ยัยตัวแสบแอบปิ๊งรุ่นพี่เข้าเเล้ว น่ารักเกินต้าน! - ตอนที่ 3
“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าตอนนี้จะกลางเดือนพฤศจิกายนแล้ว เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ” โมนะกะเอ่ยขึ้นอย่างเฉื่อยชา ตามแบบฉบับของเธอ วันนี้เธอก็ยังคงมาป้วนเปี้ยนอยู่ที่ห้องสภานักเรียนเหมือนเช่นเคย
“รู้สึกว่าอีกแค่เดือนกว่าๆ คงทำเป้าหมายปีนี้ไม่ทันแน่เลย~”
“เป้าหมายปีนี้ของโมนะกะคืออะไรเหรอ?” ผมถาม
“เอ๋~ ก็อย่างเช่น กระโดดร่ม บันจี้จัมพ์ ฝึกสมาธิใต้ธารน้ำตก ปีนหน้าผา อะไรเทือกๆ นั้นแหละ!” โมนะกะร่ายยาวพร้อมกับเปิดสมุดแพลนเนอร์คู่ใจ ดูท่าทางจะเป็นเป้าหมายที่อลังการไม่น้อยเลย
“อ้อ! แล้วก็อยากสูงเกิน 180 เซนติเมตรด้วย!”
“เป็นไปไม่ได้หรอก” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ใครจะไปรู้ล่ะ เผื่อฉันจะโตขึ้นพรวดพราดก็ได้นะ!”
“ไม่มีทาง”
“แต่ถ้าฉันสูงเกินไป ก็จะสูงกว่ารุ่นพี่แล้วสิ งั้นเอาไว้ก่อนดีกว่า~”
“นั่นแหละปัญหา อีกอย่าง เธอจะมาเลือกความสูงตามอารมณ์ไม่ได้นะ”
ถ้าเลือกความสูงได้ตามใจชอบล่ะก็ ผมเองก็อยากจะสูงกว่านี้อีกหน่อยเหมือนกัน ถึงจะไม่ได้เตี้ย แต่ถ้าสูงได้ก็อยากสูงอยู่แล้ว น่าเสียดายที่ผมหยุดสูงไปตอนประมาณ 170 เซนติเมตรนี่แหละ
“ว่าแต่ หน้าอกฉันใหญ่ขึ้นนะ”
“ไม่เห็นต้องบอกเลย อายบ้างสิ”
“คุณแม่บอกว่า ‘จงใช้ชีวิตอย่างสง่าผ่าเผย’”
“ท่านหมายถึงอย่างอื่นแน่ๆ”
“อ๊ะฮ่าๆ!” โมนะกะหัวเราะร่าเริงพลางเอนตัวมาพิงไหล่ผม
ภายในห้องสภานักเรียนมีโต๊ะคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง และมีโต๊ะยาวสองตัววางอยู่ตรงกลางห้อง ปกติผมจะทำงานอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ซึ่งแน่นอนว่าเป็นโต๊ะสำหรับคนเดียว แต่โมนะกะกลับจงใจยกเก้าอี้จากโต๊ะยาวมานั่งข้างๆ ผม
“…นี่” ผมเรียก
“หืม?”
“ใกล้ไปหน่อยรึเปล่า? จะว่าใกล้ก็ไม่เชิง ตอนนี้ไหล่เราชนกันอยู่เลยนะ”
จะเรียกว่าเบียดกันมากกว่า ใบหน้าของโมนะกะที่ประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ใกล้ผมมาก
“หัวใจเต้นแรงบ้างไหมล่ะ?”
“เปล่า เกะกะต่างหาก ฉันกำลังทำงานอยู่นะ”
“งั้นฉันจะเข้าไปใกล้กว่านี้อีก”
“ไม่เอา ถอยไปเลย”
วันนี้ผมก็ยุ่งอยู่กับงานจุกจิกเหมือนเคย โมนะกะลุกขึ้น เดินอ้อมไปด้านหลังผม วางมือลงบนไหล่ทั้งสองข้าง โน้มตัวลงมาทิ้งน้ำหนักราวกับจะนวดให้ เส้นผมของเธอสยายลงมา จักจี้ที่หัวผม
“หืม~ นี่สินะ วิวัฒนาการจากความสูง 180 เซนติเมตร” เธอพูดพร้อมกับมองข้ามหัวผมไป หัวเราะอย่างผู้มีชัยราวกับเป็นฝ่ายชนะ ผมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อสบตาเธอ
“หนักนะ”
“ใจร้ายที่สุด! พูดแบบนั้นกับผู้หญิงได้ยังไง แย่ที่สุดเลย”
“หมายความว่าไง? ก็เธอนั่นแหละมาทิ้งน้ำหนักใส่ฉัน”
“นี่ไม่ใช่น้ำหนักตัว แต่มันคือน้ำหนักแห่งความรักต่างหากล่ะ” คำพูดเรียบๆ นั่นทำให้ผมไปต่อไม่ถูก
โมนะกะดูเหมือนจะพอใจแล้ว จึงผละออกจากผม กลับไปนั่งที่เดิม
“เป็นอะไรไป?” เมื่อเห็นผมเงียบ โมนะกะจึงมองมาที่ผมตรงๆ เอียงคออย่างสงสัย
“เปล่า…ไม่มีอะไร” ผมรีบหลบสายตา หันไปสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์
“มือไม่ได้ขยับเลยนี่นา?” โมนะกะทัก ข้อความบนหน้าจอยังคงเท่าเดิม ไม่มีตัวอักษรเพิ่มขึ้นมาเลยแม้แต่ตัวเดียว
“…ก็มีคนมารบกวนนี่”
“หมายความว่า อดเป็นห่วงฉันไม่ได้งั้นสิ?”
“ในทางที่ไม่ดีน่ะใช่”
“เอ๋~ ก็ไม่อยากให้เกลียดนี่นา งั้นจะพยายามไม่กวนมากแล้วกัน”
“ได้โปรด”
โมนะกะเลื่อนเก้าอี้ถอยห่างออกไปเล็กน้อย แล้วก็นั่งลง
เธอแวะมาที่นี่แทบทุกวัน หลังจากก่อกวนวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง เธอก็มักจะสงบลง สำหรับผมแล้ว ถือว่าเป็นการพักผ่อนที่ดี ถ้ามีงานจุกจิกที่แม้แต่โมนะกะก็ทำได้ บางครั้งผมก็จะขอความช่วยเหลือจากเธอ โดยรวมแล้วเธอก็ช่วยได้เยอะทีเดียว แต่ผมไม่ได้บอกเธอหรอกนะ เพราะเดี๋ยวเธอจะเหลิง เอาจริงๆ บางครั้งเธอก็เป็นตัวป่วนจริงๆ นั่นแหละ
“อื้อหือ~ รุ่นพี่เย็นชาจังเลย…หรือเป็นเพราะหน้าหนาวนะ?”
“ร่างกายเย็นชาเพราะเป็นหน้าหนาว? คิดว่าฉันเป็นสัตว์เลือดเย็นรึไง?”
“ฉันจะแข็งตายเเล้วนะ~”
“เชิญแข็งตายไปเลย”
ผมไม่สนใจคำพูดกวนประสาทของเธอ ตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อ งานที่ผมทำอยู่คือการทบทวนกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นในปีนี้ ผมคิดว่าจะเริ่มดำเนินการอย่างเต็มที่ในเร็วๆ นี้ จึงสรุปรายละเอียดทั้งหมดและพิจารณาการแบ่งงานก่อนที่จะเรียกคนอื่นๆ มา ผมทำคนเดียวได้ไม่มากนัก ความร่วมมือจากกรรมการคนอื่นๆ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการจัดงาน เพื่อการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จำเป็นต้องมีแผนคร่าวๆ ไว้ก่อน อีกทั้งยังต้องเริ่มคิดเกี่ยวกับการส่งมอบงานให้กับสภานักเรียนชุดต่อไปด้วย งานเยอะแยะไปหมดเลย
ถึงอย่างนั้น กิจกรรมของโรงเรียนก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักในแต่ละปี จากประสบการณ์ปีที่แล้ว ผมคิดว่าน่าจะจัดการได้โดยไม่ลำบากมาก
“มาซาจิ~ จิกะจัง~ จิกะปาย~ สึจิโดะ~ มาซามาสะ~”
ผมไม่สนใจสาวน้อยที่กำลังสนุกกับการเล่นชื่อของผม แค่เรียกชื่อคนๆ เดียวซ้ำๆ มันสนุกตรงไหนกัน?
เมื่อมีสมาธิ งานก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น การมีสมาธิในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นหนึ่งในความสามารถพิเศษของผม ไม่นานนัก โมนะกะก็เงียบลง ผมจึงทำงานเสร็จเร็วกว่าที่คาด ถึงจะเป็นแค่เป้าหมายสำหรับวันนี้ก็เถอะ
ผมละมือจากคีย์บอร์ด ตัดสินใจพักสักหน่อย บิดขี้เกียจ ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ทันใดนั้น โมนะกะก็พูดขึ้น
“นี่ๆ เรื่องคริสต์มาสปีนี้…”
แต่เสียงของเธอก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเปิดประตู ผมและโมนะกะหันไปทางประตูพร้อมกัน
“…ถ้ารุ่นพี่ไม่ว่าง ฉันจะกลับมาใหม่ทีหลังก็ได้ค่ะ”
คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าตะลึงงันคือคาวานะ มัตสึริ เหรัญญิกสภานักเรียน เธอเป็นคนตัวเล็ก แต่สะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ดูไม่เข้ากับขนาดตัวของเธอเอาเสียเลย เส้นผมสีดำสนิท ตัดสั้นประบ่า ดูเหมือนจะสะท้อนแสงเป็นสีน้ำเงินจางๆ ในมือถือหนังสือเรียนและสมุดโน้ตหลายเล่ม คงจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดมาสินะ
“เปล่า พวกเราไม่ได้ยุ่งอะไร เชิญเข้ามาเลย” ผมตอบ
“จริงเหรอคะ?” คาวานะเหลือบมองโมนะกะ ก่อนจะรีบหลบสายตา เธอเดินเข้ามาในห้องสภานักเรียนโดยไม่พูดอะไร
“ฉันก็นึกว่าจะเริ่มเตรียมงานอีเวนต์ครั้งต่อไปแล้วซะอีก”
“อ้อ เรื่องนั้นน่ะเหรอ มันไม่ใช่งานของโรงเรียน แต่เป็นส่วนหนึ่งของงานอาสาสมัคร ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องเรียกกรรมการทุกคนมา …แต่ก็ช่วยได้เยอะเลยนะ ที่มีคาวานะมาช่วย”
“ไว้ใจฉันได้เลยค่ะ”
ผมตั้งใจจะขอให้คาวานะช่วยอยู่แล้ว การที่เธอมาหาผมเองแสดงว่าเธอคาดการณ์สถานการณ์ได้ดี เธอคงจะทำหน้าที่ประธานสภานักเรียนคนต่อไปได้อย่างราบรื่น ถึงจะคิดเรื่องนี้เร็วไปหน่อย และเธออาจจะไม่ได้ชอบความคิดนี้ก็เถอะ…
แม้ภายนอกเธอจะดูเย็นชา แต่เธอก็ตอบสนองอย่างปกติเมื่อถูกพูดด้วย และก็น่ารักอย่างน่าประหลาดใจเวลาที่เธอพยายามซ่อนความดีใจเมื่อได้รับคำชม ถ้ารุ่นน้องเมินเฉยต่อประธานสภานักเรียน พวกเขาก็คงจะเสียใจ ผมจึงดีใจที่มีรุ่นน้องที่ตอบสนองอย่างเหมาะสม
“หืม~…ดูเหมือนพวกเธอจะเข้ากันได้ดีนะ”
โมนะกะพึมพำอย่างไม่พอใจ เธอเฝ้ามองการสนทนาระหว่างผมกับคาวานะมาตลอด ที่จริงเธอเหลือบมองผมกับคาวานะสลับกันไปมาอยู่พักหนึ่งแล้ว ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง และดูเหมือนจะทนไม่ไหวอีกต่อไป
คาวานะหันไปมองโมนะกะเช่นกันเมื่อได้ยิน บรรยากาศระหว่างทั้งสองตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันไม่ได้สนิทกับประธานสักหน่อย” คาวานะพูด
“อ้าว ฉันหวังว่าเธอจะยืนยันซะอีก” ผมอดพูดแทรกขึ้นมาไม่ได้ รู้สึกเหมือนถูกทรยศอย่างไม่คาดคิด
แต่ทั้งคู่กลับไม่ขำมุกตลกของผมเลยสักนิด
“ท่านประธานคะ การพาแฟนสาวเข้ามาในห้องสภานักเรียน…ไม่คิดว่ามันดูไม่เหมาะสมไปหน่อยเหรอคะ แม้ว่าจะเป็นประธานสภานักเรียนก็ตาม” คาวานะพูดพลางมองไปที่โมนะกะ แม้คำพูดนั้นจะพุ่งเป้ามาที่ผมก็ตาม
“แต่เธอไม่ใช่แฟนฉันนะ”
“เอ๋~ ฉันดูเหมือนแฟนประธานมากเลยเหรอ? รู้งี้…”
“ตรงนี้ควรจะปฏิเสธสิ พูดแบบนี้มันยิ่งทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้นนะ”
ไม่รู้ทำไม ทั้งสองคนถึงได้ขัดแย้งกัน ณ จุดนี้ ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก การแทรกเข้าไปในบทสนทนาระหว่างผู้หญิงก็เหมือนกับภารกิจพลีชีพ การมีน้องสาวทำให้ผมเข้าใจเรื่องนี้ดี
“เอ่อ…งั้นฉันออกไปสูดอากาศข้างนอกดีกว่า”
“ท่านประธานคะ” คาวานะเรียกผมไว้ ขณะที่ผมพยายามจะหนีด้วยการพึมพำเกินจริง
ผมลังเลแล้วก็นั่งลง
“ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะ ในเมื่อเธอไม่ได้เป็นกรรมการบริหารด้วยซ้ำ?”
“ผู้หญิงคนนี้?”
“โอโอบะ โมนะกะ…ผู้หญิงคนนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับห้องสภานักเรียน!” คาวานะพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ชี้นิ้วไปที่โมนะกะ
“…รู้จักเธอเหรอ?” น้ำเสียงของคาวานะไม่ได้พยายามปิดบังความรังเกียจเลย แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นคนรู้จักกัน แต่มันก็ดูไม่เหมือนปฏิกิริยาปกติ
“พวกเราแค่เรียนห้องเดียวกันค่ะ เอ๊ะ หรือว่าคาวานะซังจำฉันไม่ได้นะ?”
“เอ๋!? เปล่านะ ฉันจำเธอได้แน่นอน…เธอคือคาวานะซังใช่ไหม? ใช่แล้ว ฉันรู้สึกเหมือนเคยเห็นเธอมาก่อน” โมนะกะตอบอย่างคลุมเครือ สายตาสอดส่ายไปมา
การพูดว่า “รู้สึกเหมือนเคยเห็นมาก่อน” กับเพื่อนร่วมชั้น ก็แทบจะเหมือนกับจำไม่ได้เลย ทั้งคู่เข้าโรงเรียนมาได้กว่าครึ่งปีแล้ว ปกติก็น่าจะจำเพื่อนร่วมชั้นได้
“เฮ้อ ก็คงเป็นระดับนั้นสินะ ความทรงจำที่มีต่อฉัน”
“เปล่านะ ฉันรู้จักเธอจริงๆ”
“ไม่เห็นต้องพยายามเลย พวกเราแทบไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ”
ผมเองก็ไม่ได้รู้จักกับคาวานะมานานเท่าไหร่ แค่ได้พูดคุยกันบ้างก่อนการเลือกตั้งสภานักเรียน ดังนั้น ถึงผมจะไม่ได้รู้จักเธอดี แต่ผมก็คิดว่า การที่คาวานะไม่ชอบใครสักคนขนาดนี้ คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่นับเรื่องที่เธอชอบทำตัวแข็งกระด้างใส่ผมอยู่เสมอ และมีออร่าที่ทำให้คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้ เธอเป็นคนที่ถึงภายนอกจะดูเย็นชา แต่ก็พูดจาอบอุ่นเป็นกันเอง น่าแปลกใจที่เธอแสดงความรังเกียจโมนะกะอย่างชัดเจนขนาดนี้
“ถ้าพวกเราไม่เคยคุยกัน งั้นคาวานะซังก็ไม่รู้จักฉันเหมือนกัน ถูกไหมล่ะ?” โมนะกะโต้กลับ ใบหน้าบ่งบอกถึงความไม่พอใจ
คาวานะยังคงไร้อารมณ์ ดูเหมือนจะรับฟังคำพูดนั้น
“ฉันรู้จักเธอ เพราะเธอดูโดดเด่น” จากนั้นเธอก็ไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าของโมนะกะ
“ถึงกฎระเบียบของโรงเรียนจะไม่เข้มงวด แต่เธอก็ทำตัวเหลวไหลเกินไปแล้ว”
“ฉันไม่ได้เหลวไหลสักหน่อย…แค่พยายามแต่งตัวให้น่ารักก็เท่านั้นเอง”
“ไม่ใช่แค่เรื่องการแต่งตัว ทัศนคติของเธอก็ไม่เอาไหน แถมยังไม่เคารพอาจารย์อีก คนอย่างเธอ พวกเด็กเกเร ชอบดูถูกคนอื่น นั่นแหละเหตุผลที่เธอทำตัวแบบนี้”
“อย่าคิดเองเออเองสิ!”
น้ำเสียงของทั้งคู่เริ่มดังขึ้น ใครกันแน่ที่ผิด…ผมตัดสินไม่ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน โมนะกะกับคาวานะเข้ากันไม่ได้อย่างร้ายแรง สาวเเกลโมนะกะกับคาวานะผู้ตั้งใจเรียน ทั้งคู่เป็นขั้วตรงข้ามกัน โดยเฉพาะคาวานะ ดูเหมือนเธอจะรับโมนะกะไม่ได้เลย
ส่วนตัวแล้ว ผมค่อนข้างสนุกกับเวลาที่อยู่กับโมนะกะ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมคิดว่าคาวานะผิดไปทั้งหมด ผมหวังว่ารุ่นน้องของผมจะเข้ากันได้ดีกว่านี้ แต่มนุษยสัมพันธ์มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ต้องหยุดการทะเลาะเบาะแว้งที่อยู่ตรงหน้า
“ใจเย็นๆ ก่อน ทั้งสองคน” ผมพูดขึ้น ขยับไปยืนอยู่ตรงกลางห้อง พยายามห้ามศึก ผมต้องลุกขึ้นยืน เพราะตำแหน่งเดิมของผมอยู่ใกล้โมนะกะเกินไป แม้ว่าผมจะไม่ได้ตั้งใจ แต่มันอาจจะดูเหมือนผมเข้าข้างเธอ ผมไม่อยากแสดงความลำเอียงให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเห็นในสถานการณ์แบบนี้
…หรือบางทีผมอาจจะแค่ลังเลก็ได้
“อย่าทะเลาะกันเพราะฉันเลย” ผมพูดด้วยท่าทางโอ้อวด
“ท่านประธาน กรุณาเงียบปากด้วยค่ะ”
“รุ่นพี่ ดูบรรยากาศบ้างสิ”
ทันใดนั้น คำพูดที่เฉียบคมก็พุ่งเข้ามาหาผมจากทั้งสองคน ผมกำลังจะพ่ายแพ้
…แปลกจัง ผมนึกว่าจะได้หัวเราะบ้าง แต่อาจเป็นเพราะการที่ผมทำให้ทั้งคู่มีศัตรูร่วมกัน พวกเธอจึงรวมพลังกัน เป็นไปตามแผนเป๊ะ
“สุดท้ายแล้ว มันก็เป็นความผิดของท่านประธานนั่นแหละค่ะ ที่ปล่อยให้เด็กเกเรอย่างเธอมาช่วยงานสภานักเรียน…”
“ขอโทษ ช่วงนี้ฉันมีงานจุกจิกเยอะน่ะ”
ก็จริงที่โมนะกะช่วยได้เยอะในหลายๆ เรื่อง สำหรับงานง่ายๆ ที่ต้องทำเยอะๆ การมีโมนะกะมาช่วยก็มีประสิทธิภาพมาก ประสิทธิภาพในการทำงานก็ดีขึ้นเมื่อมีคนช่วย แถมยังมีคนให้พูดคุยด้วย ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือที่เธอมีให้กับท่านประธานนะคะ แต่ตอนนี้ฉันมาแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป”
“หา? พวกเธอทะเลาะกันเรื่องฉันจริงๆ เหรอเนี่ย?”
“เลิกเข้าใจผิดแบบน่าขยะแขยงนั่นสักทีค่ะ” ดูเหมือนอารมณ์ของคาวานะจะดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเริ่มคุยกับผม
“จริงด้วย! ฉันก็ช่วยรุ่นพี่ทำธุระได้นะ!” โมนะกะพูดขึ้นบ้าง
“เธอทำอะไรได้บ้างล่ะ?” คาวานะถาม
“เอ่อ…ก็อย่างเช่น เย็บกระดาษ?”
“แค่นั้นเหรอ?”
“มีอีกเยอะแยะเลย! อย่างเช่น ไปซื้อชาอะไรพวกนี้”
โกหก เธอไม่เคยซื้ออะไรให้ผมเลยสักครั้ง
เอาเข้าจริง ผมก็ไม่เคยมอบหมายงานสำคัญๆ ให้โมนะกะทำหรอก มีแต่ธุระเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ไม่ใช่เพราะผมดูถูกความสามารถของโมนะกะนะ ในทางตรงกันข้าม ทักษะการสื่อสารของเธอเหนือกว่าผมมาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะไว้ใจให้เธอไปเจรจากับนักเรียนคนอื่นๆ เหตุผลมันง่ายมาก เธอก็แค่ไม่ใช่กรรมการสภานักเรียน
กรรมการสภานักเรียนต้องแบกรับความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับตำแหน่ง และพวกเขาก็จะได้รับผลตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ในรูปแบบของคะแนนภายในและความสำเร็จ ถ้าผมขอให้โมนะกะทำงานสำคัญๆ ผมก็ไม่สามารถให้รางวัลเธอได้อย่างเหมาะสม อย่างมากก็แค่เลี้ยงขนมหวานตอนกลับบ้านเป็นการขอบคุณที่ช่วยทำธุระ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะขอให้โมนะกะมายุ่งเกี่ยวกับงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของสภานักเรียนจริงๆ
“รุ่นพี่…บางทีฉันอาจจะไม่จำเป็นก็ได้…” โมนะกะพูดด้วยน้ำเสียงขาดความมั่นใจ เธอชูนิ้วนับสิ่งที่เธอทำได้
“ถูกต้องแล้วล่ะ คนนอกควรออกไปเดี๋ยวนี้” คาวานะพูดพลางชี้ไปที่ประตู
โมนะกะพยายามจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างเพื่อตอบโต้ แต่ก็หาคำพูดไม่เจอ เธอจึงปิดปาก ก้มหน้าลง เอาเข้าจริง ในเมื่อโมนะกะไม่ใช่กรรมการ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะต้องอยู่ในห้องสภานักเรียน เธอแค่มาที่นี่เพื่อคุยกับผม
“…คือ บางครั้งพวกเราก็ต้องการคนช่วย ดังนั้น ช่วยพวกเราหน่อยได้ไหม?” ผมพูดขึ้น รู้สึกสงสารเธอเล็กน้อย จึงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ สีหน้าของโมนะกะก็สดใสขึ้นในทันที
คาวานะหรี่ตามองผม พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
“ถ้าท่านประธานพูดอย่างนั้น งั้นเธอก็ช่วยทำธุระได้ค่ะ”
“โล่งอกไปที”
“แต่การพูดคุยครั้งนี้เป็นเรื่องงานของสภานักเรียน ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวกับเธอ” คาวานะหยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋าเป้ เอกสารเหล่านั้นอยู่ในแฟ้มใส เธอเก็บไว้เองส่วนหนึ่ง และยื่นส่วนหนึ่งให้ผม บนหน้าปกเขียนว่า 『เกี่ยวกับงานคริสต์มาส』
“เอ๋~ สภานักเรียนจะจัดงานคริสต์มาสเหรอ?” โมนะกะถามอย่างตื่นเต้น เธอรีบวิ่งมาดูเอกสารจากด้านหลังผม มันไม่ใช่งานอย่างเป็นทางการของโรงเรียน ก็ไม่แปลกที่โมนะกะจะไม่รู้ ทุกปี สภานักเรียนจะเป็นผู้นำในการจัดงานเล็กๆ สำหรับเด็กๆ ในท้องถิ่น มีเพียงคณะกรรมการบริหารสภานักเรียนและอาสาสมัครเท่านั้นที่เข้าร่วม โดยปกติแล้ว อาสาสมัครจะมีน้อย ดังนั้นจึงต้องขอความช่วยเหลือจากชมรมกีฬาบางชมรม งานจะจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนธันวาคม ผมคิดว่าน่าจะเริ่มเตรียมตัวได้แล้ว จึงรู้สึกขอบคุณที่คาวานะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา พวกเราเคยคุยกันคร่าวๆ ในการประชุมครั้งล่าสุด และเป็นเรื่องดีที่เห็นเธอริเริ่ม
“ฟังดูสนุกจัง! ฉันอยากทำด้วย!”
“ถ้าอยากเข้าร่วม ก็สมัครเป็นอาสาสมัครอย่างเป็นทางการสิ พวกเราจะจัดการเรื่องการบริหารจัดการเอง แค่มาในวันงานก็พอ”
“ฉันเป็นพวกให้ความสำคัญกับงานเทศกาลตามฤดูกาลนะ!”
“ถ้างั้น ทำไมไม่แต่งตัวให้เข้ากับฤดูกาลล่ะ? กระโปรงสั้นขนาดนั้น ฉันมองแล้วยังรู้สึกหนาวแทนเลย”
“เข้าใจแล้ว ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วสินะ?” คาวานะตอบอย่างเย็นชาเหมือนเช่นเคย แต่โมนะกะก็ยังคงคุยกับเธอต่อไปอย่างไม่ลดละ
“ว่าแต่ ก่อนหน้านี้มีงานวิ่งมาราธอนไม่ใช่เหรอ?”
“งานนั้นจัดโดยคณะกรรมการพลศึกษา ดังนั้นพวกเราจึงไม่ได้ทำอะไร”
“เย้! เธอรวมฉันเข้าไปด้วยตอนที่พูดว่า ‘พวกเรา’!”
“เปล่า ฉันหมายถึง ‘พวกเรา กรรมการสภานักเรียน’”
ผมคิดในใจว่า บางทีทั้งคู่อาจจะเข้ากันได้ดีก็ได้ จากนั้นก็กลับไปตรวจสอบเอกสารต่อ งานไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักในแต่ละปี ดังนั้นเอกสารส่วนใหญ่จึงนำมาใช้ซ้ำจากที่เตรียมไว้เมื่อปีที่แล้ว แต่ก็จัดระเบียบได้ดี มีทั้งตัวเลือกสำหรับการประชาสัมพันธ์และกิจกรรมสันทนาการ ดูเหมือนจะมีคนตรวจสอบรายการจุดที่ต้องปรับปรุงที่ผมรวบรวมไว้เมื่อปีที่แล้วอย่างละเอียด และแผนก็ได้รับการขัดเกลาให้ดียิ่งขึ้น
…เดี๋ยวก่อนนะ? คาวานะเก่งเกินไปแล้วรึเปล่า? ไม่ใช่แค่โมนะกะ แต่อาจจะรวมถึงผมด้วยที่ไม่จำเป็น บางทีผมควรจะเกษียณตัวเอง แล้วเป็นประธานสภานักเรียนกิตติมศักดิ์ดีกว่า
“เป็นยังไงบ้างคะ?”
“อ้อ เพอร์เฟ็กต์มาก ทำเอาผมอยากจะส่งมอบตำแหน่งประธานสภานักเรียนเดี๋ยวนี้เลย”
“อย่าหาทางอู้งานแบบเนียนๆนะคะ”
ผมนึกว่าจะไม่ต้องทำอะไร แค่รอรับความสำเร็จ แต่ก็ถูกจับได้ แต่ผมคิดจริงๆ นะว่ามันเพอร์เฟ็กต์มาก ในเมื่อผมทำอะไรไม่ได้จริงๆ จึงตัดสินใจอ่านทวนอีกครั้ง
“เนื่องจากฉันไม่มีประสบการณ์จากปีที่แล้ว ดังนั้น รบกวนขอความเห็นจากมุมมองนั้นด้วยนะคะ”
“ทุกอย่างดูโอเคหมดเลย…พวกเรามีอุปกรณ์อยู่ในโกดัง ดังนั้น ถ้ามีอะไรที่ยากที่สุดก็คงเป็นการประชาสัมพันธ์ ปีที่แล้วพวกเราก็ลำบากกับการทำใบปลิว แถมยังต้องไปเยี่ยมอีก…”
“เข้าใจแล้วค่ะ พวกเราควรจะขอให้ชมรมศิลปะช่วยทำใบปลิวไหมคะ?”
การสนทนาดำเนินไปอย่างราบรื่น ถึงจะไม่ใช่งานขนาดใหญ่ แต่ในเมื่อพวกเราเชิญเด็กๆ มา ก็อยากให้พวกเขามีความสุขที่สุดก่อนกลับบ้าน
“พวกเธอกำลังคุยเรื่องยากๆ กันอีกแล้ว…” ณ จุดนี้ โมนะกะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เธอนั่งลง เริ่มเล่นสมาร์ทโฟนด้วยท่าทางเบื่อหน่าย
คาวานะเหลือบมองโมนะกะเพียงครั้งเดียว ก่อนจะหันกลับมามองผม เธอใช้นิ้วเคาะเอกสารบนโต๊ะเพื่อจัดมุมให้ตรงกัน ลุกขึ้นยืนพลางเก็บเอกสารใส่แฟ้มใส
“ตอนนี้ฉันแค่มาคุยเรื่องโครงร่าง ดังนั้น ฉันขอตัวลาตรงนี้เลยนะคะ”
“อ๊ะ ขอบคุณนะ ช่วยได้เยอะเลย”
คาวานะสะพายกระเป๋าเป้ เดินไปที่ประตู
“นี่ คาวานะ” ผมเรียกร่างของเธอที่กำลังจะเดินออกไป
“เธอจะไม่วาดภาพประกอบสำหรับใบปลิวเหรอ?”
“…ฉันจะไม่วาดค่ะ” เธอพูดโดยไม่หันหลังกลับมา จากนั้นเธอก็เดินออกจากห้องสภานักเรียนไป ประตูปิดลง ตามมาด้วยความเงียบงัน
“เธอไปแล้วสินะ” โมนะกะพูดขึ้น แม้จะเป็นคนที่วิจารณ์คาวานะ แต่เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเหงา
“…ทำไมเธอถึงไม่ชอบฉันขนาดนั้นนะ?”
“ฉันไม่รู้เหมือนกัน”
“ฉันทำอะไรไม่ดีในห้องเรียนรึเปล่า?”
“หืม…ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ คงไม่หรอก”
โมนะกะยกเข่าขึ้นมากอด ซบหน้าลงกับเข่า เมื่อครู่เธอยังร่าเริงอยู่เลย แต่ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะรู้สึกแย่จริงๆ
“แต่ช่างเถอะ การถูกเกลียดไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับฉันหรอก” รอยยิ้มของเธอดูสิ้นหวัง เป็นแบบที่ผมเคยเห็นมาก่อน
“เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ใช่ว่าคาวานะซังแย่อะไร แต่เป็นฉันเองต่างหากที่ผิด”
“คาวานะต้องเข้าใจเธอแน่ๆ ถ้าเธอได้คุยกับเธอมากกว่านี้”
“เหรอ? มีแค่รุ่นพี่คนเดียวเท่านั้นแหละที่มองเห็นตัวตนของฉันน่ะ”
คาวานะบอกว่าโมนะกะเป็นเด็กเกเร ก็จริงที่โมนะกะย้อมผม แต่งตัวฉูดฉาด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะเป็นเด็กเกเรเสมอไป ไม่ใช่ว่าคาวานะมีอคติรุนแรงอะไร รูปลักษณ์ภายนอกเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินคนๆ หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กันน้อย น้ำหนักของการตัดสินนั้นก็ยิ่งมากขึ้น
“แต่ถ้าเธอเป็นรุ่นน้องของรุ่นพี่ ฉันก็อยากจะเข้ากับเธอด้วยเหมือนกัน”
“ฉันจะดีใจมากถ้าเธอทำแบบนั้น มันคงจะดีต่อสุขภาพจิตของฉันด้วย”
“จริงด้วย ฉันคิดว่าความเข้าใจจากคนรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญ และเพื่อให้พวกเขายอมรับความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับรุ่นพี่ พวกเราต้องเป็นมิตรกับเธอ”
“ความสัมพันธ์ของพวกเราเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้อง ถูกไหม?”
“ตอนนี้~!” โมนะกะทำสัญลักษณ์สันติภาพที่คาง ยิ้มอย่างมีเลศนัย เธอกำลังพยายามทำท่าทางเด็ดเดี่ยว
“วันนี้ฉันจะกลับบ้านก่อนนะ คุณแม่ให้กลับบ้านเร็ว”
“โอเค เจอกันนะ”
“อื้อ บ๊ายบาย” โมนะกะสะพายกระเป๋า โบกมือเบาๆ
ผมยกมือขึ้นข้างหนึ่งเป็นการตอบรับ ช่วงนี้พวกเรากลับบ้านด้วยกัน การอยู่คนเดียวจึงรู้สึกแปลกๆ ผมรู้สึกเขินอายเล็กน้อยกับความผิดหวังของตัวเอง จึงนั่งอยู่ที่เดิม มองโมนะกะเดินออกจากห้องสภานักเรียนไป
“จะทำยังไงดี…” เมื่ออยู่คนเดียว ผมจึงถือโอกาสทบทวนเรื่องต่างๆ
…ช่วงนี้จิตใจเหนื่อยล้าจัง ผมไม่คิดเลยว่าโมนะกะกับคาวานะจะเข้ากันไม่ได้ขนาดนี้ ทั้งคู่เป็นรุ่นน้องที่สำคัญสำหรับผม ผมจึงหวังว่าพวกเธอจะเข้ากันได้… แต่ผมก็ไม่รู้ว่าพวกเธอเป็นยังไงในห้องเรียน โรงเรียนเป็นสถานที่ที่อัดแน่นไปด้วยคนวัยเดียวกัน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีคนที่เข้ากันไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องของความผิด เว้นแต่จำเป็นจริงๆ การไม่บังคับให้มีปฏิสัมพันธ์กับคนที่เข้ากันไม่ได้ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษามนุษยสัมพันธ์ที่ดี ดังนั้น ผมจึงไม่คิดว่าการบังคับให้พวกเธอเข้ากันจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องเสมอไป
แต่…บางทีอาจจะเป็นแค่ความปรารถนาของผมเอง ผมรู้สึกว่า ยังไงทั้งสองคนก็ต้องเข้ากันได้
“เอาล่ะ ไปหาคาวานะกัน” การทำงานโดยที่ยังกังวลใจอยู่แบบนี้ คงไม่เกิดผลดีแน่ ไม่มีอะไรได้มาจากการผัดวันประกันพรุ่ง ดังนั้น จึงควรแก้ไขข้อกังวลทันที
ผมเตรียมตัวออกเดินทาง ล็อกห้องสภานักเรียน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่คาวานะน่าจะอยู่
คาวานะมักจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด ผมค่อนข้างมั่นใจว่านั่นเป็นที่ที่เราเจอกันครั้งแรก
“…เจอแล้ว” คาวานะอยู่ตรงที่นั่งประจำริมหน้าต่าง มีฉากกั้นสำหรับอ่านหนังสือ ห้องสมุดแทบจะว่างเปล่า ที่นั่งส่วนใหญ่ไม่มีคนนั่ง แต่คาวานะก็นั่งอยู่ที่เดิม มุมในสุดของห้อง
“อ่านหนังสือเป็นไงบ้าง?” ผมถาม พร้อมกับนั่งลงข้างๆ เธอ
“…สมาธิฉันโดนรุ่นพี่ผู้ชอบก่อกวนรบกวนค่ะ”
“ขอโทษด้วยนะ” ในฐานะคนที่มักจะถูกโมนะกะขัดจังหวะการทำงาน ผมเข้าใจคำบ่นนั้นเป็นอย่างดี จึงขอโทษอย่างจริงใจ
คาวานะเม้มริมฝีปาก เหลือบมองผม ดูเหมือนเธอจะไม่ได้โกรธจริงๆ โล่งอกไปที
“โชคร้ายหน่อยนะ ก่อนที่รุ่นพี่จะมาน่ะ ฉันก็ไม่ได้คืบหน้าอะไรมากอยู่แล้ว” เธอวางดินสอกดลง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หน้าสมุดที่เธอเปิดออกว่างเปล่า ไม่มีหนังสือเรียนหรืออะไรวางอยู่เลย
“ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะคะ?”
“ฉันอยากคุยกับคาวานะน่ะ”
“คงงั้นมั้งคะ การจีบรุ่นน้องเป็นงานอดิเรกของท่านประธานนี่นา”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ อีกอย่าง ฉันรู้ดีว่าการจีบคาวานะมันยากแค่ไหน” แน่นอน ผมไม่ได้หมายความว่าจะจีบเธอ ผมนึกถึงตอนที่ผมมาที่ห้องสมุดบ่อยๆ เพื่อชวนให้เธอลงสมัครเป็นเหรัญญิก ตอนแรกเธอไม่ค่อยสนใจ แต่ผมก็โน้มน้าวเธอได้ เทียบกับตอนนั้น ทัศนคติของคาวานะอ่อนลง…แม้จะแค่เล็กน้อยก็ตาม
“แทนที่จะมาหาฉัน รุ่นพี่ไม่ควรจะไปหาผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ?” คาวานะถาม ไขว้นิ้ว ทำท่าทางไม่สนใจ
“โมนะกะมีธุระ กลับบ้านไปแล้วล่ะ”
“เหรอคะ?”
“เอ่อ…เปล่า ไม่ใช่ว่าฉันมาหาคาวานะเพราะโมนะกะกลับบ้านไปหรอกนะ…คือ จริงๆ ก็ใช่นั่นแหละ แต่…”
“ตกลงอันไหนกันแน่คะ? …ฉันเข้าใจว่าฉันเป็นรุ่นน้องตัวเลือกอันดับสองของท่านประธาน ดังนั้น ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“อะไรกัน หึงเหรอ?”
“เปล่าค่ะ รุ่นพี่คิดมากไปเอง”
เหมือนกับว่าผมกำลังถูกมองว่าเป็นคนที่ชอบเปลี่ยนไปมาระหว่างรุ่นน้อง…
“สำหรับฉัน ทั้งคาวานะและโมนะกะเป็นรุ่นน้องที่สำคัญ”
“อย่าพูดอะไรน่าอายด้วยสีหน้าจริงจังแบบนั้นสิคะ…”
“มันไม่ได้น่าอายสักหน่อย”
จากรุ่นน้องถึงรุ่นพี่ มันต่างกันแค่ปีเดียว หรือน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับวันเกิด เป็นความสัมพันธ์ที่ต่างกันแค่ชั้นปี แต่ในชีวิตนักเรียน มันมีความหมายมาก ผมไม่ได้ตั้งใจจะบอกว่าต้องเคารพอีกฝ่ายเพียงเพราะเป็นรุ่นน้อง แต่ผมอยากเป็นรุ่นพี่ที่ดี นั่นอาจเป็นเพราะผมแค่อยากดูเท่ และท้ายที่สุดแล้ว อาจเป็นเพราะความปรารถนาที่อยากจะอยู่เหนือพวกเธอ แม้จะเป็นแค่ความถือตัวของผมเอง แต่ผมก็อยากจะดูแลรุ่นน้อง
นอกจากนี้ มันยังส่งผลต่อการดำเนินงานของสภานักเรียนอีกด้วย
“…ว่าแต่ ทำไมถึงเรียกเธอด้วยชื่อต้นล่ะ?”
“หืม?”
“ผู้หญิงคนนั้นน่ะ โมนะกะ”
“อ้อ…เธอยืนยันจะให้เรียกแบบนั้นน่ะ” ตอนแรกก็รู้สึกเขินๆ แต่ตอนนี้ชินแล้ว
คาวานะเบะปาก หันหน้าหนี พึมพำว่า “เหรอคะ”
“มัตสึริ”
“ว้าย!”
“อยากให้ฉันเรียกแบบนั้นเหรอ?”
“ไม่มีทาง! ฉันจะฟ้องรุ่นพี่ข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ!”
“แค่เรียกชื่อต้นเองนะ!?” คาวานะหน้าแดงก่ำ ปฏิเสธเสียงแข็ง สมัยนี้เกณฑ์การล่วงละเมิดทางเพศต่ำจนน่ากลัว ผมกังวลว่าคนที่ได้ยินแค่บทสนทนาช่วงหลังอาจจะเข้าใจผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอไม่ค่อยขึ้นเสียง
ในตอนเย็น มุมหนึ่งของห้องสมุด ประธานสภานักเรียนถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดรุ่นน้อง…ผมสาบานเลยว่ามันเป็นแค่การเข้าใจผิด
“ช่วยเก็บแบบนั้นไว้ใช้กับคนที่สนิทด้วยเถอะค่ะ อย่างเช่น เธอคนนั้น”
“ฉันก็นึกว่าสนิทกับคาวานะเหมือนกันนะ”
“น่าผิดหวังจังนะคะ ท่านประธานคิดผิดแล้วล่ะค่ะ” แก้มของคาวานะยังคงแดงระเรื่อ…อ๊ะ เธอเขิน ผมไม่ควรแกล้งเธอมากเกินไป ไม่งั้นเธออาจจะเริ่มไม่ชอบผมจริงๆ แบบนั้นน่ะถึงจะเรียกว่าล่วงละเมิด
“…รุ่นพี่มาที่นี่เพื่อมาโกรธฉัน ใช่ไหมคะ?” คาวานะถามอย่างลังเล เหลือบมองผมเป็นระยะ
“ทำไมฉันต้องโกรธด้วยล่ะ? ฉันมาคุยกับเธอนะ”
“โกหก ฉันเสียมารยาทกับรุ่นพี่มากเลยนะ”
“…หา? เธอก็เย็นชาใส่ฉันตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ?”
“ถ้าเป็นรุ่นพี่ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
ไม่ ไม่โอเคหรอก การถูกปฏิบัติอย่างเย็นชาจากรุ่นน้องมันเจ็บปวดนะ
“ฉันหมายถึงเรื่องที่พูดกับโอโอบะซังน่ะ เรื่องแย่ๆ รุ่นพี่รู้ใช่ไหมคะว่าฉันหมายถึงอะไร”
“เธอคิดว่าเธอพูดอะไรไม่ดีงั้นเหรอ?”
“ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไรไม่ดีนะคะ” คาวานะเป็นคนหัวแข็งเหมือนกัน แต่ดูเหมือนเธอจะกำลังทบทวนพฤติกรรมของตัวเอง บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่เธอจดจ่อกับการเรียนไม่ได้
“โมนะกะแย่มากขนาดนั้นเลยเหรอในห้องเรียน? อย่างเช่น รังแกใคร อะไรแบบนี้” ผมอยากจะเชื่อว่าเธอคงไม่ทำอะไรแบบนั้น แต่ผมคุยกับโมนะกะแค่ตอนที่อยู่กันสองคน ผมจึงไม่มีทางรู้ว่าเธอเป็นยังไงในห้องเรียนหรือกับกลุ่มอื่นๆ
เมื่อผมถามอย่างลองเชิง คาวานะก็ส่ายหัว
“เปล่า ฉันไม่คิดว่าจะเป็นแบบนั้น…เธอแค่ดูโดดเด่น ฉันคิดว่าเธอมักจะอยู่คนเดียว”
“จริงเหรอ?” นั่นน่าประหลาดใจมาก ผมคิดว่าเธอเป็นคนประเภทที่มีเพื่อนเยอะ ผมเคยสงสัยอยู่หลายครั้งว่าเธอไม่มีเพื่อนไปเที่ยวด้วยกันเหรอ เพราะเธอชอบมาที่ห้องสภานักเรียน
“ห้องของฉันมีแต่เด็กเงียบๆ ดังนั้น พวกเขาอาจจะกลัวเธอ…”
“กลัว? ฉันว่าเธอดูเข้าถึงง่ายดีนะ”
“เธอไม่เป็นแบบนั้นในห้องเรียนหรอกค่ะ เธอชอบทำหน้านิ่งๆ แล้วก็ชอบนอนหรือหายไปไหนมาไหนตอนพัก…ฉันไม่เคยเห็นเธอสนิทกับใครเลย นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันแปลกใจเมื่อกี้ ท่าทางของเธอแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง”
โมนะกะที่ผมรู้จักเป็นคนร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ
“ช่วงนี้เธอไม่เป็นแบบนั้นแล้ว แต่ก่อนเธอชอบมาสายแทบทุกวัน…ขัดขืนคำสั่งอาจารย์ ไม่ตั้งใจเรียนเลย”
ก็จริง นั่นเป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบ ในทุกๆ ห้องเรียน ก็มักจะมีคนแบบนี้อยู่บ้าง โมนะกะอาจจะดูเหมือนเด็กมีปัญหา แต่ผมไม่คิดว่าเธอจะเป็นคนที่น่ากลัว
หลังจากพูดคุยเกี่ยวกับพฤติกรรมของโมนะกะในห้องเรียนอยู่พักหนึ่ง คาวานะก็ดูเหมือนจะรู้สึกผิดที่พูดถึงเธอในทางที่ไม่ดี เธอเล่นผมอย่างประหม่า
“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะนินทา”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเป็นคนถามเอง แล้วก็ดีใจที่เธอเล่าให้ฟัง”
“ฉันไม่อยากจะพูดถึงเธอในทางที่ไม่ดี…คือ จริงๆ แล้ว ฉันอยากจะขอบคุณเธอที่ช่วยงานสภานักเรียน”
“ซึนเดเระจังเลยนะ” ผมอดพูดไม่ได้ แต่คาวานะกลับดูหดหู่ลง
“แต่ฉันก็อดไม่ได้จริงๆ เมื่อเห็นเธอ”
“บอกเหตุผลได้ไหม?” คาวานะเป็นเด็กฉลาด ไม่ใช่แค่ในด้านวิชาการ แต่ผมเชื่อว่าเธอเป็นคนที่คิดและทำอะไรอย่างรอบคอบ ผมยังรู้จักเธอไม่นานพอที่จะเข้าใจนิสัยของเธอได้อย่างถ่องแท้ แต่ผมก็เชื่อมั่นในความสามารถของเธอ
คาวานะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกมา เธอพูดขึ้นหลังจากที่ใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงคำพูด สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ต้นเซลโคว่าที่ไร้ใบ ดูเหมือนกำลังเฝ้ามองคาวานะอยู่
จากนั้นเธอก็เริ่มพูดช้าๆ โดยที่ยังคงมองออกไปข้างนอก
“ฉันคิดว่า…มันคือความอิจฉา”
ผมเงียบ รอให้เธอพูดต่อ
“ฉันอิจฉาในอิสระของเธอ…ฉันไม่อยากจะยอมรับมันเลย แต่…” คาวานะยังคงหันหน้าหนี แน่นอน เธอไม่ได้พูดกับผม แต่กำลังพยายามทำความเข้าใจกับความรู้สึกของตัวเอง
“มันไม่ยุติธรรมเลย ไม่ใช่เหรอ? ในขณะที่คนอื่นๆ ทำตามกฎระเบียบ มีแต่เธอคนเดียวที่แหกกฎ ชีวิตในโรงเรียนมันก็เป็นแบบนี้แหละ ทุกคนต้องทำตามกฎ การใช้ชีวิตตามใจชอบ…ฉันยกโทษให้ไม่ได้ เธอคงไม่รู้จักความลำบากหรือความกังวลใจสินะ” เธอเริ่มพูดเร็วขึ้น ราวกับกำลังแก้ตัว
“แต่เธอกล้ามากเลยนะ ที่มายึดครองห้องสภานักเรียนราวกับเป็นห้องของตัวเอง? ที่นั่นควรจะเป็นที่ของฉัน…อ๊ะ!” คาวานะรีบปิดปาก ดูลนลาน ทันใดนั้น เธอก็เริ่มเก็บอุปกรณ์การเขียนใส่กล่องดินสออย่างดัง
“เอาเป็นว่า ฉันทนผู้หญิงคนนั้นไม่ได้!”
“ฉันไม่รู้สึกแบบนั้นเลยนะ”
“หุบปาก! พอใจแล้วใช่ไหม ที่แอบสืบเรื่องในใจผู้หญิง? ฉันต้องอ่านหนังสือ จะกลับบ้านแล้ว!” คาวานะยัดสมุดโน้ตและกล่องดินสอลงในกระเป๋าเป้ คว้าเสื้อแจ็กเก็ตและกระเป๋าเป้
“คาวานะ ฉันอยากให้เธอพยายามเข้ากับโมนะกะนะ”
“ขึ้นอยู่กับการกระทำของเธอล่ะค่ะ”
“อ้อ งั้นเธอก็จะยอมรับเธอ ถ้าเธอทำงานได้ดี?”
“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น”
“เปล่า ฉันรู้ว่าคาวานะเป็นคนที่ใส่ใจการกระทำของคนอื่น นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันอยากให้เธอให้โอกาสโมนะกะ”
“ฉันจะลองคิดแบบแง่ลบดูค่ะ” เธอเชิดหน้าขึ้น พูดอย่างหงุดหงิด เริ่มเดินหนีราวกับจะหลบหน้า
“แล้วก็นี่…คาวานะ เธอเป็นเหรัญญิกสภานักเรียนนะ”
“ทำไมต้องพูดเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่ด้วยล่ะคะ?”
“หมายความว่า ที่ของเธอยังอยู่ที่เดิม”
“ฉันไม่รู้ว่ารุ่นพี่กำลังพูดถึงอะไร”
ผมมองคาวานะเดินออกจากห้องสมุดไป โดยที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม …ทำไมวันนี้ผมถึงรู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ข้างหลังตลอดเวลาเลยนะ?
*สำหรับการเเปลรวมทีเดียวหรือเเบ่งตอนเเบบย่อยๆ ชอบเเบบไหนมากกว่ากันบอกได้นะครับ