ยัยตัวแสบแอบปิ๊งรุ่นพี่เข้าเเล้ว น่ารักเกินต้าน! - ตอนที่ 4.2 รุ่นน้องผู้มากความสามารถ
- Home
- All Mangas
- ยัยตัวแสบแอบปิ๊งรุ่นพี่เข้าเเล้ว น่ารักเกินต้าน!
- ตอนที่ 4.2 รุ่นน้องผู้มากความสามารถ
“ตอนเด็กๆ ฉันเคยกังวลเรื่องนี้ แล้วก็เก็บตัวเงียบ จนกระทั่งคุณแม่ที่เป็นช่างทำผม ย้อมสีผมให้ฉัน ท่านเปลี่ยนสีผมให้ฉัน สอนแต่งหน้า ท่านบอกว่า ถ้าฉันน่ารัก ฉันก็จะมีความมั่นใจ”
“ฉันก็ว่าทำไมย้อมได้ออกมาสวยจัง”
“เฮะๆ คุณแม่ของฉันเก่งมากเลยล่ะ ต้องขอบคุณท่าน ฉันถึงได้น่ารัก…แต่ทัศนคติของคนรอบข้างก็ไม่ได้เปลี่ยนไปอยู่ดี”
การแต่งหน้าไม่ได้เป็นสิ่งต้องห้าม แต่ก็มีเด็กไม่มากนักที่แต่งตัวจัดเต็ม ในสถานการณ์เช่นนี้ โมนะกะที่ดูแตกต่าง จึงโดดเด่นเป็นธรรมดา ไม่ว่าเธอจะเป็นที่นิยม หรือถูกจับตามองในแง่ลบ…ดูเหมือนโมนะกะจะเป็นอย่างหลัง
“ฉันกลัวการมีเพื่อน แต่ไม่เป็นไร ถ้าฉันแต่งตัวน่ารักแบบนี้ ฉันก็ปกป้องตัวเองได้ ฉันเลือกที่จะเป็นสาวเเกล ด้วยตัวเอง ดังนั้น ถึงจะถูกเกลียด ฉันก็ยอมรับได้”
สำหรับเธอแล้ว การแต่งหน้า สีผม และเสื้อผ้า คือเกราะป้องกันหัวใจ ว่ากันว่า สิ่งที่อยู่ภายในตัวคนเราต่างหากที่สำคัญที่สุด นี่คือความจริงอย่างหนึ่ง มาตรฐานทางศีลธรรมที่ทุกคนยึดถือ แต่…มันก็เป็นความคิดในอุดมคติที่ไม่มีวันเป็นจริงได้อย่างสมบูรณ์ ความประทับใจแรกพบจากรูปลักษณ์ภายนอกเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เช่นเดียวกับคนที่สวมใส่เสื้อผ้าแฟชั่น จะถูกเรียกว่ามีสไตล์ คนที่มีรูปลักษณ์ที่ดี จะถูกเรียกว่าสวย หรือ อาชีพ บุคลิกภาพ คุณลักษณะ…องค์ประกอบต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นคนๆ หนึ่ง สามารถสะท้อนออกมาผ่านรูปลักษณ์ภายนอกได้ ในทางกลับกัน เราก็สามารถเปลี่ยนการแต่งกายให้เข้ากับภาพลักษณ์ที่ต้องการได้เช่นกัน
ไม่ตัดสินจากภายนอก…แม้แต่ผมที่ได้รับคำชมจากโมนะกะว่าไม่ได้ตัดสินเธอจากภายนอก ก็ไม่สามารถอ้างได้ว่าไม่ได้สนใจมันเลย ผมตัดสินโมนะกะว่าเป็นสาวเเกล จากรูปลักษณ์ภายนอก และคิดว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารัก ผมแค่ไม่ได้ใส่ใจมากจนถึงขั้นเปลี่ยนทัศนคติไปตามคนอื่น นั่นอาจหมายความว่า ผมไม่ได้สนใจคนอื่นมากนัก ผมเป็นคนเห็นแก่ตัว ทำอะไรตามเหตุผลเพื่อประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น
“ไม่มีใครหรอก ที่จะใจดีกับทุกคนเหมือนรุ่นพี่ แม้แต่ตอนเป็นเด็ก…ไม่สิ โดยเฉพาะตอนเด็กๆ ยิ่งจะกีดกันคนที่ดูแตกต่างอย่างฉัน”
“ดังนั้น เธอถึงได้จงใจตีตัวออกห่าง?”
“เพราะแบบนั้นมันดีกว่าสำหรับทุกคน ไม่ใช่เหรอ?”
ถ้าการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันนำมาซึ่งความเสียหาย ก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวกันจะดีกว่า ผมเห็นด้วย แต่ผมแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า การทำแบบนี้จะทำให้โมนะกะมีความสุข
“นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่พยายามนะ” คาวานะพูดขึ้น น้ำเสียงดูแข็งกระด้าง หลังจากที่เงียบฟังโมนะกะ
“คาวานะ…แต่โมนะกะ…”
“ท่านประธานใจดีเกินไป ผู้หญิงคนนี้แค่กำลังหนีปัญหา” คาวานะพูดอย่างเย็นชา หันไปมองโมนะกะ
โมนะกะดูเหมือนจะร้องไห้ เธอกำลังรอ คำพูดของคาวานะ
“เธอมีทุกอย่างที่ฉันไม่มี ทั้งพรสวรรค์ที่จะทำให้คนอื่นชอบ รูปลักษณ์ที่สวยงาม ความบริสุทธิ์ที่จะรักในสิ่งที่ตัวเองรักได้อย่างอิสระ…แต่เธอกลับเอาแต่หนีปัญหา แล้วก็เก็บตัว”
“มัตสึริน…”
“เธอควรจะลบล้างภาพลักษณ์ที่ดูจากภายนอกนั่น…เอาจริงๆ ฉันเริ่มจะมองเธอใหม่แล้วนะ”
“เอ๋…?” โมนะกะเบิกตากว้าง
เมื่อเห็นดังนั้น คาวานะก็เผยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ดังนั้น ช่วยทำงานจุกจิกที่สภานักเรียนให้เต็มที่ด้วยล่ะ ถ้าเธอพยายามอย่างหนัก แน่นอนว่าต้องมีคนเข้าใจเธอมากยิ่งขึ้น”
“…เธอยอมให้ฉันอยู่ที่นี่เหรอ?”
“แค่ช่วยงานจุกจิกเท่านั้นแหละ เธอไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับฉันหรอก แต่ดูเหมือนเธอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง” น้ำเสียงของเธอดูเย่อหยิ่ง แต่ใครๆ ก็ดูออกว่าเธอกำลังเขินอาย
ดวงตาของโมนะกะเป็นประกาย เธอลุกขึ้นยืน
“มัตสึริน-!”
โมนะกะเดินเข้าไปกอดคาวานะ คาวานะตกใจ พยายามหลบ แต่เพราะเธอนั่งอยู่ใกล้โต๊ะ เลยถูกจับได้
“นี่! เลิกเรียกฉันด้วยชื่อแปลกๆ นั่นสักที!”
“ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่! จะขัดรองเท้าให้มัตสึรินด้วย!”
“ไม่ต้อง! เธอน่ะ มีแต่จะทำให้รองเท้าฉันยิ่งสกปรกซะเปล่าๆ” คาวานะดิ้นไปมา พยายามสะบัดโมนะกะออก แต่โมนะกะกลับกอดแน่นขึ้น ไม่ยอมปล่อย อย่างที่รู้ๆ กัน เธอเป็นคนที่ชอบสกินชิพเอามากๆ
…ผมไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลย เอาเข้าจริง ผมไม่ได้ทำอะไรเลย คาวานะพูดทุกอย่างที่ควรพูดไปหมดแล้ว อ๊ะ! เธอพูดในสิ่งที่ผมคิดทั้งหมดเลย! ผมขอภูมิใจกับเรื่องนี้หน่อยแล้วกัน ถึงผมจะพูดได้ไม่ดีเท่าเธอ…
“ท่านประธานคะ ช่วยฉันด้วย…” คาวานะหันมาขอความช่วยเหลือจากผม น้ำตาคลอ
ท่าทางลนลานของเธอดูตลกดี ผมจึงปล่อยเธอไว้แบบนั้นสักพัก
“เอาล่ะ เราจะเริ่มเตรียมงานคริสต์มาสกันเลยไหม? จะเอายังไงกับใบปลิวดี?” ผมพูดกับตัวเอง หันไปสนใจคอมพิวเตอร์
“โมนะกะซัง ท่านประธานชอบดูรุ่นน้องกอดกัน ดังนั้น เลิกกอดได้แล้ว ดูหน้าพึงพอใจของเขาสิ”
“หา? จริงเหรอคะ รุ่นพี่?” ดูเหมือนคาวานะจะเปลี่ยนไปเกลี้ยกล่อมโมนะกะแทน
ผมไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้นสักหน่อย ไว้มีโอกาสจะฟ้องเธอข้อหาหมิ่นประมาท แต่ถ้าเธอฟ้องกลับข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ ผมคงแพ้ ดังนั้น เอาไว้ก่อนดีกว่า
“ใช่ เธอไม่ควรทำให้พวกโรคจิตพอใจ…”
โครม!
ขาของคาวานะที่ดิ้นไปมาโดนโต๊ะ ถึงจะไม่ได้แรงมาก แต่เอกสารที่วางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะก็ร่วงลงมา เป็นแฟ้มใส ข้างในเป็นเอกสารที่คาวานะเตรียมไว้ แฟ้มบนสุดหล่นลงมาจากโต๊ะ กระดาษข้างในกระจัดกระจายเต็มพื้น
“อ๊ะ…ขอโทษ ขอโทษค่ะ” โมนะกะรีบผละออกจากคาวานะ นั่งยองๆ เก็บเอกสารที่ตกอยู่
“ไม่!” คาวานะพยายามห้าม แต่มันสายเกินไป โมนะกะเก็บเอกสารขึ้นมาแล้ว
“นี่มัน…” โมนะกะเบิกตากว้าง มองกระดาษในมือ
“คืนมานะ!” คาวานะแย่งไปด้วยท่าทางลนลาน ไม่สนใจว่ากระดาษจะยับ กอดเอกสารไว้แน่น ราวกับจะปกปิด ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตึงเครียด สายตาเหม่อลอย
ทุกอย่างเงียบงัน เวลาหยุดหมุน ผมแปลกใจกับปฏิกิริยาของคาวานะ แต่โมนะกะที่ขึ้นชื่อเรื่องไม่รู้จักดูบรรยากาศก็ทำลายความเงียบลง
“ภาพประกอบใช่ไหม? มัตสึรินวาดเหรอ!?” คาวานะสะดุ้ง
“สวยมากเลย! รุ่นพี่รู้เรื่องนี้ไหมคะ?”
“อืม รู้สิ”
คาวานะวาดรูปเก่ง แถมยังมีเซนส์ทางด้านดีไซน์ เธอมีความสามารถในการดึงดูดความสนใจ ตอนที่ชวนเธอเข้าสภานักเรียนใหม่ๆ ผมก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าเธอเป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบโดยพฤตินัยของสภานักเรียนไปแล้ว แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยอยากทำเท่าไหร่
“มัตสึรินสุดยอดไปเลย ฉันวาดรูปไม่เป็นเลย” โมนะกะอุทานออกมา
“ไม่ได้จะอวดนะ แต่ฉันก็วาดไม่เป็นเหมือนกัน ว่าแต่ ฉันเคยให้มัตสึรินวาดรูปเหมือนฉันด้วยล่ะ”
“หา? ไม่ยุติธรรมเลย มัตสึริน ฉันก็อยากให้เธอวาดให้เหมือนกัน!”
“ฮ่าๆๆ มัตสึรินไม่ได้วาดให้ใครง่ายๆ หรอกนะ”
ว่าแต่ รูปนั้นน่ะ สวยจนน่าตกใจ ทำให้ผมดูหล่อเหลาขึ้นมาก ผมสงสัยว่าคาวานะมองผมแบบนั้นเหรอ แต่เธอบอกว่าวาดโดยไม่ได้มองหน้าผม นั่นก็ไม่ใช่รูปเหมือนแล้วสิ
ในขณะที่ผมกับโมนะกะกำลังตื่นเต้น คาวานะก็เดินมาหา โดยที่ยังคงกอดเอกสารไว้
“มัตสึรินๆอยู่ได้ พอได้แล้ว! น่ารำคาญ! ฉันแค่วาดฆ่าเวลาน่ะ มันไม่ได้สวยอะไรเลย!” คาวานะพูดเสียงดัง ขัดจังหวะบทสนทนาของพวกเรา
“การวาดรูปมันไม่ได้มีประโยชน์อะไร ฉันกะจะทิ้งพวกนี้อยู่แล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครเห็นด้วย” เธอวางเอกสารลงบนโต๊ะ หยิบกระดาษที่ดูเหมือนจะเป็นภาพประกอบ เดินไปที่ถังขยะข้างๆ กำแพง
“นี่มัน—”
“ยึด”
ในขณะที่คาวานะกำลังจะทิ้ง ผมก็รีบคว้าไว้
“ฉันไม่ยอมหรอก”
“คืนมานะคะ”
“เธอกำลังจะทิ้งไม่ใช่เหรอ? งั้นฉันจะเก็บไว้เอง”
“ไม่ ฉันไม่อยากให้รุ่นพี่เก็บไว้ อย่ามองนะคะ”
คาวานะพยายามแย่งคืน ผมจึงยกแขนขึ้นสูงๆ
“ฮึ้ย ฮึบ แฮ่ก” คาวานะกระโดดขึ้นลง พยายามแย่ง แต่ก็เอื้อมไม่ถึง
…สนุกดีเหมือนกันนะเนี่ย เห็นคาวานะกระโดดไปมา ผมก็ยิ่งอยากแกล้ง
บางทีผมอาจจะใจร้ายเกินไป คาวานะหน้าแดงก่ำด้วยความหงุดหงิด
“เลิกยิ้มแบบนั้นสักที”
“ฉันยิ้มเจ้าเล่ห์เหรอ?”
“ใช่ น่าขนลุก”
“โหดร้ายจัง…ฉันนึกว่าเป็นรอยยิ้มสดใสซะอีก”
ผมตกใจมาก คาวานะยอมแพ้ เปลี่ยนมาใช้วิธีจิตวิทยาแทน ได้ผลดีมาก…แต่ผมไม่สามารถคืนกระดาษแผ่นนี้ให้คาวานะได้
“รุ่นพี่ก็รู้ ฉันเกลียดการวาดรูป”
“ฉันรู้ว่าเธออยากจะเกลียดมัน แต่จริงๆ แล้ว เธอทำไม่ได้หรอก”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันเกลียดมันจริงๆ”
เธอก็ไม่เคยพูดความจริงสักที เธอเป็นคนที่ตรงข้ามกับโมนะกะที่พูดทุกอย่างที่คิด ถ้าตีความทุกอย่างที่เธอพูดกลับด้าน ก็น่าจะเข้าใจง่ายขึ้น
“แต่ถ้าไม่ชอบ ก็คงวาดออกมาสวยขนาดนี้ไม่ได้หรอก จริงไหม?” โมนะกะพูดแทรกขึ้นมา
ถึงน้ำเสียงจะดูสบายๆ แต่เธอก็พูดถูกจุด
“โมนะกะ…พูดถูกเลย”
“เอ๊ะๆ ใช่แล้ว บางครั้งฉันก็พูดอะไรดีๆ เหมือนกันนะ”
“จริงด้วย คาวานะ ถ้าเกลียดจริงๆ คงวาดเก่งขนาดนี้ไม่ได้หรอก ดูฉันสิ ส่วนใหญฉันจะไม่ชอบอะไร แล้วก็เอาแต่อู้งาน ดังนั้น ฉันจึงไม่เก่งอะไรสักอย่าง”
ภาพประกอบเหรอ…ผมมักจะคิดว่า การวาดรูปเป็นคงจะดี เช่นเดียวกับการเล่นดนตรี การร้องเพลง และกีฬา ถึงจะไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ แต่ผมก็อิจฉาคนที่ทำได้ ผมเคยลองทำทั้งสองอย่าง แต่ผลลัพธ์ก็น่าเศร้า ผมไม่ได้ตั้งใจจะแก้ตัวว่าไม่มีพรสวรรค์หรอกนะ เพียงแต่ผมไม่ได้พยายามอย่างต่อเนื่อง คนส่วนใหญ่ไม่สามารถพยายามทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบจริงๆ โดยเฉพาะในด้านศิลปะ ที่ความพยายามไม่ได้แปรผันตรงกับผลลัพธ์ เราไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า ควรจะทำมากแค่ไหน ถึงจะได้ผลลัพธ์แบบไหน มันจะให้ประโยชน์อะไรกับเรา…ถ้าสามารถพยายามต่อไปได้ ก็น่าจะหมายความว่าชอบมัน
“ท่านประธานดูเหมือนจะเป็นคนที่ทำอะไรก็เก่งไปหมดเลยนะคะ”
“ได้ยินคำชมแบบนี้จากรุ่นน้องก็ดีใจเหมือนกันนะ คือ ฉันเป็นพวก ‘รู้ทุกอย่าง แต่ไม่เชี่ยวชาญอะไรเลย’ ดังนั้น ถึงจะทำได้แบบผิวเผิน แต่ก็ไปต่อไม่ได้…ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดถึงฉันหรอก”
ถึงผมจะทุ่มเทให้กับการวาดรูป ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเก่งเท่าคาวานะ ผมไม่ค่อยได้เห็นภาพวาดของเธอ แค่บังเอิญเห็นตอนที่กำลังชวนเธอเข้าสภานักเรียน ถึงอย่างนั้น คาวานะก็พยายามจะปิดบัง หลังจากนั้น ผมก็ชวนให้เธอวาดอีกหลายครั้ง…แม้แต่มือสมัครเล่นอย่างผมก็รู้สึกได้ว่า คุณภาพสูงมาก
“เธอวาดรูปเก่งมาก มั่นใจหน่อยสิ”
“ใช่! ฉันอยากอวดให้ทุกคนเห็นเลย”
พวกเราทั้งคู่ต่างก็ชม แต่สีหน้าของคาวานะก็ยังคงดูหมองหม่น
“ฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอก ฉันแค่ฝึกฝนด้วยตัวเอง เทียบกับคนที่จริงจังกับมัน ก็ไม่ได้เรื่องหรอก”
ผมคิดว่าคาวานะมีเซนส์ทางด้านนี้มาก แต่คงมีความแตกต่างบางอย่างที่คนที่ไปถึงระดับหนึ่งเท่านั้นถึงจะเข้าใจ มีหลายคนที่พยายามมากกว่านี้ ทุ่มเทชีวิตให้กับศิลปะ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคาวานะไม่เก่ง
“…ฉันเกลียดการวาดรูป ฉันต้องเกลียดมัน…ฉันไม่มีเวลาว่างมายุ่งกับเรื่องไร้สาระแบบนี้หรอก”
“เพราะการเรียนเหรอ?”
“ค่ะ”
อะไรกันนะ ที่ทำให้คาวานะกังวลขนาดนี้ แน่นอน การเรียนเป็นสิ่งสำคัญ มันเป็นหน้าที่ของนักเรียน และคำพูดของผู้ใหญ่ที่ว่า ต้องตั้งใจเรียน เพื่ออนาคตที่ดี ก็ถูกต้องตามหลักเหตุผล แต่ผมรู้สึกว่า คำพูดของคาวานะมีอะไรมากกว่านั้น ดูเหมือนเธอจะผลักดันตัวเองจนถึงขีดจำกัด กดข่มสิ่งอื่นๆ ที่เธออยากทำ
“ฉันต้องเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ให้ได้…ฉันเคยสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายไม่ติด…สามปีนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ถ้าไม่ฮึดขึ้นมาตอนนี้ ก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว” เธออธิบายเหตุผลด้วยสีหน้าจริงจัง
บางทีเธออาจจะบอกพวกเรา เพราะคิดว่าไม่งั้นผมกับโมนะกะจะไม่ยอมเลิกรา ถ้าเธอตั้งใจเรียนเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมก็เถียงไม่ได้ ถ้าเธอตั้งเป้าไว้ที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ คู่แข่งของเธอก็คือคนที่ทุ่มเทช่วงวัยรุ่นทั้งหมดให้กับการเรียน นั่นเป็นหนึ่งในคำตอบที่ถูกต้องสำหรับชีวิตมัธยมปลาย
แล้วก็ สอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายไม่ติด…โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนเอกชน มีคะเเนนมาตรฐานสูงกว่าค่าเฉลี่ย ผมเลือกโรงเรียนนี้เพราะใกล้บ้าน เพื่อลดเวลาเดินทางที่เปล่าประโยชน์ แต่เด็กมัธยมต้นหลายคนเลือกโรงเรียนนี้เป็นตัวเลือกสำรอง คาวานะเองก็คงเลือกโรงเรียนนี้เป็นตัวเลือกสำรองเช่นกัน ความสามารถทางวิชาการของเธอนั้นยอดเยี่ยมมาก เธอน่าจะมีศักยภาพที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายระดับสูงกว่านี้ บางทีนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอมีปมด้อย หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะอิทธิพลจากพ่อแม่ของเธอ