตระกูลลู่ทุกคนรู้สึกเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
ผ่านไปอีกสามวัน
ลู่เทียนเฟิ่งอดรนทนไม่ไหว จึงเอ่ยถามผู้ติดตาม “เวลาเกือบเจ็ดวันแล้ว เจ้าหนูนั่นยังไม่ยอมออกมาอีกหรือ”
ผู้ติดตามส่ายหน้า พวกเขาเฝ้าอยู่หน้าตำหนักของลู่หยวนอยู่ตลอด เวลามีข่าวคราวใดก็จะรีบมาแจ้งให้ทราบ
“ฮึ่ย…”
ลู่เทียนเฟิ่งรินน้ำชาดื่มพร้อมกับพึมพำกับตนเอง “ไอ้เด็กนี่มันเก่งขนาดนี้เชียวหรือ ผ่านไปเจ็ดวันแล้ว ยังไหวอยู่อีกรึ?”