ระบบย่อยสลายขั้นเทพ - ตอนที่ 182
คำถามของซูฮยอนตรงไปตรงมาและมีความชัดเจน คิมแดโฮที่ได้ยินถอนใจใหญ่…
“รู้ตัวหรือป่าวว่าคาถามของเธอ ทําให้ฉันรู้สึกว่าบากใจ”คิมแดโฮกล่าวน้ําเสียงเนิบนาบ
ในใจของคิมแดโฮตอนนี้เกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างรุนแรง เขาควรยอมรับอาดามันเทียมก้อนนั้นดีไหม? อาดามันเทียมที่ว่างอยู่ตรงหน้ามีขนาดใหญ่ มากพอที่จะสร้างดาบบัลมุงก์ได้ 2 เล่มเลยทีเดียว
“ฉันขอแค่ครึ่งก้อนก็พอแล้ว”คิมแดโฮพูดเสียงอ่อย
ตั้งแต่เกิดมา เป็นครั้งแรกที่คิมแดโฮรู้สึกหนักอกกับการตัดสินใจของตัวเอง มันไม่ใช่อุปนิสัยเดิมของเขา โดยปกติแล้วคิมแดโฮตะแผดเสียงตะโกนออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจและไม่เคยก้มหัวให้ใครง่ายๆ
แต่หนนี้คิมแดโฮก้มหัวลงอย่างละอายใจ ซึ่งผิดแผกไปจากภาพลักษณ์เก่าก่อน
ของเขา…
“ขอบคุณเธอมาก”
“ผมก็ขอบคุณลุงด้วยเช่นกัน” น้ําเสียงของซูฮยอนที่ใช้ตอบกลับจริงจังขึ้นหลายส่วน
“ลุงสร้างดาบและชุดเกราะคุณภาพสูงให้ผมมาโดยตลอด หากไม่ได้อุปกรณ์ของลง ผมคงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้แน่”
คิมแดโฮมีสรีระร่างกายเตี้ยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อก้มหัวลงจึงดูเตี้ยลงไปอีก ซูฮยอนต้องยอบเข่าลงเล็กน้อย เพื่อในระดับความสูงของศีรษะเสมอกัน
“ลุงและผมต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกันและกัน ลุงเงยหน้าขึ้นเถอะครับ ลุงไม่ควรพะอากพะอากับการตัดสินใจของตัวเอง เพราะผมเป็นคนยื่นข้อเสนอให้ลุงด้วยความสมัครใจ”
“เฮ้อ….คนอย่างเธอนี่มันจริงๆเลย”คิมแดโฮที่กันหน้ามองพื้น แย้มยิ้มกว้าง ค่อยเงยหน้าและพับแขนเสื้อขึ้น
“อาดามันเทียมที่เหลือครึ่งก่อน ขอสัญญาด้วยเกียรติของช่างตีเหล็ก ฉันคนนี้จะสร้างอุปกรณ์ชั้นเลิศให้เธอเอง”
“ผมมีเรื่องอยากไหว้วานลง 2 เรื่อง
“ก็พอจะเดาได้คร่าวๆแล้วล่ะนะ ว่าเธอต้องการให้ฉันทําอะไร หอกที่ฉันให้ไปก่อนหน้านี้ ใช้ดีไหม?”คิมแดโฮถาม
“ไม่เลวครับ ถึงจะไม่เหมือนต้นฉบับก็เถอะ”
“อย่างงั้นเหรอ ในเมื่อมีอาดามันเทียมอยู่ในมือ ฉันสามารถสร้างหอกที่ทรงพลังกว่าอันเก่าได้ คําว่า [ไม่เลว] ของเธอจะต้องเปลี่ยนเป็นคําว่า [ยอดเยี่ยม] อย่างแน่นอน แต่ปัญหาคือด้ามจับขอหอกเนี่ยสิ? ด้ามจับสมควรใช้วัสดที่มีความแข็งแรงทนทานเทียบเท่าอาดามันเทียมด้วย เพื่อให้หอกรีดเค้นประสิทธิภาพออกมาได้สูงสุด”
ซูฮยอนไม่จําเป็นต้องพูด คิมแดโฮก็สามารถคาดเดาความต้องการของอีกฝ่ายได้…
“หลังจากที่ลุงสร้างหอกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้ายังมีเศษอาดามันเทียมเหลืออยู่ลุงช่วยผสมมันลงไปในชุดเกราะตัวนี้ด้วยจะได้ไหมครับ”ซูฮยอนตั้งคําถามพร้อมเปลี้องชุดเกราะออก
คิมแดโฮหยิบชุดเกราะจากมือซูฮยอนขึ้นมาเพ่งพินิจอย่างใกล้ชิด ใช้หลังนิ้วเคาะตามส่วนต่างๆของชุดเกราะ ก่อนที่แววตาของเขาจะเปล่งประกายแพรวพราว
“ชุดเกราะตัวนี้สร้างขึ้นมาอย่างวิจิตรบรรจง คนสร้างต้องมีประสบการณ์ไม่น้อย เธอได้มันมาจากไหน?”
“ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างชุดเกราะตัวนี้ แต่ผมได้มันมาจากมอนสเตอร์ตัวหนึ่งมันขย้อนออกมาจากท้อง
“มอนสเตอร์ขย้อนออกมา?”คิมแดโฮถามด้วยเสียงประหลาดใจ
“ใช่ครับ เกราะตัวนี้มีความสามารถในการต้านทานเวทมนตร์ค่อนข้างดี แต่มันยังดีไม่พอ ส่วนความสามารถในการป้องกันการโจมตีทางกายภาพอยู่ในระดับปานกลางผมอยากรู้ว่าจะผสมอาดามันเทียมลงไปในชุดเกราะตัวนี้ได้หรือป่าว?”
“ทําไมจะไม่ได้ล่ะ อาดามันเทียมสามารถผสมรวมกับแร่โลหะทุกประเภทบนโลกได้ แต่ทว่า…“คิมแดโฮครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ากล่าวต่อ
“ฉันคิดว่า หากน่าอาดามันเทียมผสมลงไปในชุดเกราะตัวนี้ การต้านทานเวทมนตร์จะเพิ่มสูงขึ้นกว่าเก่า แต่การป้องกันการโจมตีทางกายภาพอาจหยุดนิ่งอยู่เท่าเดิม”
“แบบนั้นก็ดีสิครับ เข้าทางผมพอดี”
“ฉันไม่เข้าใจเธอเลยจริงๆ เดิมที่ชุดเกราะตัวนี้ก็ต้านทานเวทมนตร์ได้สูงพออยู่แล้ว จะดีกว่าไหม หากเปลี่ยนจากเพิ่มการต้านทานเวทมนตร์มาเป็นเพิ่มการป้องกันแทน”คิมแดโฮรู้สึกสับสน ไม่เข้าใจความคิดของซูฮยอน
“ทําไมเธอถึงอยากได้ชุดเกราะต้านทานเวทมนตร์อีกตัวด้วย? บอกตรงๆว่าฉันไม่มีความรู้เรื่องการโจมตีดันเจี้ยนมากนัก แต่มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ใช้เวทมนตร์ไม่เป็นไม่ใช่เหรอ?”
ซูฮยอนหมกมุ่นอยู่กับการต้านทานเวทมนตร์เป็นเอามาก ช่วงแรกคิมแดโฮปล่อยผ่านไม่เก็บมาคิด เพราะเชื่อว่าคงเป็นความสนใจชั่วแล่น ทว่าพักหลังอุปกรณ์ที่ซูฮยอนวิงวอนให้เขาสร้างไม่ว่าจะเป็นเกราะนอกหรือเกราะใน ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับการต้านทานเวทมนตร์ทั้งสิ้น ตามข้อมูลที่คิมแดโฮเคยศึกษามามอนสเตอร์ส่วนใหญ่ถนัดการโจมตีทางกายภาพมากกว่า
มีมอนสเตอร์เพียงน้อยนิดที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ไม่มีเหตุผลที่ซูฮยอนต้องถวิลหาแต่ชุดเกราะต้านทานเวทมนตร์ เพื่อต่อกรกับมอนสเตอร์ส่วนน้อยเลย
ซูฮยอนคือผู้ตื่นขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ตัวเลือกที่ชาญฉลาดมีอยู่ตั้งเยอะตั้งแยะ ทําไมถึงเลือกอะไรที่ดูโง่เขลาแบบนี้…
“ลุงพูดถูก มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้”
แค่อ่านสีหน้าของอีกฝ่าย ซูฮยอนพอจะเดาได้ว่าคิมแดโฮกาลังคิดอะไรอยู่…
“ถึงแม้มอนสเตอร์ส่วนใหญ่จะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ แต่มอนสเตอร์ที่ใช้เวทมนตร์ได้ ใช่ว่าไม่มีตัวตน สําหรับผมแล้ว มอนสเตอร์ที่ใช้เวทมนตร์ได้มีความอันตรายและจัดการได้ยากกว่ามอนสเตอร์โจมตีกายภาพหลายเท่า”
มอนสเตอร์ที่ซูฮยอนเป็นกังวลอยู่ในหัว แตกต่างจากมอนสเตอร์ส่วนใหญ่ที่คิมแดโฮกล่าวปากเปล่า มีมอนสเตอร์ 3 ตัวที่ซูฮยอนไม่อยากให้มันปรากฏตัวตอนนี้ สมมุติมันโผล่ออกมาช่วงเวลานี้ ไม่รู้ว่าจะมีผู้ตื่นขึ้นคนไหนประมือกับมันได้บ้าง กระทั่งซูฮยอนยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะมันได้ไหม…
หลังจากกล่าวคาว่าลากับคิมแดโฮเป็นที่เรียบร้อย ซูฮยอนขับรถกลับบ้าน ระหว่างทางหวนระลึกถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้ง มีหลายรอบที่เขาตั้งใจจะลืมความทรงจาในอดีต แต่ก็ไม่อาจทําได้ เพราะมีเหตุการณ์สําคัญและมีบุคคลจํานวนไม่น้อยที่เขาต้องจดจําให้ขึ้นใจ…
<< สิ่งที่ฉันตระเตรียมไว้สําหรับอนาคต ยังไม่เพียงพอ...>>
ชาติภพก่อนซูฮยอนเคยพลาดท่าให้แก่ฟาฟเนียร์มาแล้ว เมื่อมีโอกาสแก้ตัวครั้งที่สองและเริ่มต้นชีวิตใหม่ เขาพยายามมองหาข้อผิดพลาดจากชาติก่อน เพื่อเตรียมรับมือเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นตั้งแต่เนิ่นๆ
<< ค่าสเตตัสและอุปกรณ์ โดยเฉพาะไอเทมต้านทานเวทมนตร์ ฉันยังขาดอีกมาก >>
ซูฮยอนไม่รู้เลยว่าความสามารถที่แท้จริงของฟาฟเนียร์มีอะไรบ้าง…
<< การโจมตีทางกายภาพฉันสามารถใช้ร่างกายต้านทานได้ แต่การโจมตีทางเวทมนตร์ฉันต้องอาศัยสกิลหรือไม่ก็ไอเทมที่มีความสามารถในการต้านทานเวทย์มนตร์เข้าช่วย >>
ด้วยเหตุผลนี้เอง ซูฮยอนจึงตัดสินใจเรียนรู้สกิลที่สามารถต้านทานเวทย์มนตร์ได้ แม้จะมีโอกาสใช้ไม่บ่อย แต่เขาก็ไม่ปล่อยปละละเลย เพียรเพิ่มความเชี่ยวชาญของสกิลเป็นประจําสม่าเสมอ..
<< ฉันยังอยู่ในช่วงเตรียมตัว ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็เหมือนกับเด็กกําลังหัดเดินเตาะแตะ >>
เก็บเล็กผสมน้อยค่อยเป็นค่อยไป เพื่ออนาคตข้างหน้าที่กาลังจะถึง….
<< ไม่รู้ว่าชีวิตที่สองจะซ้ํารอยเดิมเหมือนอย่างชีวิตที่หนึ่งหรือป่าว >>
มีคติพจน์โบราณกล่าวไว้ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง การศึกไร้พ่าย จำเป็นต้องหยังรู้ธาตุแท้ของอีกฝ่ายให้แตกฉาน ซูฮยอนกระจ่างแจ้งถึงอัตตาตนเอง ทว่าเขาไม่รู้อัตตาของฟาฟเนียร์เลยแม้แต่เสี่ยวเดียว…
<< แต่ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมาเป็นแบบไหน ฉันก็ต้องเตรียมความพร้อมให้สมบูรณ์แบบ >>
หลังกลับมาถึงบ้านซูฮยอนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เขาขอร้องให้คิมแดโฮปรับ ปรุงเกราะศักดิ์สิทธิ์ฟอลคอนด้วยอาดามันเทียม ดังนั้นเขาจึงต้องเปลี่ยนมาใส่ชุดเก ราะตัวสํารองแก้ขัดไปก่อน ชุดเกราะที่เขาสวมอยู่บนตัวสร้างขึ้นจากหินอีเธอร์ระดับกลาง มีความสามารถในการต้านทานเวทย์มนตร์และป้องกันการโจมตีทางกายภาพค่อนข้างใช้ได้..
ซฮยอนผ่านการทดสอบชั้นที่ 41 ไปได้ด้วยดี ถึงเวลาที่เขาจะลยการทดสอบของชั้นที่ 42 ต่อ..
<< หลังจากผ่านชั้นที่ 40 ขึ้นมาได้ ระดับความยากของการทดสอบเพิ่มขึ้นอย่างมาก >>
ซูฮยอนใช้เวลาทั้งหมด 15 วันในการผ่านการทดสอบชั้นที่ 41 เนื่องจากเขาผ่า นการทดสอบชั้นที่ 40 มาได้ด้วยอัตราความสําเร็จเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ทําให้ค่าส เตตัสความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างฮวบฮาบ จึงสามารถผ่านการทดสอบชั้นที่ 41 ได้ อย่างไม่ยากเย็นนัก…
การทดสอบชั้นที่ 41 นั้น ง่ายกว่าชั้นที่ 40 หลายเท่า ความยากของการทดสอบจะเพิ่มขึ้นทุกๆ 10 ชั้น ที่ผ่านมาซูฮยอนเลือกระดับความยาก 10 มาโดยตลอด จากความรู้สึกส่วนตัวของเขา การทดสอบชั้นที่ 40 และชั้นที่ 41 มีความยากไม่ทิ้งห่างกันมาก แต่หากนําไปเทียบกับชั้นที่ 39 และชั้นที่ 41 ความยากยกระดับขึ้นเกือบจะสองเท่าเลยทีเดียว…
<< เมื่อไม่กี่วันก่อน ฮักจุนบอกกับฉันว่า ตัวเขาผ่านการทดสอบชั้นที่ 70 ไปได้แล้ว>>
เมื่อลองพิจารณาถึงความเร็วในการปีนป่ายหอคอยเพียงอย่างเดียว ฮักจุนเร็วกว่าซูฮยอนหลายขุม..
<< ฉันจะน้อยหน้าเขาไม่ได้เด็ดขาด >>
พวกเขา 2 คนเลือกระดับความยากแตกต่างกัน จึงเป็นเรื่องยากที่ซูฮยอนจะไล่ตามฮักจนให้ทัน ถึงอย่างนั้นซูฮยอนก็พยายามสุดสายป่าน ไม่ให้ฮักจนทิ้งระยะห่างจนเกินไป ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าจุดสูงสุดของหอคอยแห่งการทดสอบจบชั้นที่เท่าไหร่ แต่มีข่าวลือหลุดออกมาว่ามีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S คนหนึ่ง ซึ่งเลือกระดับความยาก 1 สามารถ ปีนป่ายขึ้นไปถึงชั้นที่ 550 ได้ ผู้ตื่นขึ้นหลายคนอุตสาหะปีนป่ายหอคอยหวังมุ่งไปให้ ถึงจุดสูงสุด ทว่าน่าเสียดายที่ผู้ตื่นขึ้นส่วนใหญ่มักเลือกยอมแพ้อยู่ชั้นที่ 200 ไม่กล้าไปต่อ ผู้ตื่นขึ้นขนานนามชั้นที่ 200 ว่า ขุมนรกที่ไม่มีวันก้าวผ่าน
<< ฉันไม่รู้ว่าเหลือเวลาให้เตรียมตัวอีกนานแค่ไหน >>
ซูฮยอนตรวจสอบความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเปิดประตูเข้าหอคอยแห่งการทดสอบ…
<< แต่ฉันจะพยายามให้ถึงที่สุด >>
หลังจากเข้ามาในหอคอยซฮยอนเริ่มต้นการทดสอบชั้นที่ 42 ทันที เขาค่อยปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ พบว่าตนเองปรากฏตัวอยู่ในห้องหับสี่เหลี่ยม ภายในห้องตกแต่งด้วยเครื่องเรือนหรหรา กระทั่งเตียงนอนที่วางอยู่กลางห้องยังดูนุ่มฟูมีราคา แสงสว่างจากโคมระย้าสาดส่องลงมาเบาบาง สถานที่แห่งนี้นับว่าแปลกประหลาด โดยปกติแล้วเขาจะไปปรากฏตัวกลางป่าดงพงไพรเป็นส่วนมากน้อยครั้งที่จะพบเจออะไรแบบนี้…
<< ที่นี่ที่ไหน ฉันอยู่คนเดียวเหรอ? >>
ซูฮยอนที่กาลังนั่งอยู่บนโซฟาข้างเตียงนอนผุดลุกขึ้นยืน ในขณะนั้นเอง…
[การทดสอบของชั้นที่ 42 เริ่มต้นขึ้นแล้ว]
[ในโลกมิติที่หนึ่งแห่งนี้ มีการจัดการประลองขึ้น จุดประสงค์เพื่อเฟ้นหาวีรชนที่แข็งแกร่งที่สุด คุณถูกเลือกให้เป็นวีรชน ซึ่งมาที่นี่ในฐานะตัวแทนของโลกที่คุณอาศัย]
สถานที่แห่งนี้ มีวีรชนรวมตัวกันอยู่มากหน้าหลายตา วีรชนทุกคนต่างมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือต่อสู้ช่วงชิงความเป็นที่หนึ่ง ภารกิจของคุณ คือผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศให้ได้ โปรดแสดงฝีไม้ลายมือของคุณให้เต็มที่]
“…?”
ช่างเป็นคําอธิบายที่กระชับและเรียบง่าย ไม่ต้องมีค่าใช้ก็สามารถทําความเข้าใจได้ ซูฮยอนแค่เข้าร่วมการประลองและฝ่าฟันไปให้ถึงรอบรองชนะเลิศ เมื่อเข้าใจแก่นหลักของการทดสอบ ซูฮยอนเริ่มมองสํารวจรอบห้อง สายตาเห็นกระจกบานใหญ่พิงอยู่กับผนัง จึงเดินเข้าไปส่องใบหน้าที่ปรากฏในกระจกเป็นใบหน้าที่เขาไม่คุ้นตา…
รูปลักษณ์ที่ปรากฏในกระจกเป็นชายรูปร่างสมส่วน ดวงหน้าคมคาย จมูกเป็นสัน ผมสีทองสะท้อนแสงไฟเปล่งประกายยวนตา ซูฮยอนยกมือสัมผัสใบหน้า รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ลากยาวตั้งแต่ปลายหางตาข้างซ้ายจดถึงแก้มข้างขวา สังเกตจากรอยบาดแผลน่าจะเกิดจากกรงเล็บมอนสเตอร์มากกว่าของมีคม แม้รูปร่างหน้าตาจะเปลี่ยนไป แต่โชคดีที่อาวุธยังอยู่เหมือนเดิม
<< ชายที่ปรากฏในกระจกคือวีรชนและเป็นสารรูปของฉันในปัจจุบันเหรอเนี่ย? >>ซูฮยอนคิดกับตัวเอง
ซูฮยอนไม่ทราบว่าชายที่ตัวเองกําลังสวมบทบาท มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร มีที่ไปที่มาจากไหน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจเต็มประดา ชายคนนี้มีร่างกายกําย่าล่าสันเหมาะสมกับค่าว่าชายชาตรี
ซูฮยอนเปลื้องชุดเกราะออก พบว่าภายใต้ชุดเกราะซ่อนงําผิวกายอันขาวผ่องเอาไว้ แต่กลับแผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามออกมา รอยแผลเป็นบนใบหน้ากลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย เมื่อเทียบกับรอยแผลใต้ร่มผ้า ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นฉกรรจ์หลายจุด
ก๊อก!! ก๊อก!!
ขณะที่ซูฮยอนกําลังสํารวจร่างกายของตัวเองผ่านกระจก จู่ๆเสียงเคาะประตูพลัน ดังขึ้น…
“การประลองจะเริ่มในอีก 10 นาที โปรดเตรียมตัวให้พร้อม
เสียงที่ดังอยู่นอกประตูแข็งกระด้างราวหุ่นยนต์ก็ไม่ปาน ซฮยอนคาดว่าคนที่เคาะประตุอาจเป็นเจ้าภาพของการประลองนี้…
“เฮ้อ…”
ซฮยอนหย่อนกันนั่งลงบนโซฟาพลางเกาหัวแกรกๆ ขบคิดค่าอธิบายของระบบอย่างจริงจังอีกรอบ…
“มิรุ จงออกมา” ซูฮยอนทําการอัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
ร่างใหญ่โตของมิรุโผล่ออกมากลางอากาศที่ว่างเปล่า..
คิ้ว!!
มิรุค้อมให้กับซูฮยอน เชิงทําความเคารพ…
ซูฮยอนลูบหัวของมิรุอย่างเอ็นดูพร้อมเอ่ยปากพูดว่า… “ฉันต้องผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ”ไปให้ได้
คิ้ว??
มิรุโคลงหัวลงข้างหนึ่งราวกับกําลังถามว่า [รอบก่อนรองชนะเลิศ] คืออะไร? ซูฮยอนคลี่ยิ้มมุมปากเบาๆ กับปฏิกิริยาที่ดูไร้เดียงสาของมัน ทิ้งช่วงไม่นานเจ้าภาพการประลองก็มาตามเขาอีกครั้ง..
“หมดเวลาเตรียมตัวแล้ว”
ซฮยอนยันตัวลุกขึ้น แม้ไม่รู้ว่าร่างเดิมนี้เป็นใคร แต่ในเมื่อเขาสวมบทบาทอยู่ในร่างนี้ ก็จําเป็นต้องเข้าร่วมการประลองอย่างเลี่ยงไม่ได้
ซูฮยอนสาวเท้าไปตามโถงทางเดิน ปลายทางอุโมงค์คือโคลอสเซียมขนาดใหญ่ ไร้วี่แววผู้คน สนามที่ใช้เป็นเวทีประลองมีขนาดกว้างพอๆกับสนามต่อสู้ของงานสงครามแก่งแย่งอันดับ แต่จุดที่แตกต่างคือไม่มีผู้เข้าชมเลยแม้แต่คนเดียว ในโคลอสเซียมแห่งนี้ นับรวมซูฮยอนเข้าไปด้วย มีอยู่แค่ 3 คนเท่านั้น คือ เจ้าภาพ 1 คน และผู้แข่งขัน 2 คน
“ไอ้หน้าละอ่อนเนี่ยนะเหรอ คือคู่ต่อสู้ของฉัน? อยากรู้จริงๆว่าเป็นวีรชนจากซีกโลกไหน? ดูปวกเปียกเป็นบ้า”
คู่ต่อสู้ของซูฮยอนเป็นชายร่างยักษ์สูงประมาณสองเมตร มีผิวกายสีแดงเข้ม มองแล้วให้ความรู้สึกแปลกหูแปลกตา กลางหน้าผากของชายร่างยักษ์มีตาดวงที่ 3 แย้มพราย แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแน่แท้
<< เขาน่าจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ ถือเป็นครั้งแรกใช่หรือป่าว ที่เจอคนมีตาดวงที่ 3 เหมือนกับฉัน? >> ซูฮยอนเผยรอยยิ้มน้อยๆให้กับความคิดที่อยู่ในใจของตนเอง
“แกหัวเราะพอหรือยัง?”
ชายร่างยักษ์แสดงอารมณ์หงุดหงิด ง้างหมัดเตรียมชกไปทางซูฮยอน…
“ผู้เข้าแข่งขันโปรดสงบสติอารมณ์ การต่อสู้จะเริ่มขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อได้รับสัญญาณจากผมเท่านั้น”เจ้าภาพกล่าวเตือน
เมื่อได้ยินคําตักเตือนจากเจ้าภาพ ชายร่างยักษ์ยอมลดมือลงอย่างว่าง่าย แต่สายตาขึงขังยังคงเพ่งมองไปทางซูฮยอนมิอย่ารา หัวคิ้วขมวดชนกัน ไตร่ตรองพฤติการณ์ จากชายร่างยักษ์ เหมือนอีกฝ่ายต้องการทําลายจิตวิญญาณการต่อสู้ของซูฮยอน หวังให้คู่ต่อสู้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวเสียขวัญ ก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น แต่ดันไม่สัมฤทธิผล ซูฮยอนยังคงสงบนิ่ง สีหน้าเรียบเฉยเหมือนเคย ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะแสดงกิริยาท่าทางอะไรออกมา ซูฮยอนก็หาได้นําพา..
มิรนั่งอยู่ข้างโคลอสเซียมห่างจากซูฮยอนหลายเมตร สายตาฉายเฉิดพิศดูซูฮยอน และชายร่างยักษ์
ผู้เข้าประลองยืนประจําตําแหน่งของใครของมัน สบสายตาซึ่งกันและกัน อึดใจหนึ่งเสียงของเจ้าภาพพลันดังขึ้น…
“สาม สอง หนึ่ง การประลองเริ่มได้!!”
หลังสิ้นสุดเสียงสัญญาณของเจ้าภาพ ชายร่างยักษ์ถีบตัวถลาไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ ราวกับว่าอยากยุติการต่อสู้ให้เร็วที่สุด..
วุป!!
เมื่อระยะห่างของทั้ง 2 คนรุ่นประชิดกัน เวทมนตร์ที่ห่อหุ้มหมัดของชายร่างยักษ์ ซึ่งกําลังพุ่งตรงมาหาซูฮยอนแปรสภาพกลายเป็นเสือโคร่งตัวมหึมา เสือโคร่งกระโจนไปข้างหน้า อ้าปากเผยอเขี้ยวแหลมคม ยังกับมุ่งหมายอยากกลืนกินซูฮยอนเข้าไป ทั้งตัวในคราเดียว
ซูฮยอนไม่ขยับเขยื้อนหลบเลี่ยงหมัดของฝ่ายตรงข้าม ง้างหมัดต่อยสวนกลับไป
แกร็ก!!
“อ๊ากกกกก!!”
ทันทีที่หมัดของทั้ง 2 คน เข้าปะทะกัน เสียงปริแตกของกระดูกดังอื้ออึงไปทั่วสนามประลอง ชายร่างยักษ์รีบหดมือกลับ กระโดดถอยกรูดไปด้านหลัง…
“เฮ้อ ผมนึกว่าคุณจะแข็งแกร่งกว่านี้เสียอีก”ซูฮยอนกล่าวด้วยเสียงคล้ายประชดประชัน
ซูฮยอนพุ่งพรวดไปข้างหน้าไล่ตามอย่างกระชั้นชิด ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งหลักได้เอื้อมมือบีบคอ ยกร่างคู่ต่อสู้ขึ้น ร่างกายที่อัดแน่นไปด้วยมัดกล้ามเต่งตึงลอยเหนือพื้นคล้ายขนนกไร้น้ําหนัก
ซูฮยอนยกชายร่างยักษ์ค้างไว้ระยะหนึ่ง ก่อนจะกดกระแทกลงพื้นสนามประลองเต็มแรง…
ตูม!!
“อ๊ากกกกก…”
“ที่ไหนได้ อ่อนแอชะมัดยาด เก่งแต่ปากไม่สมเหมาะกับชื่อวีรชนเลยสักนิด” ซูฮยอนเดาะลิ้นอย่างผิดหวัง เลื่อนสายตามองไปยังเจ้าภาพ
เจ้าภาพสืบเท้าเดินดื่มไปหาซูฮยอนด้วยสีหน้าตายด้าน จับข้อมือของซูฮยอนชูขึ้นฟ้าและกล่าวค่า..
“วีรชนซิกฟรีดเป็นฝ่ายชนะ!!”