ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 385 ความสงสัย
ตอนที่ 385 : ความสงสัย
ร่างพวกนั้นทั้งหมดได้แผ่พลังระดับศักดิ์สิทธิ์ออกมา พลังระดับศักดิ์สิทธิ์มารวมตัวกันแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ตัวตนระดับศักดิ์สิทธิ์นั้นมักจะหยิ่งทะนง นี่ไม่ต้องพูดถึงการจับกลุ่มรวมกันเลย แม้แต่อยู่พื้นที่เดียวกันก็ไม่อาจจะทำได้
ยกตัวอย่างเช่นมังกรเพลิงในมิติไฟ และอีกตัวอย่างหนึ่งก็คงจะเป็นกิเลนไฟ
สัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์นั้นมีความคิดคล้ายคลึงกับมนุษย์
นอกซะจากว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่งั้นคงไม่มีสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ 2 ตัวในเขตเดียวกัน
สองรึสามตัวอาจจะพอมีบ้างแต่การที่มี 7-8 ตัวนั้นถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด นี่ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มใหญ่แบบตอนนี้เลย
แม้ว่าหมอกหนาจะบดบังการมองเห็นของพวกเขาทำให้ไม่อาจจะเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของพวกมันได้ แต่ด้วยการรับรู้ทางจิตก็ยังรับรู้ได้ถึงพลังระดับศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกมา
หวังเย่ามุดอยู่หลังก้อนหินไม่ขยับตัวไปไหน เขาไม่รู้ว่าสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์พวกนี้เจอตัวเขาแล้วรึไม่ แต่นี่คือสิ่งที่เขาทำได้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้
แม้ว่าเขาอยากจะหนีจากพวกนี้ไป แต่ด้วยหมอกหนารอบตัวก็ทำให้เขาไม่อาจจะทำแบบนั้นได้ เพราะเขาไม่รู้เลยว่าเขาจะเดินหน้าไปทางไหนในตอนนี้
บางทีการหนีของเขาอาจจะทำให้พวกมันหันมาสนใจ ด้วยความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้แล้วก็คงไม่ยากที่จะตัดสินผลลัพธ์
แม้ว่าเขาจะอยู่ระดับ S แต่สัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์นั้นเทียบได้กับนักรบระดับ SSS แถมมันยังมาเป็นกลุ่มอีกด้วย ตอนนี้หวังเย่าไม่มีโอกาสที่จะรอดได้เลย
เขาพยายามไม่แผ่คลื่นพลังออกมาและมุดอยู่ข้างหลังก้อนหิน นี้คือสิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้
ไม่นานเขาก็พบว่าคลื่นพลังของสัตว์อสูรเหล่านั้นหายไปโดยสมบูรณ์แล้ว สุดท้ายเขาก็ทรุดลงไปกองกับพื้นแล้วหอบหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ตอนนี้แผ่นหลังของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ
หวังเย่ารู้สึกว่าหมอกเหล่านี้ดึงดูดสัตว์อสูรเหล่านั้น เพราะไม่งั้นแล้วพวกมันคงไม่มาที่นี่
แม้ว่าเขาจะพยายามปกปิดพลังตัวเองเอาไว้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของพวกมันแล้ว ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่มันจะพบเขา
บางทีการที่พวกมันมาที่นี่อาจจะเพราะความสงสัยก็ว่าได้
มันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ไม่งั้นแล้วพวกมันคงไม่มาที่นี่กันเป็นกลุ่ม
ไม่นานหลังจากนั้นพายุก็สงบลงพร้อมกับหมอกที่ค่อย ๆ จางหายไป
ไม่ถึง 10 นาทีหมอกขาวก็ได้หายไปอย่างสมบูรณ์
จนตอนนั้นเองที่หวังเย่าได้สติ
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก่อนจะพบว่าทุกอย่างกลับเป็นปกติแล้ว
ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตะกี้นี้ราวกับเป็นภาพลวงตา
เขามองไปที่พื้นดินโดยรอบอีกครั้ง และพบว่าที่นี่ได้กลายเป็นทุ่งหญ้าธรรมดาไปแล้ว
แต่ที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือหวังเย่าไม่เห็นอะไรผิดปกติเลยทั้งที่ก่อนหน้านี้มีสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
มันน่าจะมีร่องรอยเหลือทิ้งไว้ แต่เมื่อหวังเย่าตรวจสอบดูรอบ ๆ กลับไม่พบร่องรอยใด ๆ เลย
“คงยากที่ฉันจะคิดไปเอง..” หวังเย่าส่ายหน้า เรื่องตะกี้นี้เกิดขึ้นจริง ๆ เขาไม่ได้คิดไปเองอย่างแน่นอน
แต่ในหัวของหวังเย่ากลับเกิดความรู้สึกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือภาพลวงตา
แม้แต่ตัวหวังเย่าก็ยังไม่มั่นใจในตัวเอง
“สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้น่าสงสัยไปหมด…” เขาขมวดคิ้วและรู้สึกว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นในโลกนี้แน่
สุดท้ายเมื่อไม่อาจจะหาคำตอบได้ หวังเย่าก็ตัดสินใจที่จะทำการสำรวจต่อ เขาเชื่อว่าตราบใดที่เดินหน้าต่อ เขาก็น่าจะรู้อะไรขึ้นมาบ้าง
ตอนที่เข้ามาในโลกนี้ เขากลับรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังของปีศาจ แต่ตอนนี้หวังเย่ายังไม่พบเบาะแสอะไรเกี่ยวกับมัน ดังนั้นหวังเย่าจึงไม่คิดที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ
เขาโผล่ออกมาจากหลังก้อนหินก่อนจะมองไปรอบตัวแล้วพึมพำออกมา “ ฉันไม่รู้ว่าพวกที่อยู่ด้านหลังจะเป็นยังไงบ้าง ฟางอี้ หวังว่าเธอคงไม่เป็นอะไรนะ ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หวังเย่าก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงหน้าฟางอี้ขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าฉันจะคิดมากไป เธออยู่กับผู้หญิงที่ใส่หน้ากากอยู่ เธอคงไม่ตายและไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น”
หวังเย่าส่ายหน้าสลัดความคิดนี้ออกจากหัวก่อนจะแสดงสายตามุ่งมั่นออกมา
ครั้งนี้เขาต้องหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมถึงมีคลื่นพลังของปีศาจโผล่ออกมาในโลกนี้ ไม่งั้นแล้วเขาคงสงบจิตใจตัวเองไม่ได้แน่นอน
ยังไงซะสิ่งที่เกิดขึ้นในมิติลับนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่
หวังเย่าได้เดินทางออกไปอีกครั้งก่อนจะพบกับหุบเขาตรงหน้า
…
“บ้าเอ้ย ! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ” ผู้คนมารวมตัวกันก่อนจะตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
คนที่เหลือเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นตะกี้ทำให้พวกเขากลัวจนเยี่ยวแทบราด
มันน่ากลัวจริง ๆ
กลุ่มสัตว์อสูรเพิ่งจะผ่านพวกเขาไป มันทำให้พวกเขากลัวกันแทบตาย
โชคทีที่สัตว์อสูรเหล่านั้นไม่สนใจพวกเขา ไม่งั้นแล้วก็คงไม่รอดจนถึงตอนนี้
“ถ้ามีปัญหาก็ต้องตรวจสอบ ไม่ใช่ว่าเรามาที่นี่เพี่อจะทำแบบนั้นรึไง ? ” ลู่หานพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น คำพูดของเขาดูเหมือนว่าเขาจะเรียกสติตัวเองกลับมาได้แล้ว แต่สายตาของเขากลับแฝงไปด้วยความตะลึงอยู่ ชัดแล้วว่าเขาเองก็ช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน
ชายคนที่บ่นออกมาเมื่อตะกี้ก็ใจเย็นขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของลู่หาน
“ลู่หานพูดถูก เป้าหมายของเราชัดเจนอยู่แล้ว เรามาเพื่อตรวจสอบที่นี่”
“แต่ว่าเป้าหมายของเราก็ยังอยู่ห่างออกไป”