ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1470 แสแสร้งแกล้งทำ
ตอนที่ 1470 แสแสร้งแกล้งทำ?
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่ยังคงเรียบนิ่งไร้การเปลี่ยนแปลง สองเท้ามิได้หยุดนิ่ง และก้าวเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ
ราวกับไม่ได้ยินเสียงนั้น และไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ใดใดกับนามนี้
ไป๋หลีฉุนหันไปมองเจียงจื่อหยวน
“หยวนหยวน เจ้ากำลังพูดอันใด? ซั่งกวนเยว่ไม่ได้อยู่ที่นี่”
หรือว่านางกำลังฟุ้งซ่าน?
เจียงจื่อหยวนพยายามฝืนลืมตาขึ้นมา และจ้องมองไปยังแผ่นหลังของคนเบื้องหน้า ในใจสับสนราวกับถูกคลื่นซัดถาโถมเข้ามาไม่ยั้ง
เมื่อครู่นี้ ไม่รู้เพราะอันใด จู่ๆ ร่างเงาของสตรีผู้นั้นก็ปรากฏขึ้นในหัวของนาง
ความสงสัยที่เลือนหายไปนาน ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
นางยังคงรู้สึกว่า ฉู่เยว่คนนี้มีบางอย่างผิด
นั่นเป็นสาเหตุที่นางลั่นวาจาออกไปโดยไม่ยั้งคิด เพราะอยากเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
ทว่าฉู่เยว่กลับดูปกติ ไม่ได้มีพิรุธอันใด
“ท่านประมุข ข้า…”
จริงสิ!
ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างแวบขึ้นในหัวของเจียงจื่อหยวน!
ในเมื่อฉู่เยว่กับหรงซิวสนิทสนมกันเพียงนี้ ย่อมไม่มีทางไม่รู้จักซั่งกวนเยว่ แต่ทำไมพอได้ยินชื่อแล้ว เขากลับนิ่งเฉยเช่นนั้น?
นี่แค่พิสูจน์ได้แล้วว่าผิดปกติ!
“ฉู่เยว่…คะ…คือ…”
นางขยำแขนเสื้อของไป๋หลีฉุนแน่น และพยายามส่งเสียงออกมา
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มที่เดินไปได้ไกลแล้ว ก็หันกลับมา
หัวใจของเจียงจื่อหยวนรวมถูกมือที่มองไม่เห็นบีบขย้ำ
สองตาของนางจ้องมองชายหนุ่มผู้นั้นไม่วางตา
ภายในดวงตาใสแลเย็นชาที่กวาดมองร่างของนางไปมานั้น แฝงไปด้วยร่องรอยด้วยความเห็นอกเห็นใจและห่วงใจอยู่เล็กน้อย
“ทว่าอย่างไรเสีย คุณหนูเจียงก็เป็นถึงชนชั้นสูง แม้จะไม่สามารถฝึกปราณได้ตลอดชีวิต แต่ทุกวันคืนหลังจากนี้ของนาง ก็ยังจะมีอาหารให้กิน มีเสื้อผ้าให้ใส่ไม่ขัดสนเฉกเช่นปกติ”
ประโยคนี้ทำลายฟางเส้นสุดท้ายของเจืองจื่อหยวนอย่างสมบูรณ์!
“กรี๊ด…”
นางกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
หลายคนเริ่มขมวดคิ้วไม่พอใจ
นี่นางทำสิ่งใดของนาง?
ชัดเจนว่าเป็นเพราะตัวเองไร้ความสามารถ แล้วยังมาอาละวาดอีก
พวกเขาไม่ได้มาที่นี่ เพื่อดูสิ่งนี้เสียหน่อย!
“ท่านประมุขไป๋หลี ข้าว่าท่านรีบพาคนกลับไปเถอะ ปล่อยไว้เช่นนี้ เกรงว่าเจียงจื่อหยวนคงจะอดทนได้ไม่นานกระมัง?”
ใครบางคนรีบเอ่ยปาก
ภายในพูดนั้น เต็มไปด้วยความไม่พอใจที่ปิดไม่มิด
ไป๋หลีฉุนชักสีหน้าทันควัน แต่ก็ไม่อยากกระโตกกระตากไป
เพราะเขารู้ว่าตอนนี้คนอื่นๆ ที่อยู่ในลานแห่งนี้ ต่างก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน!
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ
พลันมีบางอย่างคว้าแขนเสื้อเข้าไว้
เขาลดสายลงมอง และเจียงจื่อหยวนที่ร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด
นางไม่อยากเป็นคนไร้ค่า!
นางเคยเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในใต้หล้า!
นางเก่งที่สุด นางโดดเด่นที่สุด!
นางควรได้ทุกสิ่งที่ต้องการ มิใช่วิ่งหนีหางจุกตูดเหมือนหมาจรจัดแบบนี้!
นางแพ้ราบคาบ!
เดิมทีนางคิดว่าวันนี้นางจะมีโอกาสลุกขึ้นยืน แต่หลังจากเดินไปมาไม่กี่ก้าว ก็ถูกคนเหล่านั้นเหยียบย่ำเสียจมดิน!
ถ้าเหยียบย่ำกันให้ตายไปข้าง นางคงไม่ทุกข์ทรมานขนาดนี้
แต่สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือ ครั้งหนึ่งนางเคยคิดว่าตัวเองยังมีโอกาสกลับมาผงาดได้อีก แต่สุดท้ายกลับถูกโยนลงนรกอย่างโหดร้ายอีกครา!
ไป๋หลีฉุนเองก็กระวนกระวายไม่ต่าง ดวงตาของเขาแดงก่ำ พลันคิดบัญชีฉู่หลิวเยว่ไว้ในใจ
“เจ้าอย่าเพิ่งพูดสิ่งใด ปู่จะช่วยเจ้าเอง ปู่จะไม่ยอมให้เจ้าถูกเอาเปรียบ!”
ขณะกล่าวเช่นนั้น ไป๋หลีฉุนก็ใช้จังหวะที่ลมปราณของเจียงจื่อหยวนดูฟื้นตัวขึ้นแล้วระดับหนึ่ง ดึงนางขึ้นมา
บนพื้นเต็มไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรังน่าสยดสยอด
ฉู่หลิวเยว่เฝ้าดูจากทางด้านข้างโดยไม่พูดอะไร
และเหมือนรับรู้ถึงสายตาของอีกฝ่าย เจียงจื่อหยวนพลัยเงยหน้าขึ้นมอง
ใบหน้างามเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา แต่ดวงตาสีแดงก่ำนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชาและบ้าคลั่ง
คิ้วของฉู่หลิวเยว่กระตุกเบาๆ ราวกับสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับนาง
“หยวนหยวน…”
ไป๋หลีฉุนกำลังจะพานางออกไป แต่ทันใดนั้น เขาก็ตระหนักว่านางกำลังจ้องมองฉู่เยว่ที่อยู่ตรงข้ามเขา และอดไม่ได้ที่จะทักท้วง
“เจ้ากำลังมองอันใดรึ?”
อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยาปราณมังกร ทำให้เจียงจื่อหยวนรู้สึกว่าตอนนี้ ร่างกายของนางฟื้นตัวขึ้นมากกว่าเดิมแล้ว
นางกระอักเลือดออกมาเต็มปาก แล้วหัวเราะเยอะ
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วฉับไว!
เหล่าผู้คนรอบด้านที่ได้ฟังประโยคนี้ ก็พลันตกอกตกใจ
“ซั่งกวนเยว่? ผู้ใดกัน?”
“นามนี้ช่างคุ้นหูนัก…”
“หือ…มิใช่ว่านี่คือนามของพระชายาผู้นั้นที่หรงซิวเลือกรึ?”
“ใช่นางหรือ!? ไม่หรอกน่า เจียงจื่อหยวนสมองกลับหรือเปล่า ถึงบอกว่าฉู่เยว่คือซั่งกวนเยว่?”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ทุกคนก็เริ่มกระซิบกระซาบกันอย่างอดไม่ได้
ไป๋หลีฉุนบีบมือเจียงจื่อหยวนแน่น ด้วยความตกใจ
“หยวนหยวน พูดอันใดของเจ้า!”
เจียงจื่อหยวนแสยะยิ้ม สีหน้าดูบ้าคลั่ง พร้อมกับแรงแค้นที่อยากจะลากคอทุกคนไปลงนรกด้วย
เดิมที่นางเองก็ไม่แน่ใจ เพียงแต่ในใจยังยึดติดอยู่กับความสงสัยนี้
ตอนแรกนางวางแผนว่า หากกลับที่พระราชวังเมฆาสวรรค์แล้ว นางจะหาโอกาสตรวจสอบที่ตำหนักสักการะเทพ
แต่แล้วกลับเกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นเสียก่อน แม้แต่ใบหน้าของซั่งกวนเยว่ก็ยังไม่เห็น นับประสาอะไรกับเรื่องอื่น
คราแรกนางไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้
แต่พอย้อนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้า นางกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
บวกกับที่รู้ว่าชีพจรดั้งเดิมของนางฉีกขาด และกลายเป็นคนพิกลพิการอีก เช่นนี้นางยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่!
อย่างไรเสีย นางก็ตกอับเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นก็ขอลองเสี่ยงหน่อยประไร!
อย่าคิดว่าจะรอดไปได้เด็ดขาด!
“ฉู่เยว่! เจ้ากล้าพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็นหรือเปล่า!”
ดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองไปยังฉู่หลิวเยว่
“เจ้ากำลังเพ้อ”
ครั้งกล่าวจบ นางก็หันหลังกลับและกำลังจะก้าวขาออกไป
แต่เจียงจื่อหยวนกลับไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
นางเค้นพลังในกายขึ้นมาแล้วตะโกนว่า
“เจ้ากลัว เจ้ากำลังร้อนตัวใช่หรือไม่!”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักฝีเท้า พลางเอ่ยเสียงเรียบตึง
“การคาดเดาโดยไร้หลักฐานเช่นนั้น ข้ามิจำเป็นต้องใส่ใจ”
ทว่าครั้นสิ้นเสียง กลับมีเสียงอันหนักแน่นของใครบางคนดังขึ้น!
“ใครบอกว่าไม่มีหลักฐาน!”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่หยุดเต้นไปเสี้ยววิ พลันเงยหน้าขึ้น!
ก่อนจะเห็นร่างหนึ่งที่พุ่งผ่านอากาศเข้ามาอย่างรวดเร็ว!
นั่นมันเจียงเห่อเทียน!
เหตุใดเขาถึงมาที่นี่!
ทุกคนต่างแปลกใจระคนสงสัยเมื่อเห็นร่างของเจียงเห่อเทียน
ช่างมาได้ถูกเวลาพอดีเหลือเกิน…
แต่เจียงเห่อเทียนเมินต่อสายตาเหล่านั้น
เขาเคลื่อนตัวมาถึงจัตุรัสอย่างรวดเร็ว พลางไพล่มือข้างหนึ่งไว้ข้างหลังขณะมองดูฉู่หลิวเยว่ แล้วหัวเราะเยาะอย่างถือดี
“ซั่งกวนเยว่ ถึงตอนนี้แล้ว เจ้ายังคิดจะแสแสร้งอีกหรือ!”