ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1490 ใครกันแน่ที่ยั่วโมโหไม่ได้ ตอนที่ 1491 ใครว่านางไม่มีเบื้องหลัง
- Home
- All Mangas
- ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
- ตอนที่ 1490 ใครกันแน่ที่ยั่วโมโหไม่ได้ ตอนที่ 1491 ใครว่านางไม่มีเบื้องหลัง
ตอนที่ 1490 ใครกันแน่ที่ยั่วโมโหไม่ได้ ตอนที่ 1491 ใครว่านางไม่มีเบื้องหลัง
ตอนที่ 1490 ใครกันแน่ที่ยั่วโมโหไม่ได้
เสียงกระดูกหักดังลั่นขึ้นมาอย่างชัดเจน
องค์ปฐมกษัตริย์สะบัดมือโยนทิ้ง ร่างที่อ่อนยวบของจินตี้ร่วงลงพื้น
ดวงตาทั้งสองข้างถลนออก ใบหน้าเขียวม่วง ศีรษะเอนเอียงไปข้างหนึ่ง ท่าทางดูแปลกประหลาด
บนลำคอของเขามีคราบเลือดอยู่หลายสาย เส้นเลือดสีแดงเหล่านั้น เหมือนจะระเบิดออกมาจากใต้ผิวหนัง!
ดวงตาหม่นแสง การกระทำแข็งค้าง ลมหายใจดับสิ้น
เห็นได้ชัดว่าเขาตายแล้ว
อากาศภายในจัตุรัสแห่งนี้เหมือนจะเย็นลงอย่างกะทันหัน
ทุกคนในที่แห่งนั้นล้วนตกใจอย่างมาก!
เมื่อครู่นี้…เมื่อครู่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
คาดไม่ถึงว่าชายผู้นี้จะฆ่าจินตี้ทันทีเช่นนี้เลย?
สมาชิกที่เหลือไม่กี่คนของสำนักปีกสุวรรณที่มองเห็นเหตุการณ์นี้ ก็ล้วนตกตะลึงไป
“ท่านรอง!”
เขาอยากจะบุกขึ้นไป แต่ศพนั้นกองอยู่ข้างกายขององค์ปฐมกษัตริย์ ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้
จึงทำได้เพียงมองดูในระยะไกลด้วยความร้อนรนและหวาดกลัว
ในที่สุดหนึ่งคนในจำนวนนั้นก็รวบรวมความกล้าแล้วตะโกนขึ้นมาว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาคือใคร? ท่านผู้นี้คือน้องชายเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักปีกสุวรรณ! เรื่องภายในวันนี้ เจ้าสำนักของพวกเราจะไม่ยอมเลิกราอย่างง่ายดายแน่นอน!”
“บังเอิญมาก”
องค์ปฐมกษัตริย์สะบัดมือเบาๆ เหมือนกับรู้สึกว่ามือของตนเองนั้นสกปรกมาก เขาพูดขึ้นเสียงเรียบพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าเองก็กำลังคิดว่า การฆ่าเพียงคนเดียว มันชดใช้ไม่เพียงพอ”
ทุกคน “…”
ฟังดูเอาเถิด!
นี่มันใช่คำพูดของมนุษย์พูดกันหรือไม่?
ฆ่าคนเพียงคนเดียวมันยังไม่พออีกหรือ?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาต้องการฆ่าล้างสำนักปีกสุวรรณ?
ทันทีประโยคนี้หลุดออกไป ก็ทำให้คนเหล่านั้นมีใบหน้าซีดขาวขึ้นมาจริงๆ
เหลือบสายตามองพวกเขาอีกเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมา
“วางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าหรอก ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องมีคนกลับไปแจ้งข่าวผู้เสียชีวิต”
ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาต้องจัดการลงมือกับคนเหล่านี้ด้วยตนเอง ก็รู้สึกเสียศักดิ์ศรีไปเล็กน้อย
ทุกคน “…”
ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในตัวขององค์ปฐมกษัตริย์ ภายในใจก็ยกนิ้วโป้งให้อย่างชื่นชม
ทันใดนั้นหรงซิวขยับเข้ามาใกล้ พร้อมกดเสียงลงต่ำเล็กน้อย
“ที่แท้นิสัยของเจ้าก็ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษนี่เอง”
ความสามารถในการยั่วโมโหนั้น คนธรรมดาไม่สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและไพเราะ และยังแฝงความขบขันอีกสามส่วน เมื่อควบรวมกับลมหายใจที่อุ่นร้อน ขณะที่ลมหายใจนั้นสัมผัสเข้ากับหลังคอของนาง มันก็ทำให้นางรู้สึกชาหนึบขึ้นมา
นางหันขวับกลับไปมองเขาด้วยความโมโห
ขณะที่นางมองไปยังองค์ปฐมกษัตริย์ ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความยินดี แววตาคู่นั้นสว่างเจิดจ้าอย่างยิ่ง
ลำแสงประกายเหล่านี้ ทำให้หัวใจคนสั่นไหว
หรงซิวเหลือบสายตามองติ่งหูที่แดงก่ำของนาง แล้วหัวเราะออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ
เมื่อพูดจบ เขาก็มองไปยังสีแดงที่เริ่มแผ่กระจายไปทั่วบริเวณใบหน้าของนางด้วยความพอใจ ชายผู้นี้ถึงจะยอมถอยร่นออกมาได้
ใบหน้าของเขางดงาม ดวงตาเฉียบคม เป็นสุภาพบุรุษที่เปรียบดั่งหยก บริสุทธิ์ไม่มีใครเทียบเทียม
เหมือนว่าเขาไม่ได้เป็นคนพูดคำพูดเมื่อครู่นี้
ฉู่หลิวเยว่แค่นหัวเราะเสียงต่ำ
เมื่อมีองค์ปฐมกษัตริย์อยู่ ดูสิว่าเขาจะกล้ากำเริบเสิบสานได้อย่างใด
นางถอนสายตากลับมา ก่อนจะกวาดสายตามองไปทางศพของจินตี้
คนของสำนักปีกสุวรรณรังแกผู้อื่นมากเกินไป ในช่วงนี้อีกฝ่ายก็มายั่วโมโหนางอยู่ไม่ใช่น้อย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า นางยังไม่ทันได้ตอบโต้ องค์ปฐมกษัตริย์ก็ลงมือให้เสียแล้ว
อีกทั้งยังลงมืออย่างเรียบง่ายและป่าเถื่อนมาก!
ต้องบอกเลยว่า…
นางมีความสุขมาก!
“ดูเหมือนท่านจะใจกล้าไร้ผู้เทียบเทียม การกระทำเช่นนี้ ท่านมีความคิดที่จะทำลายสำนักปีกสุวรรณใช่หรือไม่?”
ทันใดนั้นภายในฝูงชนก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
คนที่พูดคือ ชายคนหนึ่งอายุประมาณสามสิบปี เขาเป็นคนที่เคยตั้งคำถามกับฉู่หลิวเยว่มาก่อน
เมื่อเปรียบเทียบกับจิ้งจอกเฒ่าคนอื่นที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่หุนหันพลันแล่นอย่างมาก
นับว่าเป็น… ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ?
ตอนนี้คิ้วของเขาขมวดขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและเย็นชา
เขาไม่คิดว่าองค์ปฐมกษัตริย์เพียงคนเดียวจะสามารถท้าทายสำนักปีกสุวรรณทั้งหมดได้
องค์ปฐมกษัตริย์เหลือบสายตามองมาทางเขา ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา
“คำพูดนี้เจ้าควรจะไปถามสำนักปีกสุวรรณเสียมากกว่า! บรรพบุรุษของพวกเจ้าก็ยังไม่กล้ามาฉีกหน้าข้า แต่เมื่อถึงคราวพวกเจ้ากลับกระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้าข้า”
ตอนที่ 1491 ใครว่านางไม่มีเบื้องหลัง
ทุกคนที่อยู่รอบข้างเงียบไปในทันที
คำพูดประโยคนี้แฝงไปด้วยข้อมูลเป็นจำนวนมาก คนธรรมดายังไม่สามารถตอบสนองได้ในทันที
แม้กระทั่งฉู่หลิวเยว่ก็ยังตกใจ นางเบิกตากว้างมองไปทางองค์ปฐมกษัตริย์
เมื่อฟังจากคำพูดขององค์ปฐมกษัตริย์ ก่อนหน้านี้… เขาเคยมีการติดต่อกับคนของสำนักปีกสุวรรณมาก่อน?
อีกทั้งอีกฝ่ายยังให้ความเคารพเขาเป็นอย่างมาก?
นี่มัน…
เรื่องจริงหรือไม่?
สามารถทำให้บรรพบุรุษสำนักปีกสุวรรณหวาดกลัวได้ถึงขนาดนั้น ในตอนนั้นองค์ปฐมกษัตริย์แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่?
เดินทีนางมีความรู้สึกกังวลใจอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงเทือกเขาเก้าวิถีภายในบุพกาลชายแดนเหนือ และกระดูกมังกรหลายชิ้น นางก็คิดว่าเรื่องเหล่านี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นหวาดกลัวคำพูดขององค์ปฐมกษัตริย์เป็นอย่างมาก
เดิมทีชายคนที่พูดนั้นยังคงมีความมั่นใจอยู่ แต่เมื่อเห็นท่าทางขององค์ปฐมกษัตริย์แล้ว หัวใจของเขาก็รู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาทันที
“เจ้า… ท่านเป็นใครกันแน่?”
ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ ไม่มีคนเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?
ต่อให้นึกย้อนกลับไป ก็เหมือนว่าจะไม่มีนี่นา!
ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้นเป็นของจริง
แต่ถ้าไม่มีสถานะและเบื้องหลัง เขาคงไม่กล้าพูดต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้
องค์ปฐมกษัตริย์เอามือไพล่หลัง แล้วพูดขึ้นเสียงเรียบว่า
“ชื่อที่แท้จริงของข้าคือ… ซั่งกวนจิ้ง! แต่ว่าข้ายังมีชื่ออีกชื่อหนึ่ง บางทีพวกเจ้าอาจจะคุ้นหู… มู่เทียนจิ้ง”
“มู่เทียนจิ้ง… ชื่อนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน…”
ใครสักคนที่อยู่ภายในกลุ่มพูดพึมพำขึ้นมาเสียงเบา
“เหมือนว่าข้าคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนกัน… แต่จู่ๆ มันก็นึกไม่ออก!”
“มู่เทียนจิ้ง…มู่เทียนจิ้ง…”
คนจำนวนไม่น้อยขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะไปมองทางหรงซิว
ชื่อนี้ขององค์ปฐมกษัตริย์ นางไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่รู้ว่าหรงซิวรู้อันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่
เหมือนว่าเขาจะสามารถอ่านใจนางออก หรงซิวยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าเบาๆ
ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้างเล็กน้อย แล้วยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม
ที่จริงแล้วองค์ปฐมกษัตริย์…
“มู่เทียนจิ้ง…ท่านมู่?”
เหยาปินพูดพึมพำ ทันใดนั้นภายในสมองของเขาก็มีแสงสีขาวสว่างวาบ เขาหันไปมองทางองค์ปฐมกษัตริย์ด้วยความประหลาดใจ
“ท่านคือท่านมู่หรือ? ท่านยัง…มีชีวิตอยู่หรือ?”
คำพูดประโยคนี้ เขาถามด้วยความระมัดระวังและรอบคอบเป็นพิเศษ
คนจำนวนไม่น้อยหันมามองด้วยความประหลาดใจ
ท่านมู่? หมายความว่าอย่างใดกัน?
“ช้าก่อน! เมื่อพันปีก่อนมีตำนานเล่าว่า อาณาจักรเสิ่นซวี่มีปรมาจารย์ด้านการหลอมอาวุธปรากฏขึ้นมาหนึ่งคน คนนั้นแข็งแกร่งไร้เทียมทาน เขาท้าทายปรมาจารย์ด้านการหลอมอาวุธเจ็ดคนต่อเนื่องกัน และไม่เคยพ่ายแพ้เลยสักครั้ง! หรือว่า…”
ชือรุ่ยเออร์เหมือนคิดอันใดได้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกตะลึง และมองมาทางองค์ปฐมกษัตริย์อย่างไม่อยากจะเชื่อ
หลังจากที่เงียบไปสักพักหนึ่ง คนที่อยู่ในจัตุรัสก็ส่งเสียงดังฮือฮาขึ้นมา
ที่แท้ก็คือคนผู้นี้เอง!
ที่แท้ก็คือเขา?
ความจริงแล้วเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคนผู้นี้ พวกเขาล้วนเคยได้ยินมาบ้างไม่มากก็น้อย
เพราะว่าประวัติของคนผู้นี้คือตำนาน!
ในปีนั้น เขาเป็นคนที่ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง บุกเข้ามายังอาณาจักรเสิ่นซวี่เพียงคนเดียว
ท่าทางกำเริบเสิบสานและหยิ่งผยองเป็นอย่างยิ่ง!
แต่ทว่าคนผู้นี้ก็มีฝีมือจริงๆ
ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ปรมาจารย์ด้านการหลอมอาวุธเป็นสิ่งที่หาได้ยากและล้ำค่าอย่างมาก
แต่เขากลับแวะเวียนไปหาคนเหล่านั้น
ถ้าพูดให้น่าฟังเสียหน่อย ก็ต้องบอกว่า “แลกเปลี่ยนวิชา” ถ้าพูดให้ไม่น่าฟัง มันก็คือ การไปสังหาร
ได้ยินว่าปรมาจารย์ด้านการหลอมอาวุธทั้งเจ็ดนั้น ได้รับการกระตุ้นจากเขา และพ่ายแพ้ไปอย่างต่อเนื่อง
บางคนต้องปิดด่านฝึกร้อยปี ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง
มีบางคนเลื่อมใสศรัทธาในตัวเขาเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งตระกูลก็ไม่ต้องการแล้ว ขอติดตามเขาไปในทันที
และอย่างสุดท้ายนั้นอนาถเป็นที่สุด
เพราะว่าเขาได้รับการโจมตีอย่างหนัก ดังนั้นจึงตัดสินใจออกบวช
ส่วนเหตุผลก็ง่ายมาก…เขาค้นพบว่าเขาฝึกฝนมาร้อยปี ฝีมือยังไม่ดีเท่าคนที่ฝึกฝนมาสิบปี แล้วยังได้รับการโจมตีอย่างหนักหน่วงอีก
อีกทั้งในขณะเดียวกันนั้นเอง การประลองทั้งเจ็ดรอบ เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงสามเดือนเท่านั้น
แทบจะเป็นการแข่งขันที่ไร้ช่วงรอยต่อ ไม่มีเวลาให้พัก
เมื่อประลองสนามหนึ่งเสร็จ ก็ไปประลองอีกสนามหนึ่งต่อ
เมื่อถึงคราวปรมาจารย์หลอมอาวุธคนที่เจ็ด
ถ้าพูดให้น่าฟังเสียหน่อย ก็ต้องบอกว่า “แลกเปลี่ยนวิชา” ถ้าพูดให้ไม่น่าฟัง มันก็คือ การไปสังหาร
ได้ยินว่าปรมาจารย์ด้านการหลอมอาวุธทั้งเจ็ดนั้น ได้รับการกระตุ้นจากเขา และพ่ายแพ้ไปอย่างต่อเนื่อง
บางคนต้องปิดด่านฝึกร้อยปี ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง
มีบางคนเลื่อมใสศรัทธาในตัวเขาเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งตระกูลก็ไม่ต้องการแล้ว ขอติดตามเขาไปในทันที
และอย่างสุดท้ายนั้นอนาถเป็นที่สุด
เพราะว่าเขาได้รับการโจมตีอย่างหนัก ดังนั้นจึงตัดสินใจออกบวช
ส่วนเหตุผลก็ง่ายมาก…เขาค้นพบว่าเขาฝึกฝนมาร้อยปี ฝีมือยังไม่ดีเท่าคนที่ฝึกฝนมาสิบปี แล้วยังได้รับการโจมตีอย่างหนักหน่วงอีก
อีกทั้งในขณะเดียวกันนั้นเอง การประลองทั้งเจ็ดรอบ เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงสามเดือนเท่านั้น
แทบจะเป็นการแข่งขันที่ไร้ช่วงรอยต่อ ไม่มีเวลาให้พัก
เมื่อประลองสนามหนึ่งเสร็จ ก็ไปประลองอีกสนามหนึ่งต่อ
เมื่อถึงคราวปรมาจารย์หลอมอาวุธคนที่เจ็ด
เดิมทีเขาคิดว่า ก่อนหน้านี้มู่เทียนจิ้งทนทรมานต่อการแข่งขันทั้งหกครั้งมาแล้ว ครั้งนี้อีกฝ่ายจะต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า สุดท้ายเขาก็ต้องมาพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช
ในตอนนั้นเขาคิดอันใดไม่ออก จึงละทิ้งการฝึกฝน แล้วหันหน้าเข้าหาธรรมะ
และเพราะเหตุการณ์นี้ ตระกูลชั้นผู้นำเหล่านั้นจึงนับได้ว่ามีความใกล้ชิดสนิทสนมกับมู่เทียนจิ้งเป็นอย่างมาก
น่าเสียดายชื่อเสียงของมู่เทียนจิ้งในตอนนั้น มีคนมากมายต้องการจะให้เขาหลอมอาวุธให้ มากกว่าคนที่ต้องการชีวิตของเขาตั้งไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร
ดังนั้นคนเหล่านี้จึงจำเป็นจะต้องปล่อยเขาไป
แต่ใครจะรู้เล่าว่าหลังจากนั้นไม่นาน มู่เทียนจิ้งก็หายตัวไปอย่างกะทันหัน
คนจำนวนมากพยายามหาตัวเขาอย่างเต็มที่ แต่ไม่ว่าอย่างใดก็ไม่พบร่องรอยของเขาเลย
ปุ่มที่ 3 ใน 4 ตอนก่อนหน้า
ปุ่มที่ 2 ใน 4 ความคิดเห็น
มีคนบอกว่าเขาตายแล้ว
มีคนบอกว่าเขาเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามไม่ให้คนจดจำได้
สรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นการคาดเดาแบบใดก็ล้วนมีทั้งหมด
เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนก็ค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องเหล่านี้
เวลาหนึ่งพันปี ทะเลกลายเป็นนา สรรพสิ่งยังคงเหมือนเดิมแต่ผู้คนเปลี่ยนไป
หากไม่ใช่เพราะผลการประลองในปีนั้นมันน่าตกใจมากเกินไป หากพูดขึ้นอีกครั้งในตอนนี้ เกรงว่าจะไม่มีใครจดจำได้แล้ว
องค์ปฐมกษัตริย์ลูบเคราของตนเอง
“เหตุใด ข้ายังไม่ตาย พวกเจ้าผิดหวังมากนักหรือ?”
“ไม่กล้า ไม่กล้า! พวกเราไม่ได้หมายความเช่นนั้นแม้แต่น้อย!”
เหยาปินตอบสนองขึ้นมาได้เป็นคนแรก เขาจึงรีบปฏิเสธในทันที
“ในตอนนั้นบรรพบุรุษตระกูลเหยา ได้รับคำชี้แนะจากท่าน จึงรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่ไม่สามารถทดแทนบุญคุณได้ จึงรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก คิดไม่ถึงเลยว่า ในวันนี้จะได้พบกับท่านแล้ว…”
เหยาปินเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากของตนเอง และรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
คำพูดนี้ไม่ใช่เรื่องเท็จ
นั่นเป็นเหตุผลว่าเหตุใดเขาถึงนึกฐานะขององค์ปฐมกษัตริย์ได้ก่อนเป็นคนแรก นั่นเป็นเพราะว่าบรรพบุรุษตระกูลเหยา เคยมีการติดต่อกับองค์ปฐมกษัตริย์มาก่อน
ในปีนั้น องค์ปฐมกษัตริย์ล่วงเกินคนไปเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ด้วยฝีมือการหลอมอาวุธของเขาได้ช่วยเหลือคนไว้จำนวนมาก
ตระกูลเหยาก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
องค์ปฐมกษัตริย์เหลือบสายตามองมาที่เขาเล็กน้อย ก่อนจะครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วพูดว่า
“เจ้าคือทายาทของเหยาชิงซินผู้นั้นหรือ?”
เหยาปินรีบตอบขึ้นมาว่า
ปุ่มที่ 1 ใน 4 สารบัญ
“ใช่แล้วขอรับ ผู้เยาว์มีนามว่าเหยาปิน คารวะท่านมู่!”
ขณะที่พูดเขาก็ประสานมือทำความเคารพไปทางฉู่หลิวเยว่ด้วยความเกรงใจ แล้วพูดอย่างรู้สึกผิดว่า
“คุณหนูซั่งกวน ก่อนหน้านี้ข้าได้ล่วงเกินไปแล้ว ต้องขอประทานอภัยด้วย!”
หรงซิวเลิกคิ้วดั่งสันกระบี่ขึ้น ก่อนจะกล่าวเตือนว่า
“ตอนนี้เยว่เออร์เป็นพระชายาแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ ประมุขเหยา เรียกนางว่าพระชายาเลยจะดีกว่า”