ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 477 ภาพลวงตา
ตอนที่ 477 : ภาพลวงตา
ทุ่งหญ้ากลับเกิดการสั่นไหวตรงหน้า ไม่รู้เลยว่ามีสัตว์อสูรตัวใหญ่โผล่มาตอนไหน
เงาของสัตว์อสูรนี้ใหญ่พอ ๆ กับภูเขาเลยก็ว่าได้ หัวของอยู่สูงเสียดฟ้า ขนาดของมันดูไปแล้วทำให้แทบจะสติแตกเลยก็ว่าได้
หวังเย่าไม่เคยเจอกับสัตว์อสูรตัวใหญ่แบบนี้มาก่อน ต่อหน้าสัตว์อสูรนี้ เขารู้สึกว่าเขาได้กลับไปเป็นคนอ่อนแอที่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์เหมือนที่ผ่านมา เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรจากมดปลวกเลยในเวลานี้
สัตว์อสูรนี้ราวกับไม่มีอะไรจะหยุดมันได้
เขากับสัตว์อสูรตัวนั้นไม่อาจจะนำมาเทียบกันได้เลย
“แจ้งเตือน ! สภาพจิตใจของเจ้าของระบบได้รับผลกระทบ เปิดระบบการป้องกันอัตโนมัติ ใช้ค่าประสบการณ์ที่มีก่อนหน้านี้ ”
ตอนนั้นเสียงระบบกลับดังขึ้นมา นี่เป็นครั้งที่สองที่หวังเย่ารู้สึกว่าเสียงของระบบนั้นมีอารมณ์แฝงอยู่
ครั้งที่แล้วคือตอนที่เขาเจอกับปิศาจในโลกของเทพมังกรและหนีออกมาได้
เมื่อเสียงของระบบดังขึ้น ความคิดของหวังเย่าก็ชัดเจนขึ้นไปด้วย เมื่อมองออกไปข้างหน้าอีกครั้งเขาก็พบว่ามันเป็นทุ่งหญ้าปกติดังเดิม มันไม่มีสัตว์อสูรโผล่มาเลย แม้แต่การสั่นไหวตะกี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น สิ่งที่เขาเห็นเมื่อสักครู่เป็นแค่ภาพลวงตามันคือภาพลวงตาจริง ๆ
“ เกิดอะไรขึ้นกับนายท่าน ? ” เสี่ยวซวีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองไปที่หวังเย่าด้วยสายตาเป็นห่วง
หวังเย่าไม่รู้ตัวเลยว่าตัวของเขาชุ่มเหงื่อขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้มันทำให้เขาอึดอัดอย่างมาก
เขารีบเปิดการทำความเย็นของเกราะเพื่อทำให้เหงื่อในตัวแห้ง ก่อนจะนั่งลงไปที่โขดหิน
“ตะกี้เกิดบ้าอะไรขึ้น ? ฉันรู้สึกว่ามันเกิดขึ้นจริง ๆ มันเป็นแค่ภาพลวงตางั้นหรือ ? ” หวังเย่าหอบหายใจราวกับเพิ่งผ่านการต่อสู้ที่หนักหน่วงมาอย่างไรอย่างนั้น
“นายท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ? ” เสี่ยวซวีถามขึ้นมา
เพราะเธอเองก็สับสนจริง ๆ หวังเย่าแค่ยืนอยู่เฉย ๆ แต่ตอนนี้กลับมีสภาพแบบนี้ได้
รอบ ๆ นี้ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ เสี่ยวซวีคิดไม่ออกเลยว่าหวังเย่าเจอกับอะไรมา
“ฉันไม่เป็นไร” หลังจากที่พักได้ไม่นานหวังเย่าก็ตอบกลับ
จากนั้นเขาก็นึกถึงฉากที่เจอเมื่อตะกี้ ถ้าไม่ได้มีระบบคอยช่วย งั้นเดาว่าตอนนี้เขาคงตกอยู่ภายใต้ภาพลวงตาไปแล้ว เมื่อคิดแบบนั้นหวังเย่าก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา
เขาคิดว่าความแข็งแกร่งที่อยู่ระดับ SSS ตอนนี้น่าจะไม่มีอะไรที่เป็นภัยกับเขาได้ยกเว้นพลังระดับเทพรึสูงกว่านั้น แต่ฉากตะกี้ได้ให้บทเรียนกับเขาแล้ว
แม้ว่าความแข็งแกร่งจะขึ้นไปถึงระดับ SSS แต่ในโลกนี้มันก็ยังมีสิ่งต่าง ๆ มากมายที่เป็นภัยต่อเขาอย่างคาดไม่ถึงอยู่
ตอนนั้นหวังเย่าได้รวบรวมสติ เขารู้สึกว่าถึงจะแข็งแกร่งระดับ SSS แต่ในส่วนของด้านจิตวิญญาณแล้วเขาก็ต้องพัฒนาตัวเองต่อ
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สนใจเรื่องพลังจิตมากนัก สิ่งที่เกิดขึ้นตะกี้มันทำให้เขาต้องหันกลับมาสนใจเรื่องการฝึกฝนด้านความแข็งแกร่งของจิตอย่างจริงจัง
หากพลังจิตของเขาใกล้เคียงกับความแข็งแกร่งที่มี งั้นมันคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
ขนาดเสี่ยวซวีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอยังไม่เป็นอะไรเลย ?
ความแข็งแกร่งของเสี่ยวซวีอยู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ ความแข็งแกร่งทางจิตเองก็ขึ้นไปถึงระดับศักดิ์สิทธิ์ด้วย บอกได้ว่าในด้านพลังจิตนั้นไม่ต้องเดาเลยว่าเสี่ยวซวีแกร่งกว่าหวังเย่าหลายเท่า
“แต่อะไรที่ทำให้เกิดเรื่องตะกี้ขึ้นมา มันคงไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ ก็เกิดขึ้นแน่ มันต้องมีอะไรเบื้องหลังที่ทำให้เกิดภาพลวงตาที่น่ากลัวแบบนี้ขึ้นมาได้” เมื่อคิดแบบนั้น หวังเย่าก็ใช้สกิลเนตรอัคคีของหงอคงมองไปรอบ ๆ
สายตาของเขาส่องประกายแสงสีทองออกมา แต่หวังเย่าก็ไม่พบกับอะไรที่ผิดปกติของที่นี่เลย
“การที่ระบบทำงานก็แปลว่ามันต้องมีสิ่งผิดปกติไม่ใช่รึไง ? ” นี่คือความคิดในหัวของหวังเย่า
จากนั้นหวังเย่าก็เริ่มเป็นห่วงเฉี่ยนเจินเฉียนและคนอื่น ๆ ขึ้นมา
หากไม่ใช่เพราะระบบ เขาอาจจะไม่ได้ยืนอยู่แบบนี้ก็ได้ แม้ว่าระบบจะใช้ค่าประสบการณ์ที่เขามีไป แต่เขาก็มีค่าประสบการณ์อยู่เยอะ แต่หากต้องแลกกับชีวิตแล้วสิ่งที่เสียไปมันเล็กน้อยมาก
ค่าประสบการณ์นั้นหาใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ชีวิตนั้นมีแค่ชีวิตเดียว
เขาเกือบตกอยู่ภายใต้ภาพลวงตา มันคิดภาพออกได้ว่าเฉี่ยนเจินเฉียนและคนอื่น ๆ คงอยู่ในสถานการณ์อันตรายเป็นแน่
ตอนนี้หวังเย่าได้แต่ภาวนาไม่ให้พวกนั้นเจอเรื่องแบบเดียวกับเขา
ต่อมาหวังเย่าก็ได้เอายาฟื้นฟูขึ้นมาดื่มเพื่อฟื้นฟูแรงกายที่เสียไป
เขายังให้ยาฟื้นฟูกับเสี่ยวซวีเพื่อฟื้นฟูพลังที่เสียไปก่อนหน้านี้ด้วย
ไม่นานหลังจากนั้นพลังของทั้งสองก็เพิ่มขึ้นมาถึงขีดสุด
ตอนนี้เขาเตรียมใจไว้เต็มที่เผื่อว่าจะโดนโจมตีอีก ทั้งสองได้เลือกที่จะเดินหน้ากันต่อ
เมื่อเดินเข้ามาเรื่อย ๆ หวังเย่าก็ยังไม่รู้ว่ามันมีพลังอะไรในพื้นที่นี้และได้ออกจากทุ่งหญ้านี้ไป
เขาระวังตัวเพื่อรับมือกับการโจมตีอยู่ตลอดเวลา
หลังจากนั้นสักพักทั้งสองก็มาถึงเขตนอกของทุ่งหญ้าได้ ตรงหน้าพวกเขาคือพื้นที่ราบ ถัดจากนั้นไปจะเป็นป่าที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
ระยะห่างของที่ราบกับป่านั้นตามที่หวังเย่าประเมินดูแล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณ 200 เมตร
เมื่อมาถึงที่ราบนั้นก็จะเห็นป่าทึบที่มีต้นไม้สูงแทบจะเสียดฟ้า
เมื่อมองไปยังป่าตรงหน้า หวังเย่าก็อดไม่ได้ที่จะกังวลขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนแรกเป็นดินแดนที่รกร้าง ต่อมาก็เป็นทุ่งหญ้า ต่อมาก็เป็นที่ราบ แล้วตอนนี้กลับเป็นป่าที่ดูไม่มีที่สิ้นสุด
หวังเย่ารู้สึกว่ามันมีความหมายพิเศษแอบแฝงเบื้องหลังของเรื่องนี้ แต่เขาคิดไม่ออกว่ามันต้องการจะสื่อถึงอะไร