ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1519 นางคือผู้ปกครองสูงสุด
ตอนที่ 1519 นางคือผู้ปกครองสูงสุด
…………….
ลำแสงสีเงินและสีแดงพลันหลอมรวมกัน แล้วพุ่งทะยานออกมาจากเขาเฝิงหมิน!
มันคือแสงที่ทรงอนุภาคเหลือคณนานับ ประหนึ่งคลื่นวิภาสใสสว่าง อันศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ผุดผ่องที่สุดในโลก สองแสงผสมผสานอย่างลงตัว ราวกับโลหิตสีชาดที่กำลังเดือดดาล!
แสงสีเงินอันเย็นเชียบ และแสงสีแดงที่กำลังพุ่งพล่าน!
อนุภาคของทั้งสองนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ขณะเดียวกัน กลับเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด จนไม่อาจหาคำใดมาอธิบายได้
ราวกับว่าพวกมันเกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้
คลื่นพลังปราณสายหนึ่งไหลทะลักลงมาจากภูเขาที่อยู่ไกลออกไป มันเคลื่อนที่อย่างฉับไวหลายพันลี้ในเวลาเพียงชั่วครู่
มันวาดผ่านอากาศแล้วก่อตัวเป็นเส้นโค้งที่สวยงาม สายลมกระโชก ท้องนภากู่ร้องคำราม ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปหาฉู่หลิวเยว่!
…
เมิ้งเหล่ายืนอยู่บนชั้นบนสุดของเจดีย์ มือข้างหนึ่งค้ำยันขอบหน้าต่างไม้ไว้ ทั่วทั้งกายพลันเกร็งแน่น สองตาเบิกกว้างพร้อมอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
ด้านในห้อง บานประตูที่แต่เดิมปิดสนิท พลันเปิดอ้าออก
กลุ่มแสงพร่างพราวที่เคยรวมตัวกันอยู่ด้านบน บัดนี้ได้ถูกคลื่นพลังปราณอันน่าสะพรึงกลัวสายนั้น พัดผ่านไปจนหมดสิ้น!
เมิ้งเหล่าที่ยืนอยู่ตรงนั้น เห็นกับตาว่ามวลแสงที่อยู่ด้านบน ค่อยๆ หรี่แสงลงทีละน้อย
และสัญลักษณ์แปลกๆ ที่อยู่ด้านบนเอง ก็เริ่มสลายหายไปจากครรลองสายตา
ลวดลายบนผนังรอบด้านที่เคลื่อนไหวสะเปะสะปะ พลางจางลงและหายวับไป
ประตูบานใหญ่ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม
ดูแล้วไม่ต่างจากประตูหกบานที่ชั้นหนึ่งเลย
ในประตูบานนี้มีบางอย่างซ่อนอยู่ ยามนี้ความลับนั้นหายไป ทำให้สิ่งเหล่านี้มิได้วิเศษวิโสอีกต่อไป
เมิ้งเหล่าจ้องมองประตูบานนั้นสักพัก พลันเบี่ยงหน้าหันไปมองนอกหน้าต่าง!
เกลียวแสงสีเงินและสีเงินเกาะเกี่ยวเลี้ยวรัดกันบนนภากว้าง พุ่งทะยานราวธาราไหลเชี่ยว ยามมุ่งหน้าไปยังร่างของเด็กสาวที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ เมิ้งเหล่าถึงกับตกตะลึง ราวหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ
ซั่งกวนเยว่…
…ซั่งกวนเยว่!
ทันใดนั้น เขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาของชายชราพลันฉายแววตกตะลึง!
เป็นไปได้หรือไม่ว่า…
…
ไม่มีอันใดที่เป็นไปไม่ได้ และไม่มีเรื่องใดเหนือความคาดหมาย
ลำแสงเส้นนั้นตัดผ่านห้วงอากาศ แยกนภาออกจากพสุธาราวเส้นขอบฟ้า มันพุ่งผ่านศีรษะของผู้คนมากมาย ผ่านภูเขา และผ่านหอระฆังบูรพกษัตริย์ไปอย่างเงียบเชียบ
คลื่นวายุพัดผ่าน! ส่งเสียงซู่ซ่าไปตามเส้นแสง!
ทิวทัศน์ราวหยุดค้างไปชั่วขณะ
สุ้มเสียงรอบด้านทั้งหมดราวหายเงียบไปในบัดดล
เกิดความเงียบเข้าปกคลุมรอบด้าน
กลุ่มก้อนเมฆาสีดำมืดหยุดเคลื่อนที่ กระแสลมพลันแน่นิ่งไม่ไหวติง
ยามนี้ แม้แต่คนเหล่านั้นเองก็ดูราวถูกดูดเข้าไปในภาพเบื้องหน้า ทุกกายาต่างยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเสมือนถูกแช่แข็ง
นั่นคือแรงกดและมวลสารของพลังปราณชนิดหนึ่งที่มิอาจนิยามได้
และไม่จำเป็นต้องอธิบาย เพราะแค่ปรากฏขึ้นตรงหน้า มันก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คน และทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนยอมจำนนโดยอัตโนมัติ!
สายตาของพวกเขาจับจ้องอยู่ด้านบน พลางมองไปตามการเคลื่อนไหวของมัน
จวบจนสุดท้าย พวกเขาก็เห็นว่าคลื่นพลังปราณอันน่าสะพรึงกลัว ที่บรรจุลมปราณมหาศาลไว้สายนั้น ได้ระงับความรุนแรงและแรงข่มทั้งหมดของมันลงทันทีที่เข้าใกล้ฉู่หลิวเยว่
หากมองจากระยะไกล จักเห็นเพียงเกลียวคลื่นสายหนึ่งที่ทอดตัวพาดผ่านท้องฟ้า
และในที่สุด มันก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าฉู่หลิวเยว่
ราวกับนกน้อยคืนสู่รัง ที่แฝงไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งและความผูกพันอันยาวนาน
…
ฉู่หลิวเยว่มองไปยังลำแสงสีเงินประกายแดงตรงหน้า แววตาที่เคยสงบนิ่งพลันปรากฏคลื่นอารมณ์บางอย่าง
ลมปราณนี้… ไม่ได้พบพานเสียเนิ่นนาน!
ปลายนิ้วของนางสั่นเครือ ขณะยื่นมือออกไปข้างหน้า
แล้วแตะมันเบาๆ
ฟู่…
ระลอกคลื่นพลันส่งเสียงซู่ซ่า!
ลำแสงหลากสีสันนับพันเส้นแตกกระจายและล้อมรอบฉู่หลิวเยว่เอาไว้
เส้นแสงเหล่านี้เกี่ยวตวัดทับซ้อนกันไปมา ยามมองคราแรกอาจดูสะเปะสะปะ แต่ความจริงแล้วมันกลับแฝงไปด้วยจังหวะแปลกๆ ในการถักทอ
ริมฝีปากแดงเรื่อของฉู่หลิวเยว่ยกโค้งขึ้นอย่างมิอาจอดกลั้น พลางระบายยิ้มอย่างพอใจ
มิน่าเล่า…
ไม่แปลกใจเลยที่เหตุใดพอเข้าไปในเจดีย์นั่น ท่ามกลางบรรดาประตูทั้งเจ็ดบาน นางถึงเลือกประตูเดียวกันทุกครั้ง!
และหลังจากเข้าไปแล้ว นางก็ถูกดึงเข้าไปในห้วงมิติภายในแลดำดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งความเร็วในการฝึกปราณยังเพิ่มขึ้นมากด้วย
เพราะแท้จริงแล้ว… ที่นั่นคือ อาณาเขตเซียนเทพของนางไงล่ะ!
เมื่ออยู่ในอาณาเขตเซียนเทพของตัวเอง ผู้ฝึกตนทุกคนจะรู้สึกผ่อนคลายและเป็นอิสระมากที่สุด
ใต้หล้านี้ยังมีสถานที่ที่ทำให้จิตใจของนางสงบนิ่ง มิจำเป็นต้องเพียรฝึกฝน พลังปราณอันอบอุ่นแลหนักแน่นเหล่านั้น ก็จะไหลเข้าสู่ร่างกายของนางเอง
มีเพียงอาณาเขตเซียนเทพเท่านั้น!
ฉู่หลิวเยว่ชูมือขึ้น
ลำแสงโปร่งใสมากมายหลากสีสันพุ่งทะลุฝ่ามือของนาง แล่นริ้วพริ้วไหวเสมือนมีชีวิต
ฉู่หลิวเยว่พ่นลมหายใจออกทีละนิด
เพียงชั่วครู่ อาการบาดเจ็บของนางก็เริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
ภายในอาณาเขตเซียนเทพของนาง นางคือผู้ปกครองสูงสุด!
ทันใดนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็เงยหน้าขึ้น!
ก่อนจะเห็นทัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์สีทองสายนั้น กำลังจะฟาดฟันลงมา!
…
“นั่นคือ… อาณาเขตเซียนเทพหรือ!?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงมองตาค้างระคนตกตะตึง ราวไม่เชื่อในภาพเบื้องหน้า
ทว่าสิ่งที่เขาตกใจนั้น มิใช่แรงกดดันที่แผ่กระจายออกมาจากอาณาเขตเซียนเทพบนเขาเฝิงหมิน แต่เป็น…
อาณาเขตเซียนเทพเช่นนี้ เขาเคยเห็นมันมาก่อน!
ไม่สิ ต้องพูดว่าเขาคุ้นเคยกับมันเสียมากกว่า!
พูดตามตรง ในสำนักหลิงเซียวแห่งนี้ จะมีผู้อาวุโสสักกี่คนกัน ที่ไม่รู้สึกคุ้นกับอาณาเขตเซียนเทพนี่!?
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงจ้องเขม็งไปยังเงาร่างผอมบาง ที่ถูกอาณาเขตเซียนเทพล้อมรอบเอาไว้ ในใจพลันคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นาๆ!
ซั่งกวนเยว่อัญเชิญอาณาจักรเซียนเทพเช่นนี้ออกมา
นี่มัน หมายความว่าอย่างใดกัน?
“นาง ความจริงแล้ว นาง…”
ในที่สุดผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็ขยับปากพูด แต่กลับพูดติดขัดไม่ได้ความเสียที
รออยู่นาน ก็ยังมิอาจเอ่ยนามนั้นออกมาได้
สามารถทำให้ผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานักต่อนัก และเก็บความรู้สึกได้มิดชิดอย่างผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน แสดงกริยาเช่นนี้ได้ ต้องขอบอกว่า ร้ายกาจไม่เบาเลยทีเดียว
เขาจ้องมองฉู่หลิวเยว่ไม่วางตา ราวกับต้องการค้นหาบางอย่าง ที่อาจเผยออกมาจากดวงหน้าอันเกลี้ยงเกลานั่น
ขณะเดียวกัน เขาก็ยื่นมืออกไปกระตุกดึงผู้อาวุโสฮวาเฟิงที่อยู่ข้างๆ สองที
“ฮวาเฟิง นาง นาง… เป็นนางใช่หรือไม่?”
แม้แต่หางเสียงก็ยังสั่นเครือเล็กน้อย
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงรำคาญอีกคนจนทนไม่ไหว
ชัดเจนขนาดนี้!
ยังมีใครดูไม่ออกอีกหรือ!
“มิใช่นางแล้วจะเป็นใคร!?”
และเหมือนผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจะรู้ว่าตัวเองกำลังทำท่าทางแปลกๆ ออกไป เขาจึงรีบกระแอมไอเพื่อกลบเกลื่อน
“ใจเย็นก่อน อย่างเพิ่งเข้าใจผิดซี ข้าแค่คิดว่าเจ้ารู้จักนังหนูนั่นดี มีประสบการณ์ร่วมกันก็มาก แน่นอนว่าต้องมั่นใจ…”
สีหน้าของผู้อาวุโสฮวาเฟิงมืดลงทันตา
ประสบการณ์อันใด?
ประสบการณ์โดนต้มน่ะหรือ?!
เจ้าคิดจะใช้วาจาอันสวยหรูนั่น ทดสอบความรู้สึกข้าหรือไร?
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด
เดิมทีผู้อาวุโสฮวาเฟิงอยากจะตอกกลับไปเสียสองประโยค แต่หลังจากใช้สมองคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่าเขาไม่อาจโต้แย้งได้เลย
เขาลูบหน้าตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกสติ ก่อนจะหันไปมองภาพนั้นอีกครั้ง
เพียงแต่คราวนี้ ขณะที่กำลังทอดสายตามองไป ดวงหน้าของชายชราก็ปรากฏรอยยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ดวงตาคู่นี้ รัศมีรอบตัวเช่นนี้ ยังเหมือนเดิมทุกประการ!
โดยเฉพาะความสามารถในการก่อเรื่อง และนิสัยอวดดีเช่นนั้น…
เขาน่าจะรู้ตั้งนานแล้ว!
ในโลกนี้จะมีคนแบบนางสักกี่คนเชียว?
แน่นอนว่าไม่มี หนึ่งเดียวไม่มีสอง มิเป็นรองใครในยุทธภพ!
…
ฉู่หลิวเยว่กระดิกนิ้วเข้าหาตัวเอง
คลื่นพลังปราณที่ลอยตัวอยู่บนฟ้า พลันรวมกลุ่มกันอย่างรวดเร็ว!
เพียงพริบตา ก็มีลูกพลังปราณกลมๆ สีเงินและสีแดง ก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือของนาง
นางตวัดสายตาไปมองโหมวเหยาที่อยู่ด้านข้างทันควัน
“ผู้อาวุโสโหมวเหยา”
โหมวเหยายังอยู่ในภวังค์ตกใจ และมองนางราวสติเลื่อนลอย
และเห็นว่าเด็กสาวคนนั้น กำลังเผยยิ้มสดใสให้ตน
“ข้าจะคว้าทัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์นี่ได้หรือไม่ ท่านน่าจะรู้อยู่ก่อนแล้ว”
ครั้นสิ้นเสียง นางก็ถอยหลังไปครึ่งก้าว แล้วดีดนิ้ว!
แสงดาวนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายในพลัน! บดบังแสงเดือนแสงตะวันจนมิด!
…………….