ยัยตัวแสบแอบปิ๊งรุ่นพี่เข้าเเล้ว น่ารักเกินต้าน! - ตอนที่ 4.1 รุ่นน้องผู้มากความสามารถ
- Home
- All Mangas
- ยัยตัวแสบแอบปิ๊งรุ่นพี่เข้าเเล้ว น่ารักเกินต้าน!
- ตอนที่ 4.1 รุ่นน้องผู้มากความสามารถ
“…นี่ โมนะกะ”
“หืม?” เธอขานรับในลำคอ
“ทำอะไรอยู่น่ะ?” ผมเอ่ยถาม วันนี้เป็นวันถัดจากเหตุการณ์ปะทะคารมณ์เล็กๆ ระหว่างคาวานะกับโมนะกะ อย่างที่คาดไว้ โมนะกะไม่พลาดโผล่มาที่ห้องสภานักเรียนอีกเช่นเคย แต่ที่แปลกตาออกไปคือชุดที่เธอสวมใส่วันนี้ หน้ากากอนามัย ผ้าโพกหัว และผ้ากันเปื้อน ราวกับเตรียมพร้อมเข้าคลาสเรียนทำอาหาร แต่ในมือกลับถือผ้าขี้ริ้ว
“ทำความสะอาดไงล่ะ” เธอตอบ
“เริ่มทำความสะอาดใหญ่ช่วงปลายปีเร็วไปหน่อยรึเปล่า? ยังไม่ถึงสิ้นปีเลยนะ”
“เปล่าซะหน่อย ฉันแค่ทำความสะอาดห้องสภานักเรียนตามปกติน่ะ”
“ปกติที่ไหนกัน เธอไม่เคย…”
“อ๊ะ! อย่าไปพูดแบบนั้นสิ!” โมนะกะรีบห้าม
วันนี้ไม่ใช่แค่โมนะกะที่แปลกไป คาวานะเองก็มาที่ห้องสภาหลังเลิกเรียนเช่นกัน โมนะกะคอยเหลือบมองคาวานะเป็นระยะ พลางเช็ดโต๊ะและชั้นวางของ
“รู้ไหม ฉันเป็นคนขยันนะ~ ชอบทำงานบ้าน ทำความสะอาดอะไรแบบนี้~ ยังไงซะ ฉันก็เป็นคนที่สภานักเรียนขาดไม่ได้อยู่แล้ว~” โมนะกะพูด น้ำเสียงเหมือนพยายามออดอ้อน…คาวานะ?
เธอคงคิดหนักน่าดูว่าจะทำตัวยังไงดี หลังจากที่เมื่อวานถูกมองว่าเป็นส่วนเกิน นี่คงเป็นแผนการที่จะเรียกร้องความสนใจจากคาวานะล่ะมั้ง
“ท่านประธานคะ เรื่องรายการอุปกรณ์สำหรับงานคริสต์มาส…” คาวานะเอ่ยขึ้น
“อ้อ ฉันรวบรวมไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ เมื่อวานน่ะ”
“สมกับเป็นท่านประธาน ยอดเยี่ยมไปเลยค่ะ ดูเหมือนเรื่องงบประมาณก็จะไม่มีปัญหาด้วย ในเมื่อเดิมทีงานนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตของเล่น เราจึงแค่ซื้อของใช้สิ้นเปลืองกับอาหารก็พอ”
เมื่อวานได้ข้อสรุปคร่าวๆ แล้ว วันนี้จึงเป็นการปรึกษาหารือในรายละเอียด คาวานะคุยกับผมต่อ โดยไม่สนใจโมนะกะ แต่ถึงจะถูกเมิน โมนะกะก็ไม่ยอมแพ้ พยายามแทรกเข้ามาในบทสนทนา “ฉันจะช่วยขนของ! ฉันรู้เรื่องขนมเยอะแยะเลย!”
ดูท่าทางน่าสงสารนิดหน่อย…
“งั้น งานหนักจริงๆ ก็คือการประชาสัมพันธ์สินะคะ”
“ใช่ ตอนที่ฉันยังเป็นรองประธาน…น่าจะช่วงเดือนกันยายนนะ ฉันได้ไปพูดคุยกับโรงเรียนประถมและสมาคมเด็กในละแวกนี้แล้ว พวกเขาน่าจะรู้จักงานนี้อยู่บ้าง เพราะจัดทุกปี”
“ใบปลิวก็ยังไม่เสร็จ แถมเวลาก็เหลือน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ”
“ก็ช่วงนี้วุ่นวาย เพราะเพิ่งเปลี่ยนคณะกรรมการชุดใหม่ เอาเข้าจริง งานอีเวนต์ไหนๆ มันก็ ฉุกละหุกแบบนี้ทุกทีแหละ” สภานักเรียนมีวาระแค่ปีเดียว สมาชิกก็เปลี่ยนทุกปี การทำงานแบบคลำทางไปเรื่อยๆ จึงเป็นเรื่องปกติ
ผมแอบคิดว่า หรือที่ผ่านมาเราจะชะล่าใจเกินไปนะ แต่ก็นะ ยังไงสุดท้ายทุกอย่างก็ลงเอยด้วยดีเสมอ งานคริสต์มาสก็มีผู้เข้าร่วมประจำอยู่บ้างแล้ว เช่น สมาคมเด็กในท้องถิ่น ดังนั้น ก็น่าจะพอคาดการณ์จำนวนคนได้
“ในเมื่อยังไม่มีใบปลิว…งั้นวันนี้เราไปเยี่ยมเลยไหมคะ?”
“ก็คิดไว้เเล้วว่าต้องพูดแบบนั้น เลยนัดหมายไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ”
“ท่านประธานนี่ ทำงานเก่งจนน่าขนลุกเลยนะคะ”
“ถ้าจะชม ช่วยชมจากใจจริงหน่อยสิ”
ฟุฮะฮะ โดนรุ่นน้องชมซะเขินเลย อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด การโชว์ฝีมือให้เห็นนี่ได้ผลดีจริงๆ
“ไปกันเถอะค่ะ ก่อนที่อากาศจะเย็นกว่านี้” คาวานะสวมเสื้อแจ็กเก็ต หยิบเฉพาะของที่จำเป็นติดตัวไป ยังไม่เย็นเลย ผมว่าไม่เห็นต้องใส่เสื้อหนาขนาดนั้นก็ได้ หรือว่าเธอขี้หนาวกันนะ
“อื้อ…ฉันนี่มันไร้ประโยชน์จริงๆ…” โมนะกะงอน หลังจากถูกเมินอยู่นาน
“งั้นฉันจะอยู่เฝ้าห้องสภาเงียบๆ นะ…”
“ทำอะไรอยู่? รีบเตรียมตัวสิ” คาวานะพูด
“หา?” โมนะกะทำหน้างง
จากนั้นคาวานะก็ชวนโมนะกะราวกับเป็นเรื่องปกติ โมนะกะมองคาวานะด้วยสีหน้าสับสน
“ไม่ไปด้วยกันเหรอ? ข้อดีเดียวของเธอคือพูดเก่งไม่ใช่เหรอไง ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ แล้วจะทำงานตอนไหนล่ะ?”
“…ฉันไปด้วยได้เหรอ?”
“ฉันรู้สึกไม่สบายใจที่จะทิ้งเธอไว้ในห้องสภานักเรียนตามลำพัง”
“ฉันจะไม่ทำห้องรกหรอกน่า!” อารมณ์ของโมนะกะดีขึ้นทันตา รีบเตรียมตัว เดินตามคาวานะไปติดๆ ผมเดินตามพวกเธอไป พลางอมยิ้มไปด้วย
“ท่านประธานคะ การจ้องมองผู้หญิงจากด้านหลังมันน่าขนลุกนะคะ”
“รุ่นพี่คะ บางที ไม่จำเป็นต้องมาด้วยก็ได้นะคะ?” ทั้งคู่หันกลับมาอย่างพร้อมเพรียง
“ขอร้องไห้หน่อยได้ไหมเนี่ย?” ผมบ่นอุบ
ถึงคาวานะจะยังไม่ยอมรับโมนะกะ แต่ผมก็ดีใจที่เห็นเธอพยายามที่จะเข้าหา บางทีความพยายามที่แสนน่ารำคาญของโมนะกะอาจจะได้ผล…ถึงจะถูกปฏิบัติอย่างรุนแรง แต่เธอก็สามารถแทรกซึมเข้าไปในใจคาวานะได้ ลึกๆ แล้ว คาวานะคงไม่อยากเกลียดใคร นั่นเป็นเหตุผลที่เธอพยายามทำความเข้าใจโมนะกะ เพื่อดูว่าเธอแย่จริงอย่างที่คิดหรือเปล่า
หลังจากออกจากโรงเรียน พวกเราก็ไปยังสถานที่ที่นัดหมายไว้ เป้าหมายหลักของวันนี้ไม่ใช่การดึงดูดผู้คน แต่เป็นการไปทักทาย เนื่องจากเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับเด็กๆ ดังนั้น การที่ผู้จัดงานจะแสดงตัวจึงเป็นเรื่องสำคัญ จุดประสงค์หลักคือการปูทางกับประธานสมาคมผู้ปกครองและอาจารย์ และอาจารย์ใหญ่โรงเรียนประถม ส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกว่าการปูทางแบบนี้มันน่าเบื่อ ไม่ใช่แนวทางของผม…แต่มนุษยสัมพันธ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผลเพียงอย่างเดียว ตำแหน่งประธานสภานักเรียนมีไว้สำหรับช่วงเวลาแบบนี้ ดังนั้น ผมคงต้องทำหน้าที่ของตัวเอง
…ผมคิดแบบนั้น แต่สถานการณ์กลับพลิกผัน
“เอ๋~ เลี้ยงเยอะขนาดนี้ไม่เป็นไรจริงๆ เหรอคะ? ว้าว โดรายากิอร่อยมากๆ เลยค่ะ!”
โอโอบะ โมนะกะกลายเป็นคนโปรดของคุณปู่ประธานสมาคมผู้ปกครองและอาจารย์ไปเสียแล้ว ทุกครั้งที่โมนะกะหยิบขนมเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยบนโซฟา ใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมของปู่ก็จะดูอ่อนโยนลง
“ข้าวเกรียบก็อร่อยที่สุดเลยค่ะ! พอทานของหวานแล้ว ก็อยากทานของเค็มๆ ใช่ไหมคะ~?”
“มีอีกเยอะแยะเลย ทานได้ตามสบายเลยนะ”
“เอ๋~ จริงเหรอคะ? ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ!”
เธอดูไม่ต่างจากหลานสาวที่มาเยี่ยมบ้านปู่เลย ผมกับคาวานะยืนมองอยู่ด้านหลัง สบตากัน ราวกับกำลังสื่อสารกันทางสายตา เราควรจะหยุดดีไหมนะ…? พวกเรามาที่นี่เพื่อทักทาย แต่กลับถูกเลี้ยงดูปูเสื่อซะอย่างนั้น ตอนที่พวกเรามาเมื่อปีที่แล้ว การทักทายเป็นไปอย่างเคร่งขรึมกว่านี้…เช่น “ปีนี้พวกเราก็ขอความกรุณาด้วยนะครับ…” แต่ก็นะ การสนทนาดำเนินไปอย่างราบรื่น จะขัดจังหวะก็กระไรอยู่ คาวานะเองก็ดูเหมือนจะคิดแบบเดียวกัน เธอมองดูสถานการณ์เงียบๆ
“เอาล่ะๆ ดีใจจริงๆ ที่พวกหนูแวะมาเยี่ยม หลานๆ ของปู่โตกันหมดแล้ว ไม่ค่อยได้มาหาปู่เลย อยากได้ค่าขนมไหม?”
“ได้เหรอคะ~?” โมนะกะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น จนผมต้องฟาดเธอจากด้านหลัง
“โอ๊ย!” โมนะกะร้อง เอามือจับหัว
รับเงินนี่มันเกินไปแล้ว ในเมื่ออยู่ต่อไม่ได้ พวกเราจึงกล่าวลาอย่างสุภาพ แล้วออกจากบ้านของประธานสมาคมผู้ปกครองและอาจารย์
“คุณปู่ใจดีจังเลยนะคะ!”
“ฉันนึกว่าท่านจะดูน่ากลัวกว่านี้ซะอีก” โมนะกะดูอารมณ์ดี หลังจากที่ได้ทานขนมเยอะแยะ ผมเข้าใจความรู้สึกอยากให้ขนมเธอ เพราะโมนะกะชอบทานขนมจริงๆ นั่นแหละ…แต่ก็นะ เธอเป็นมิตรกับทุกคนเกินไปแล้ว
หลังจากนั้น พวกเราก็ไปเยี่ยมบุคคลสำคัญอีกหลายคน ส่วนใหญ่ก็มีปฏิกิริยาคล้ายๆ กัน แม้แต่ครูใหญ่ที่ตอนแรกดูจะระแวงรูปลักษณ์ภายนอกของโมนะกะ แต่ก็ถูกเธอเอาชนะใจได้อย่างรวดเร็วเมื่อเธอเริ่มพูด วิธีพูดที่เป็นมิตรของโมนะกะดูเหมือนจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้สูงอายุ
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจตามกำหนดการ พวกเราก็เริ่มเดินทางกลับโรงเรียน พวกเราทั้งสามคนเดินไปตามทางที่ส่องสว่างด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็น ผมมองดูทั้งสองคนที่เดินนำหน้า รู้สึกเหมือนพวกเราจะเดินตามกันแบบนี้มาทั้งวันแล้ว โมนะกะจะพยายามคุยกับคาวานะ ส่วนคาวานะก็จะพยายามหนี ดังนั้น จึงลงเอยแบบนี้
โมนะกะหันมายิ้ม “สนุกจังเลย!”
“…ดีใจที่เธอสนุกนะ” ปกติผมจะคิดว่าการเดินสายทักทายแบบนี้เป็นงานที่น่าเบื่อ แต่ต้องขอบคุณโมนะกะที่ทำให้บรรยากาศดีตลอด พวกเราใช้เวลามากกว่าที่วางแผนไว้สองเท่า เพราะมัวแต่คุยกัน
“อ๊ะ! แต่ฉันไม่ได้ทำงานเลยนี่นา เอาแต่พูด!…” โมนะกะเพิ่งจะรู้ตัว มองคาวานะด้วยสีหน้าเหมือนรอโดนดุ
“…ในทางตรงกันข้าม นั่นเป็นการแสดงออกที่ดีที่สุดที่เธอทำได้แล้วล่ะ” คาวานะพูดอย่างไม่เต็มใจนัก ดูเหมือนเธอจะไม่อยากพูดมันออกมา
เอาเข้าจริง ถ้ามีแค่ผมกับคาวานะ บรรยากาศคงไม่ผ่อนคลายขนาดนี้ และพวกเราก็คงจะทักทายกันแบบเคร่งเครียด…แบบไหนดีกว่ากัน ก็คงแล้วแต่มุมมองล่ะมั้ง
“รุ่นพี่คะ ฉันควรทำยังไงดี? คาวานะซังชมฉันด้วย!”
“ฉันไม่ได้ชมเธอ”
“ชมสิ! แถมยังชมแบบยกย่องอีกต่างหาก!”
“ฉันแค่ประเมินเธออย่างยุติธรรม”
“เอ๋~ ดีใจจัง!”
เมื่อคาวานะหันหน้าหนี โมนะกะก็เดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อให้เธอเห็น คาวานะหันไปอีกทางราวกับจะหนี โมนะกะก็รีบเดินวนไปอีก
“ฉันเรียกเธอว่า ‘มัตสึริน’ ได้ไหม?”
“ไม่ได้”
“แต่เธอเรียกฉันว่าโมนะกะได้นะ!”
“อย่าทำให้มันดูเหมือนการแลกเปลี่ยนสิ ฉันไม่ได้อะไรจากการทำแบบนั้น” …ดูเหมือนพวกเธอกำลังหยอกล้อกัน
“เธอน่ารำคาญ ช่วยอยู่ห่างๆ หน่อยสิ”
“แต่ฉันดีใจนะ ที่เธอยอมรับฉัน!”
“ฉันยังไม่ได้ยอมรับเธอเเบบเต็มที่หรอกนะ” ในที่สุดคาวานะก็ยอมมองโมนะกะตรงๆ
“การที่เธอเป็นเด็กเกเรมันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปหรอกนะ”
“ฉันไม่ใช่เด็กเกเร เรียกฉันว่า ‘สาวเเกล’ สิ”
“สำหรับฉันแล้ว มันก็เหมือนกันนั่นแหละ”
คาวานะมีประสบการณ์อันเลวร้ายกับเด็กเกเรหรือสาวเเกล หรือเปล่านะ? หรือเป็นอย่างที่เธอพูด คือ ความอิจฉา? ยังไงก็เถอะ เธอก็ไม่ได้มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของโมนะกะ แต่เพราะคาวานะรู้ตัว เธอจึงพยายามที่จะยอมรับโมนะกะทีละเล็กทีละน้อย ผมดีใจจริงๆ
พวกเรายังเดินไปได้ไม่ไกล จึงมาถึงโรงเรียนอย่างรวดเร็ว พวกเราเดินขึ้นบันได ตรงไปที่ห้องสภานักเรียน
“กลับมาแล้ว~”
“ควรจะพูดว่า ‘ขออนุญาต’ จะเหมาะสมกว่านะ”
“เฮะๆ ที่นี่เหมือนบ้านหลังที่สองของฉันเลย จริงๆ แล้วสบายกว่าบ้านจริงๆ ของฉันอีกนะ” โมนะกะกางแขน หมุนตัว ก่อนจะเผลอไปโดนกำแพง
เด็กบ้าเอ๊ย…
“เธอควรจะร่าเริงในห้องเรียนเหมือนอย่างวันนี้บ้างนะ”
“อืม…ฉันก็อยากเป็นแบบนั้นเหมือนกัน เพราะนี่แหละคือตัวตนของฉัน…” โมนะกะนั่งลงบนเก้าอี้ ลูบมือตัวเอง พูดตะกุกตะกัก
ในฐานะคนที่รู้จักแต่โมนะกะที่ร่าเริง ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าเธอจะเงียบ เธอมักจะพูดไม่หยุด แต่โมนะกะเงียบมากในห้องเรียน เธอไม่สุงสิงกับใคร และมีสีหน้าที่ดูเคร่งขรึม ถ้ารอยยิ้มที่เป็นมิตรของโมนะกะหายไป ก็คงดูน่ากลัวนิดหน่อย เธอดูเหมือนสาวเเกลตัวจริง
“ถ้านี่คือตัวตนที่แท้จริงของเธอ ทำไมไม่แสดงออกมาล่ะ?”
“…ฉันกลัว ฉันถูกกีดกัน ถูกเกลียด มานานเท่าที่จำความได้” โมนะกะพูด เเล้วฝืนยิ้ม
“นั่น…” คาวานะพูดไม่ออก
คนที่ไม่ชอบโมนะกะโดยไม่มีเหตุผล ก็คือคาวานะนั่นเอง ในขณะที่คาวานะกำลังหาคำพูด ผมจึงพูดแทรกขึ้นมา
“โมนะกะ เธอก็พูดแบบนี้มาก่อน หมายความว่ายังไงเหรอ? สำหรับฉัน เธอไม่ใช่คนที่น่าจะถูกเกลียดเลยนะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันบอกแล้วไง? มีแค่รุ่นพี่คนเดียวเท่านั้นแหละที่ไม่ได้ตัดสินฉันจากภายนอก” โมนะกะหรี่ตาลงอย่างเศร้าๆ
“ตั้งแต่เด็กๆ ก่อนที่ฉันจะย้อมผม รู้ไหม? พวกเขาบอกว่าฉันชอบเยาะเย้ย ชอบทำตัวเหลวไหล ชอบดูถูกคนอื่น ทั้งอาจารย์และเพื่อนๆ ต่างก็พูดแบบนั้น สีหน้าของฉัน… ถึงแม้จะพยายามจริงจังแค่ไหน พวกเขาก็ยังมองว่าเป็นแบบนั้น…”
น้ำเสียงที่เหมือนพูดเล่นของเธอกลับทำให้ฟังดูเจ็บปวดมากขึ้น
ใบหน้าของโมนากะนั้น หากจะว่ากันตามตรงแล้ว ก็ต้องบอกว่างดงามได้รูปอย่างหาที่ติไม่ได้ งดงามเสียจนแทบจะเหมือนไม่ใช่คนจริงๆ
ทว่าในขณะเดียวกัน ความงดงามนั้นกลับแผ่รังสีบางอย่างออกมา รังสีที่ทำให้ใครต่อใครต่างก็รู้สึกยากที่จะเข้าใกล้เธอได้
*ต่อจากนี้สำหรับการเเบ่งตอนจะใช้ความต่อเหนื่องของเนื้อหาเป็นหลักเกณฑ์ในการเเบ่งเพื่อไม่ให้ยาวเเละสั้นเกินไป