ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1495 บุญคุณความแค้น
ตอนที่ 1495 บุญคุณความแค้น
ฉู่หลิวเยว่เดินตามองค์ปฐมกษัตริย์เข้ามาในห้อง
ประตูบานใหญ่ปิดลง
คิ้วกระบี่ของหรงซิวเลิกขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากบางเม้มลง รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ก่อนหน้านี้เขาสามารถคาดเดาถึงสถานะของคนผู้นี้ได้อย่างเลือนราง แต่ว่าดูจากตอนนี้แล้ว เหมือนว่าจะสูงส่งกว่าที่เขาคาดเอาไว้เสียอีก…
และสามารถปกป้องเยว่เออร์ได้ดี
แต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ดีมาก
มีองค์ปฐมกษัตริย์อยู่ นางน่าจะวางใจได้มากขึ้น
“หรงซิว”
ด้านนอกม่านพลัง ผู้อาวุโสเหวินซีปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ก่อนจะโบกไม้โบกมือมาทางนี้
“ปั๋วเหยี่ยนต้องการพบเจ้า”
หรงซิวหันกลับไปมองประตูที่ปิดสนิทอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
ขายาวก้าวไปด้านหน้า พร้อมติดตามผู้อาวุโสเหวินซีจากไป
…
หอระฆังบูรพกษัตริย์
ห้องโถง
ตอนที่หรงซิวเดินเข้ามา เขาก็เห็นว่าผู้อาวุโสที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนมาที่นี่หมดแล้ว
และอีกอย่างมู่หงอวี่ก็อยู่ที่นี่ด้วย
ดูจากท่าทางแล้ว เหมือนว่าพวกเขาต้องการสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับเยว่เออร์
ความคิดของหรงซิวกำลังสั่นไหว แต่ใบหน้าของเขายังคงสงบราบเรียบเช่นเดิม
“ผู้อาวุโสทั้งหลายเรียกข้ามาที่นี่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือ?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนมองมาทางเขาแล้วยิ้มบางๆ
ดวงตาหลายคู่จับจ้องมองมาพร้อมกัน
บรรยากาศเหมือนถูกแช่แข็งไปฉับพลัน
มุมปากของหรงซิวยกยิ้มขึ้น
“เดิมทีข้าคิดว่า พวกท่านทั้งหลายจะรอให้เยว่เออร์มาก่อน แล้วค่อยถามพร้อมกันทีเดียว”
“พวกเราก็ต้องการทำเช่นนั้น แต่ซั่งกวนจิ้งไม่ยอมปล่อยนางออกมาเลย!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงบีบหัวคิ้วด้วยความปวดหัว
“แม้กระทั่งเจ้าก็ถูกไล่ออกมาด้วยไม่ใช่หรือ?”
หรงซิวชะงักไปชั่วครู่แล้วพูดขึ้นว่า
“เยว่เออร์ได้มาเจอกับองค์ปฐมกษัตริย์ แน่นอนว่าจะต้องมีเรื่องคุยกันมากมาย และพวกเรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกมาก ดังนั้นข้าจึงไม่รีบร้อน”
ทุกคน “…”
นี่เจ้าจะแข่งขันกับองค์ปฐมกษัตริย์หรือ?
มันสิ้นหวังสุดๆ
“นั่งลงแล้วค่อยพูดค่อยจากันเถอะ”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนผายมือออก
“เรื่องบางอย่าง เจ้าพูดให้ชัดเจนก่อน เมื่อหลังจากที่นังหนูผู้นั้นกลับมาแล้ว พวกเราค่อยถามให้ละเอียดอีกครั้ง”
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
เมื่อถึงวันนี้ พวกเขาถึงได้พบว่า พวกเขาไม่รู้เรื่องอันใดเลยเกี่ยวกับนังหนูคนนั้น
ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พวกเขาร้อนรนเช่นนี้ ประเด็นสำคัญเลยก็คือเขาต้องการยืนยันเรื่องบางอย่างให้แน่ชัด
“ก็ได้ ผู้อาวุโสทุกท่านต้องการจะถามอันใด ก็สามารถถามมาได้เลย”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ คนหลายคนที่อยู่ในสถานการณ์ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างใดดี
หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง ผู้อาวุโสวั่นเจิงก็พูดขึ้นมาเป็นคนแรกว่า
“หรงซิว ซั่งกวนเยว่…นอกจากชื่อนี้ นางยังมีตัวตนอื่นอีกหรือไม่?”
ทันทีที่คำถามนี้จบลง จิตวิญญาณของทุกคนก็ตึงเครียดมากขึ้น!
สายตาหลายคู่จับจ้องไปที่หรงซิว!
หรงซิวพยักหน้า
“มี”
บรรยากาศภายในท้องพระโรงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในทันที!
“จริงหรือ?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนขยับตัวขึ้นมาด้านหน้า แล้วถามด้วยความกระตือรือร้น
“ตัวตนอันใด?”
หรงซิวนิ่งเงียบไปชั่วครู่
“จะว่าไปแล้วเรื่องนี้มันยาวมาก…”
“เจ้าค่อยๆ เล่า! เล่าให้ชัดเจน!”
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสหลายคนใส่ใจในเรื่องนี้อย่างมาก
มู่หงอวี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เบิกตากว้างขึ้นมาเล็กน้อย ภายในสมองเต็มไปด้วยความสงสัย
ตั้งแต่ที่นางถูกเรียกตัวมา นางก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
เหมือนว่าผู้อาวุโสทุกท่านก็ใส่ใจหลิวเยว่… มากกว่าปกติ
ผู้อาวุโสที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนที่มีฐานะสูงส่ง เหมือนว่าจะไม่เหมาะสมอย่างมากที่นางจะอยู่ที่นี่…
หรงซิวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หา? อ่า! อื้อ! เจ้าค่ะ!”
มู่หงอวี่ที่ถูกเรียกชื่ออย่างกะทันหันก็ตกใจอย่างมาก และรีบพยักหน้าทันที
สายตาของผู้อาวุโสหลายท่านกวาดตามองมาที่มู่หงอวี่
ที่พวกเขาเรียกนางมาที่นี่ เพราะเห็นว่านางมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับซั่งกวนเยว่
น่าจะสามารถถามเรื่องราวได้เล็กน้อย
ทุกคนเงียบเสียงลงมา และรอคอยอย่างอดทน
หรงซิวครุ่นคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง
“เยว่เออร์ยังมีอีกชื่อหนึ่งคือ… ฉู่หลิวเยว่”
…
เขาจิ่วเหิง
ฉู่หลิวเยว่และองค์ปฐมกษัตริย์นั่งเผชิญหน้ากันอยู่
องค์ปฐมกษัตริย์กวาดสายตามองนางอย่างละเอียด แล้วพูดขึ้นด้วยความรักว่า
“ดูเยว่เออร์ของพวกเราสิ เหนื่อยจนรูปร่างผอมซูบแล้ว ช่วงเวลานี้เจ้าคงลำบากมากเลยใช่หรือไม่?”
คำพูดนี้อบอุ่นหัวใจอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าพร้อมหัวใจที่รู้สึกอุ่นวาบ
“ขอบคุณองค์ไท่จู่ที่เป็นห่วง เยว่เออร์ไม่ลำบากเลย”
องค์ปฐมกษัตริย์มีสีหน้าไม่เห็นด้วย
“คนเหล่านั้นมารังแกเจ้าถึงหน้าประตูสำนักหลิงเซียว เจ้ายังบอกว่าไม่ลำบากอีกหรือ? หากเป็นคนอื่นละก็ เกรงว่า… แต่ก็มีเพียงเยว่เออร์ของพวกเราที่โดดเด่นที่สุด ถึงสามารถรับมือกับพวกเขาได้”
ความกล้าหาญ สติปัญญา และความสามารถ!
“องค์ไท่จู่ ความจริงแล้วในครั้งนี้ เป็นข้าเองที่ขอความช่วยเหลือจากสำนัก ให้เชิญพวกเขามาที่นี่ ในช่วงนี้ข่าวลือของข้ามีจำนวนมากเกินไป ดังนั้นที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะว่าตั้งใจจะแก้ปัญหาทั้งหมดในคราวเดียว”
ฉู่หลิวเยว่เล่าถึงต้นสายปลายเหตุทั้งหมดให้องค์ปฐมกษัตริย์ฟังอย่างคร่าวๆ
องค์ปฐมกษัตริย์ได้ฟังดังนั้นก็ถอนหายใจออกมา
หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็พูดขึ้นว่า
“ต้องโทษที่ข้าเองมาสายเกินไป”
หากเขามาเร็วกว่านี้ เยว่เออร์ก็จะไม่ได้รับความอัปยศอดสูมากมายขนาดนี้
นางตัวคนเดียว แต่ต้องรับมือกับคนมากมายขนาดนั้น
แล้วพวกเขาเหล่านั้นรับมือง่ายๆ เสียที่ไหนกัน?
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า ดวงตาเปล่งประกาย
“ไม่เจ้าค่ะองค์ไท่จู่ สำหรับข้าแล้วที่ท่านสามารถมาได้ ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างที่สุด ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่า ท่านออกมาได้อย่างใด…”
องค์ปฐมกษัตริย์รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่นางอยากจะถามมาโดยตลอด เขาจึงไม่ได้ปิดบัง
“ก่อนหน้านี้เจ้าคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว สถานที่แห่งนั้นเป็นสุสานที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้ตนเองจริงๆ”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง
เตรียมไว้ให้… ตนเองหรือ?
นี่มัน…
“ตอนแรกที่ข้าออกจากราชสำนักเทียนลิ่ง และเดินทางมายังอาณาจักรเสิ่นซวี่ ตอนที่ข้าอยู่ในบุพกาลชายแดนเหนือ ข้าได้รับมรดกจากผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ และสามารถทะลวงเป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมอาวุธได้”
“ตอนนั้นข้ายังเยาว์วัยนัก หลังจากที่ทะลวงด่านสำเร็จแล้ว ก็เลือกที่จะเข้าสู่โลกมนุษย์ และท้าปรมาจารย์ด้านการหลอมอาวุธหลายต่อหลายคนแข่งขัน จนได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง”
ตอนที่พูดถึงความรุ่งเรืองในอดีต น้ำเสียงขององค์ปฐมกษัตริย์ก็ราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง แววตาเหมือนผ่านเรื่องราวในชีวิตและสรรพสิ่งมามากมาย
ฉู่หลิวเยว่ลอบตกใจอย่างเงียบๆ
เขาแข็งแกร่งถึงระดับใดกัน?
“ในตอนนั้นก็ถือว่าข้าได้เพลิดเพลินกับสิ่งรอบกายมากมาย และมีความรู้สึกภาคภูมิใจมากยิ่งขึ้น จนกระทั่ง…”
องค์ปฐมกษัตริย์เงียบไป
“จนกระทั่งได้เจอกับไท่ซวีเฟิ่งหลง”
“ไท่ซวีเฟิ่งหลง?”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปในทันที
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินข่าวลือมาว่า… ตอนนั้นท่านได้ต่อสู้กับไท่ซวีเฟิ่งหลงที่เผ่ามังกร…”
แต่องค์ปฐมกษัตริย์ไม่ได้พูดว่าเขาเป็นคนต่อสู้กับไท่ซวีเฟิ่งหลงโดยตรง!
องค์ปฐมกษัตริย์หัวเราะออกมาเสียงเย็น
“พวกของโบราณเก่าเก็บกลุ่มนั้นรักศักดิ์ศรีอย่างมาก! หากคนในโลกมนุษย์รู้ว่าพวกเขาพ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือของข้า พวกเขาจะยอมเสียหน้าได้อย่างใด?”
คำพูดประโยคหนึ่งมีข้อมูลมากมายเกินไป
ฉู่หลิวเยว่ตกใจจนพูดไม่ออก
คาดไม่ถึงว่าเดิมทีองค์ปฐมกษัตริย์จะเป็นคนที่ต่อสู้กับไท่ซวีเฟิ่งหลง?
และประเด็นสำคัญเลยก็คือไท่ซวีเฟิ่งหลงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้?
“ก่อนมหาสงครามเริ่มต้น ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดี จึงได้จัดเตรียมสุสานของตนเองเอาไว้ และต่อมาก็ได้รับรู้ว่าการตัดสินใจนี้ถูกต้องอย่างมาก ข้าสามารถใช้วิธีนี้เก็บรักษาร่างศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้”
เมื่อองค์ปฐมกษัตริย์พูดถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะออกมาอย่างภาคภูมิใจ
“ความจริงแล้วข่าวลือนั้น มีทั้งจริงทั้งไม่จริง ในตอนนั้นมังกรที่ล้อมข้าเอาไว้มีมังกรเขียว แดง ขาวทั้งหมดเก้าตัว และหนึ่งในนั้นยังมีไท่ซวีเฟิ่งหลงอีกหนึ่งตัว!”
เพียงแต่พวกมันปกปิดการมีอยู่ของไท่ซวีเฟิ่งหลง
“หลังจากการต่อสู้อันหนักหน่วงนี้ ข้าก็เลือกที่จะจัดการมังกรทั้งเก้าตัวนั้นพร้อมกัน และสะกดมันเอาไว้! ไม่สามารถออกมาได้ในระยะเวลาพันปี! มีเพียงไท่ซวีเฟิ่งหลงตัวนั้นที่ใช้ช่วงเวลาชุลมุนหลบหนีไป!”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้หัวใจของฉู่หลิวเยว่ก็พองโตขึ้นมา และอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า
“องค์ไท่จู่ เหตุใดพวกมันถึงทำกับท่านเช่นนี้?”
ต้องบอกก่อนว่าพวกมันคืออสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาล เหตุใดถึงทำเรื่องรังแกคนผู้น้อยเช่นนี้ขึ้นมาได้?
องค์ปฐมกษัตริย์กระแอมไอ
“ไม่มีอันใดหรอก ก็แค่… ข้าอยากจะใช้กระดูกของไท่ซวีเฟิ่งหลงตัวหนึ่งไปหลอมทำอาวุธ แต่กลับถูกพวกมันจับได้เสียก่อน…”