ยอดหญิงแห่งวังหลัง - ตอนที่ 72.1
ตอนที่ 72-4 กาละเทศะ
คํากล่าวนั้นทําให้หลี่จางเล่อรู้สึกยินดีมาก และเดินตามรอยเท้าของฮูหยินใหญ่เข้าไปในบริเวณงานด้วยความรวดเร็ว
และแน่นอนว่า ตลอดทางที่เดินผ่านมา นางยังคงสามารถดึงดูดสายตาของผู้คนที่มาร่วมงานทั้งหมดได้
ชื่อของหลี่จางเล่อได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งวังหลวง และในหมู่ผู้คนเหล่านั้น ผู้คนนับมิถ้วนเคยเห็นนางมาก่อนแล้ว
แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นนาง ผู้คนเหล่านั้นยังคงตอบสนองต่อความงดงามอันน่าทึ่งของหญิงสาวเสมอ
ตอนนี้นางยืนอยู่ในท่าที่ที่สง่างามทําให้รัศมีแห่งความงดงามเปล่งประกายไปทั่วทั้งบริเวณงานวันนี้
แต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับให้ความสนใจกับคุณหนูสามของบ้านตระกูลหลี่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
นางซึ่งอยู่ในฐานะบุตรสาวที่เกิดมาจากหยินเหนียง ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามให้เป็นเซียนจูแห่งอันผิง มันจึงเป็นเรื่องที่เพียงพอที่จะทําให้ผู้คนเกิดความรู้สึกประหลาดใจ
ตอนนี้ท่านผู้อาวุโสหลีได้พานางมาร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย นั่นหมายความว่า บ้านตระกูลหลีมีความภาคภูมิใจในตัวหญิงสาวผู้นี้มากเช่นกัน
ฮูหยินเกาเว่ยและเกาหมิน มาถึงที่บริเวณงานก่อนหน้านี้แล้ว และเมื่อเห็นฮูหยินใหญ่พวกนางจึงรีบเข้ามาแสดงความเคารพในทันที
แต่พวกนางมิได้สนใจหลี่เว่ยหยางเลยแม้แต่น้อย และในทํานองเดียวกันหลี่เว่ยหยางก็มิได้แยแสเช่นกัน ขณะที่นางกวาดสายตามองดูบริเวณงานโดยรอบ
คราวนี้งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในสวนกลางแจ้ง ทําให้เห็นบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาของดอกไม้สดในบริเวณสวน และดอกไม้แต่ละชนิดล้วนมีเสน่ห์และมีความงดงามมากเป็นพิเศษ
ราวกับว่าพวกมันถูกแต่งแต้มขึ้นมาจากฝีมือมนุษย์ และใช้ประโยชน์จากสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านมาอย่างแผ่วเบา ทําให้พวกมันดูมีความงดงามมากยิ่งขึ้น
บริเวณกลางสวนมีพรมขนาดใหญ่ซึ่งปักด้วยลวดลายเถาวัลย์และกิ่งก้านของดอกชบาที่อ่อนช้อย อีกทั้งยังมีลายปักหมู่มวลก้อนเมฆที่ให้ความรู้สึกสดชื่นแจ่มใส
นอกจากโต๊ะสําหรับเจ้าภาพทางด้านทิศเหนือแล้ว ยังมีสิ่งของวางไว้ในแต่ละโต๊ะ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจัดเตรียมเอาไว้สําหรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน
เมื่อมองไปทางด้านทิศตะวันตกโต๊ะต่าง ๆ เต็มไปด้วยบรรดาฮูหยินและคุณหนูที่มาร่วมงาน
ส่วนทางด้านทิศตะวันออก, องค์ชายสาม ทัวเป่าเจิ้น, องค์ชายห้า หัวเป่ารุ่ยและองค์ชายเจ็ดทัวเป่าหยูทรงประทับอยู่
หัวเป่าเจิ้นนั่งอยู่ทางด้านตะวันออกในที่นั่งของแขกคนแรก เขาสวมเสื้อคลุมสีเขียวเข้ม และรอยยิ้มของเขาช่างส่งเสริมความหล่อเหลาซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจของผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
สําหรับหัวเป่าหยูเขานั่งทางด้านตะวันออกในที่นั่งคนที่สาม
เขาสวมมงกุฎหยักทรงสูงและสวมเสื้อคลุมสีขาวปักด้วยไหมสีเงินที่เปล่งประกายแวววาวเหมือนหยกซึ่งทําให้รัศมีของบุรุษผู้นี้ให้ความรู้สึกที่ตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก
ทั้งสองพระองค์มิได้นั่งไกลจากกันและสนทนากันอย่างสนุกสนาน พวกเขาดูเหมือนพี่น้องที่มีความรักใคร่และกลมเกลียวกัน
ท่ามกลางสายตาของสามัญชนพวกเขายิ้มแย้มแจ่มใสและนั่งด้วยกันขณะที่ดื่มและสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ
ภาพที่เห็นในขณะนี้ทําให้หลี่เว่ยหยางคิดว่าตนเองนั้นฝันไป
ทันใดนั้นสายตาของทัวเปาหยูก็จ้องมองมา และเห็นหลี่จางเล่อผู้ที่สวมเสื้อผ้าสีฟ้าสดใส และมีความงดงามเป็นอย่างมาก
จากนั้นสายตาของเขาก็สบเข้ากับหลี่เว่ยหยางโดยบังเอิญด้วยความประหลาดใจ
ฮูหยินสามของบ้านตระกูลหลี่จากไปได้เพียงมินาน แม้ว่านางจะเป็นเพียงอาสะใภ้ แต่เพื่อแสดงความเคารพ หลี่จางเล่อก็มิควรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสเช่นนี้
ในการเปรียบเทียบ หลี่เว่ยหยางมีความเฉลียวฉลาดและรู้จักกาละเทศะมากกว่า ในความเป็นจริงคือทัวเป่าเจิ้นรู้สึกผิดหวังกับหลี่จางเล่อมาก
ในตอนนี้นางพยายามแสดงตัวตนอย่างออกหน้าออกตา แต่กลับเต็มไปด้วยความโง่เขลา ยิ่งไปกว่านั้นเขามสามารถทนต่อความอัปยศอดสูของผู้หญิงประเภทนี้ได้ นางควรค่าแก่การอยู่เคียงข้างเขาหรือไม่?
นางจะช่วยเขาได้มากเพียงใด?
เมื่อองค์ชายห้าที่อยู่เคียงข้างเขาเห็นหลี่จางเล่อ ดวงตาคู่นั้นก็มสามารถขยับไปที่อื่นได้อีกต่อไป
เดิมที่เขาวางแผนที่จะหาเวลาที่เหมาะสมเพื่อบอกกล่าวความปรารถนาต่อพระมารดาของพระองค์ จากนั้นจะให้พระราชบิดาของพระองค์มอบหลี่จางเล่อให้กับเขา
แต่พระมารดาของเขากลับบอกเขาว่า พระบิดายังทรงโกรธเคืองหลี่จางเล่ออยู่ และนี่มิใช่เวลาที่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงต้องบังคับตัวเองให้อดกลั้น
ทัวเป่าหยูสังเกตเห็นหลี่เว่ยหยางอย่างพิจารณา ซึ่งแต่เดิมในสายตาของเขานั้น นางเป็นเด็กสาวที่มีความเฉลียวฉลาดและน่าสนใจ
แต่ตอนนี้นางช่างดูเจ้าเล่ห์เหมือนกับสุนัขจิ้งจอกสาว และวันนี้การแต่งหน้าของนางดูช่างเรียบร้อยขณะที่ใบหน้านั้นมีรอยยิ้ม ซึ่งทําให้ผมของหญิงสาวดูเหมือนน้ำหมึกมากยิ่งขึ้น
ผิวของเว่ยหยางเหมือนหยกเนื้อเนียนละเอียด นางช่างมีความแตกต่างจากหญิงสาวที่มาจากตระกูลซึ่งมีชื่อเสียงทั่วไป
เขาเกือบจะสงสัยว่า หญิงสาวในชนบทที่เขาเคยเห็นและนางมิใช่ผู้เดียวกัน
หลี่เว่ยหยางยืนอยู่ด้านข้างท่านผู้อาวุโสหลี่ ขณะที่หลบสายตาของผู้คน ทําให้ขนตาคู่นั้นสร้างเงาบนใบหน้าของนางซึ่งชวนให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ส่วนรอยยิ้มของนางนั้น เมื่อเทียบกับหลี่จางเล่อแล้ว มีสิ่งที่สําคัญอย่างเห็นได้ชัดคือ นางดูอ่อนโยนกว่าและเข้าหาง่ายกว่ามาก
“พี่สาม ข้าจะไปยังที่นั่งสําหรับแขกผู้ชาย”
หลี่หมินเต๋อเหลือบมองจากระยะไกล และเห็นว่าหลี่หมิน เฟิงลูกพี่ลูกน้องของเขามาถึงก่อนหน้านี้แล้ว และกําลังสนทนาอยู่กับผู้คนรอบข้าง
แม้ว่าเด็กชายจะรู้สึกเกลียดชังพี่ชายผู้นี้มาก แต่ก็รู้ว่าหลีกเลี่ยงมิได้ที่จะต้องไปนั่งกับเขา
หลี่เว่ยหยางยิ้มให้น้องชายและกล่าวว่า
“ไปเถิด”
การมิยอมให้หมินเต๋ออยู่ในตระกูลหลี่เพียงผู้เดียวนั้น มิใช่แค่เพื่อปกป้องเขา แต่ยังเป็นการป้องกันมิให้จิตใจของเขาคิดฟุ้งซ่านอีกด้วย
เมื่อครุ่นคิดจนถึงจุดนี้ นางได้ยินเพียงแค่เสียงของสาวใช้ผู้หนึ่งกล่าวอยู่ไกล ๆ ว่า
“องค์หญิงหย่งหนิงเสด็จแล้ว”
หลี่เว่ยหยางยิ้มเล็กน้อย ขณะที่หันหน้าไปมองและเห็นเพียงศีรษะของผู้หญิงที่คอยรับใช้ โดยกลุ่มสาวใช้ค่อย ๆ เดินเข้ามาจากทางเดินยาวนั้น
นางจัดแต่งทรงผมที่สูงมากพร้อมด้วยปิ่นปักผมสีรุ้งไขว้กัน และสีหน้าของนางมีความสง่างาม อีกทั้งยังเปล่งประกายแห่งอํานาจ สุภาพสตรีท่านนี้คือองค์หญิงหย่งหนิง
อย่างไรก็ตาม หลี่เว่ยหยางถอนหายใจอย่างแผ่วเบา และจากการสังเกตอย่างลึกซึ้งของเว่ยหยางนั้น
องค์หญิงหย่งหนิงมีพระชนมายุเพียงยี่สิบปี แต่นางกลับดูซีดเซียวมาก อันที่จริงแล้วใบหน้าของนางควรจะมีสีแดงอมชมพู
แต่ภายใต้ชั้นของสีแดงที่ถูกแต่งแต้มจากเครื่องสําอาง มันกลับดูเป็นสีขาวอมเทาเล็กน้อยพร้อมกับผิวหนังที่หย่อนคล้อย และมีริ้วรอยอย่างเห็นได้ชัดที่บริเวณหางตาของนาง
แน่นอนว่าที่สิ่งแย่ที่สุดคือ ดวงตาคู่นั้นของนาง คล้ำและลึกราวกับว่าเป็นรูสองรูที่แกะ สลักด้วยไม้ หากมิใช่เพราะรูม่านตาของนางที่สามารถขยับไปมาได้ นางคงจะดูคล้ายกับหุ่นไม้ที่ไร้ชีวิตชีวา