ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1488 องค์ไท่จู่จะปกป้องเจ้าเอง!
ตอนที่ 1488 องค์ไท่จู่จะปกป้องเจ้าเอง!
“ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์รึนี่!”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนหยัดกายลุกขึ้นทันควัน มองคนมาใหม่ด้วยสายตาตะลึงพรึงเพริดยากจะคาดเดา
อีกฝ่ายมีท่าทีทะนงตน แรงกดดันมหาศาลกดทับผู้อื่นทั่วถ้วน ย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งในหมู่ผู้แข็งแกร่งอีกที!
เขาเบนสายตากลับมามองฉู่หลิวเยว่
“ฉู่…นางหนู นี่ใครกัน?”
บุรุษผู้นี้พูดคำว่า ‘ทายาทรุ่นหลังของตระกูลซั่งกวน’ ออกมา คงมิได้หมายถึงซั่งกวนเยว่หรอกใช่หรือไม่!
มิใช่ว่านางหนูนี่เป็นคนนอกพรมแดนหรอกหรือ เหตุใดถึงได้มีผู้ช่วยที่เก่งกาจปานนี้เล่า
คนจำนวนไม่น้อยต่างหูผึ่งกันในทันที
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองไปยังบุรุษวัยกลางคนที่ก้าวออกมาจากสุดขอบฟ้ากว้างไกล หัวใจก็เต้นถี่รัวอย่างมีชีวิตชีวาและเร็วแรง!
ตึกตัก!
ตึกตัก!
“องค์…องค์ไท่จู่!”
นางพึมพำเสียงค่อย นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววเหลือจะเชื่อ ทั้งยังฉายแววยินดีปรีดาออกมาอย่างปิดไม่มิด!
หรงซิวรับรู้ได้ถึงความวิตกของนางจึงเหลือบสายตามามองน้อยๆ ในแววตาพลันปรากฏรอยยิ้มวาบผ่าน
คิดไม่ถึงเลยว่าท่านผู้นี้จะมาที่นี่เร็วปานนี้…
ชั่วพริบตา เงาร่างขององค์ไท่จู่ก็เข้ามาใกล้แล้ว
เสื้อคลุมสะบัดพลิ้วไหว เป็นอิสระจากแรงกดดันมหาศาลทั้งปวง
เขาสาวเท้าก้าวเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของฉู่หลิวเยว่ หัวเราะเสียงดังลั่นพลางมองมาที่นาง
ฉู่หลิวเยว่ยืนมองเขาด้วยความตะลึงพรึงเพริด ถึงกับมิอยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นอยู่ชั่วขณะหนึ่งเสียด้วยซ้ำ
เพียงแต่วิญญาณที่เคยโปร่งใสดั่งแต่ก่อน มาบัดนี้กลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นร่างเนื้อที่จับต้องได้เสียแล้ว!
สีหน้าท่าทางของเขาที่แสดงออกผ่านแววตาและเรียวคิ้วชวนให้รู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
องค์ไท่จู่ก้มตัวลงเล็กน้อยพลางสบสายตาฉู่หลิวเยว่ตรงๆ ก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า
“เป็นอันใดไป มิได้เจอกันนานขนาดนี้ นางหนูนี่ลืมกันเสียแล้วรึ?”
ฉู่หลิวเยว่ยังคงรู้สึกมึนงงไม่หายอยู่หลายส่วน
“องค์ไท่จู่?”
นางมิเคยคาดคิดมาก่อนว่าคนที่ปรากฏตัวออกมาจะเป็นองค์ไท่จู่ไปได้!
ตอนที่อยู่ในบุพกาลชายแดนเหนือ นางก็พอเดาได้รางๆ ว่าองค์ไท่จู่เคยไปที่นั่นมาแล้ว มารู้ภายหลังว่าที่นั่นคงจะเป็นสุสานขององค์ไท่จู่เอง
ตอนอยู่ที่นั่น นางก็เคยคิดว่าบางทีองค์ไท่จู่อาจจะยังมีชีวิตรอดอยู่
แต่ว่า…
นางคาดไม่ถึงแม้แต่น้อยเลยว่า นี่จะกลายเป็นเรื่องจริงไปได้!
อีกอย่าง
พละกำลังขององค์ไท่จู่ดูจะ…แข็งแกร่งขึ้นอย่างมากด้วย!
องค์ไท่จู่เห็นนางทำหน้ามึนงงน่าเอ็นดูอย่างหาได้ยากเช่นนี้ก็อดหัวเราะร่าออกมาไม่ได้ ก่อนจะยื่นมือใหญ่ออกมาขยี้หัวฉู่หลิวเยว่
“ฮ่า…ฮ่า! นางหนูนี่ยังทึ่มทื่อไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ องค์ไท่จู่มาหาแล้วไม่ดีใจเลยหรือ?”
ทุกคนล้วนตื่นตกใจกันทั่วถ้วน!
องค์ไท่จู่!
บุรุษผู้นี้คือบรรพชนของซั่งกวนเยว่อย่างนั้นหรือ!
แต่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่แทบไม่เคยได้ยินว่ามีผู้แข็งแกร่งแซ่ซั่งกวนมาก่อนเลยหนา…
หากว่ามีแล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้ได้!
คนจำนวนมากต่างลอบสบตากันไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับบุรุษวัยกลางคนที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันผู้นี้เลย
ทว่าการปรากฏตัวของเขากลับทำให้ผู้คนบังเกิดความหวาดหวั่นอยู่หลายส่วน
บัดนี้ซั่งกวนเยว่ไม่เพียงแต่มีสำนักหลิงเซียวและพระราชวังเมฆาสวรรค์คอยหนุนหลัง ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ใดอีกด้วย!
อีกอย่างดูจากลมปราณของเขาแล้ว สามารถบดขยี้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในที่แห่งนี้ได้เกือบทุกคน!
หากคนผู้นี้เป็นบรรพชนของซั่งกวนเยว่จริงๆ คนผู้นั้นก็มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ย่อมต้องปกป้องนางจนถึงที่สุดแน่!
นี่สิถึงนับว่าเป็นปัญหาใหญ่…
องค์ไท่จู่ลูบหัวของนางแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยทีละคำว่า
“วางใจเถอะ วันนี้มีองค์ไท่จู่อยู่ด้วย ใครหน้าไหนก็รังแกเจ้าไม่ได้ทั้งนั้น!”
ยามมองดวงหน้าขององค์ไท่จู่ที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มใจดีแลรักใคร่เอ็นดู ฉู่หลิวเยว่พลันรู้สึกคัดจมูกขึ้นมา
แต่ไหนแต่ไรมานางแข็งแกร่งมาโดยตลอด ไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้ได้
แม้วันนี้นางจะถูกคนจำนวนมากปานนี้ล้อมจับ กดดันทุกฝีเท้า นางเองก็ไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอออกมาให้เห็นสักกระผีก
เพราะนางรู้ว่านางทำไม่ได้!
ในเวลาแบบนี้ ทันทีที่แสดงออกถึงความอ่อนแอแม้เพียงนิด คนพวกนี้ก็จะยิ่งได้ใจมากกว่าเก่า!
ดังนั้น นางต้องเข้มแข็งขึ้นมาให้ได้!
ทว่าในตอนนั้นเอง คำพูดทื่อตรงประโยคนี้ขององค์ไท่จู่ กลับทำให้นางทลายกำแพงของตนลงอย่างง่ายดาย
ในชั่วพริบตา ความโศกเศร้า ความเสียใจ ความคิดถึง ความปรีดา…
อารมณ์อันซับซ้อนนับไม่ถ้วนถาโถมเข้ามาหาไม่หยุดหย่อน
ยามองค์ไท่จู่เห็นเบ้าตาของนางแดงก่ำ ในใจพลันรู้สึกปวดหนึบ
“พอแล้ว พอแล้ว ต้องโทษข้าที่มาช้าเกินไป! ทำให้เยว่เออร์ของพวกเราต้องเจ็บช้ำน้ำใจไปมิน้อยเลยใช่หรือไม่?”
เขาอยากช่วยฉู่หลิวเยว่เช็ดน้ำตาที่ไหลพรากลงมาเป็นสายไม่หยุด ทว่ากลับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เขาจึงดูเก้ๆ กังๆ อย่างเห็นได้ชัด
ทว่าพอเป็นเด็กสาวในความดูแลของตนร้องไห้ กลับไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะดี
ดังนั้นจึงทำได้แค่ยืนร้อนใจอยู่อย่างนั้น
ฉู่หลิวเยว่จึงหัวเราะออกมาด้วยกลั้นไม่อยู่ นางยื่นมือไปดึงแขนเสื้อคลุมของเขาไว้
“องค์ไท่จู่ ท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าก็แค่ดีใจไปหน่อยที่ได้พบท่าน”
องค์ไท่จู่เห็นว่านางยิ้มออกได้ นัยน์ตาส่องประกายสว่างจ้า ก็ค่อยเบาใจไปไม่หน่อย
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่งด้วยยังคงรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง
“ท่าน…ออกมาได้อย่างใดกัน?”
นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม
ความจริงแล้ว เริ่มแรกองค์ไท่จู่เป็นเพียงวิญญาณตนหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังเป็นเสี้ยววิญญาณที่ไม่สมบูรณ์
ฉู่หลิวเยว่คิดมาโดยตลอดว่าจะต้องช่วยองค์ไท่จู่สร้างร่างเนื้อขึ้นมาใหม่ ทั้งตามหาเสี้ยววิญญาณที่ขาดหายไปให้ครบถ้วนเท่านั้นจึงจะทำให้องค์ไท่จู่ฟื้นคืนชีพได้อย่างสมบูรณ์
แต่ตอนนี้…
องค์ไท่จู่เคาะหน้าผากนางอย่างไม่เต็มแรงนัก เอ่ยแกมหัวเราะว่า
“นางหนูลืมไปแล้วรึว่า เดิมที่แห่งนั้นเดิมเป็นเขตแดนของพวกเราอยู่แล้ว?”
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับตะลึงไปครู่หนึ่ง
เขตแดนของพวกเขา…หรือก็คือสุสาน…ขององค์ไท่จู่?
ทันใดนั้นเอง พลันมีแสงสว่างเคลื่อนผ่านวาบในความคิดนาง!
องค์ไท่จู่มาปรากฏตัวเช่นนี้ มิใช่ว่าพิสูจน์แล้วหรอกหรือว่าวิญญาณส่วนที่เหลือของเขาถูกผนึกเอาไว้ในสุสาน รวมไปถึง…
สายตาของนางพลันหยุดอยู่บนร่างขององค์ไท่จู่
บนใบหน้าและฝ่ามือขององค์ไท่จู่ล้วนประดับด้วยรอยแผลตื้นหลายจุด
ดูไปแล้วก็เหมือนกับแผลเก่าที่ทิ้งรอยไว้นานแล้ว
หากสร้างร่างเนื้อขึ้นมาใหม่ย่อมไร้ซึ่งบาดแผลเช่นนี้
นี่มัน…
ร่างเนื้อแต่เดิมขององค์ไท่จู่หรือ!
หรือว่าสิ่งที่ถูกผนึกไว้ในสุสาน จะเป็นสิ่งที่เมื่อพันปีก่อน องค์ไท่จู่ได้…
ราวกับมองออกถึงความคิดของนางได้ทะลุปรุโปร่ง องค์ไท่จู่พลันขยิบตาให้
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจความหมายของเขาโดยพลัน จึงกลืนคำพูดในใจลงคอไป
ทว่าในก้นบึ้งจิตใจของนางยังคงมีคลื่นยักษ์โหมแรง ใช้เวลานานกว่าจะสงบใจลงได้
“เรื่องในบ้านพวกนี้ เรากลับไปก่อนค่อยคุยกัน ไท่จู่ช่วยเจ้าจัดการปัญหาเล็กน้อยพวกนี้ก่อนแล้วกัน”
องค์ไท่จู่เอ่ยพลางหัวเราะร่า จากนั้นก็หมุนกายกลับไปมองบรรดาฝูงชนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ สุดท้ายก็ตรึงสายตามองไปที่บุรุษอายุสี่สิบโดยประมาณที่เพิ่งถามฉู่หลิวเยว่ไปเมื่อสักครู่
รอยยิ้มบนดวงหน้าของเขาจางไปมากแล้ว ยามแววตาดุจมีดคมจับจ้องบนตัวฝ่ายตรงข้าม ราวกับเขาใช้มีดแล่เนื้อเถือหนังอีกฝ่ายก็มิปาน!
ครั้นรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดรางๆ บนร่าง ในใจของบุรุษผู้นั้นเองเกิดขลาดกลัวขึ้นมาอยู่หลายส่วน เขาหลบสายตาโดยไม่รู้ตัว
องค์ไท่จู่พลันไต่ถามขึ้นมา
“เมื่อครู่ เป็นเจ้าหรือที่กำลังบีบคั้นเยว่เออร์ของข้า?”
สุ้มเสียงของเขาไม่เหมือนกับยามที่พูดคุยกับฉู่หลิวเยว่อีกต่อไป มันกลับเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง!
ทุกคำที่เอื้อนเอ่ยดุจแฝงไปด้วยแรงกดหลายหมื่นชั่งที่บดขยี้ลงมาอย่างหนักหน่วง!
ในใจของบุรุษผู้นั้นถึงกับสั่นระรัว
ตั้งแต่คนผู้นี้ปรากฏกายขึ้นมา เขาก็รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ไม่ควรไปยุแหย่ด้วย!
“ข้า…ข้าแค่กำลังถามเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น มิมีเจตนาบีบคั้นแม้แต่น้อย ทุกท่านที่อยู่ที่นี่เองล้วนเป็นพยานให้ข้าได้!”
องค์ไท่จู่ได้ยินดังนั้น พลันแสยะมุมปากออก จนคล้ายรอยยิ้ม
“อ้อ…อย่างนั้นรึ?”
แผ่นหลังของบุรุษผู้นั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
ตัวเขาเองก็นับว่าพบเจอเหตุการณ์ใหญ่โตมาไม่น้อย หากมิใช่เพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป เขาจะแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาหรือ…
“ย่อมจริงอยู่แล้ว! ที่ข้าถามออกไปเช่นนั้น แท้จริงแล้วก็เพื่อให้นางได้มีโอกาสชี้แจงให้กระจ่าง! ข้า…”
เปรี้ยง!
เขายังไม่ทันเอ่ยจบประโยค องค์ไท่จู่ก็พลันเงื้อมือขึ้น!
พลังปราณดั้งเดิมสีน้ำเงินแกมดำสายหนึ่งพลันพุ่งทะยานออกไปทันที!
ร่างของบุรุษผู้นั้นถูกซัดปลิวไปในพริบตา จากนั้นก็ร่วงลงสู่พื้นอย่างรุนแรง!
องค์ไท่จู่แค่นหัวเราะเสียงเย็น
“เจ้าถือดีอย่างไร! ถึงเสนอหน้ามาถามเยว่เออร์!”