ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1392 เป็นไข้
ตอนที่ 1392 เป็นไข้
ทว่านางยังคงอดทนต่อไปได้
ตอนนี้ทุกคนล้วนกำลังรอชมสภาพน่าหัวร่อของนางกันอย่างใจจดใจจ่อ
พวกคนที่เมื่อก่อนหาวิธีเข้ามาประจบประแจงนาง มาบัดนี้กลับถอยห่างหนีแทบไม่ทันประหนึ่งว่าบนตัวนางมีของน่ากลัวติดอยู่ก็มิปาน
เจียงจื่อหยวนโมโหเสียจนลมแทบจับ ทว่าก็ทำได้แค่กล้ำกลืนความอับอายลงไป
นางรู้ดีว่าตอนนี้สถานการณ์ของนางมาถึงจุดที่ตกต่ำที่สุดแล้ว
หากไม่คิดหาทางให้ผู้อาวุโสตันชิงถอนคำพูดเสีย เช่นนั้นหลังจากกลับไปแล้ว สิ่งที่รอนางอยู่ก็คือการถูกขับออกจากสำนัก!
“จื่อหยวน เจ้าเป็นอันใดไป? เหตุใดสีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีเอาเสียเลย?”
เหลี่ยงเซียวเซียวเดินมาเข้าหา ทำท่าทางราวกับว่าเป็นกังวลใจเสียเต็มประดา
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น นางก็กวาดสายตาขึ้นๆ ลงๆ มองดูเจียงจื่อหยวนรอบหนึ่งประหนึ่งว่ากำลัง ‘เชยชม’ สภาพยับเยินอันดูไม่จืดของนาง
เจียงจื่อหยวนแค่นหัวเราะอยู่ในใจ
หากว่าเหลี่ยงเซียวเซียวมีใจเป็นกังวลนางแม้จะสักเล็กน้อยจริง ก็คงเดินมาหาตั้งนานแล้ว ไฉนเลยต้องรอจนถึงตอนนี้ด้วย?
คงมิแคล้วรอหัวเราะเยาะนางเหมือนกันนั่นแหละ!
ทันใดนั้นเอง เจียงจื่อหยวนก็นึกถึงเรื่องบางส่วนที่เกิดเมื่อก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นางคลี่รอยยิ้มออกมา
“วางใจเถอะ ข้ามิเป็นไร ว่าแต่เจ้าเถอะ…เซียวเซียว คราวนี้ตระกูลชั้นสูงและเผ่าเซียนต่างๆ มาที่นี่กันตั้งมากมายเพียงนี้ ตระกูลเหลี่ยงของพวกเจ้าเองก็คงจะมาร่วมด้วยกระมัง?”
เหลี่ยงเซียวเซียวถึงกับตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ นางจะพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
“ไม่ได้มาเสียหน่อย?”
ก่อนหน้านี้นางเคยพูดเรื่องนี้กับคนในบ้านไปแล้วรอบหนึ่ง ท่านพ่อบอกว่าระยะนี้ในตระกูลมีธุระบางอย่างที่จำเป็นต้องสะสาง ไม่อาจปลีกตัวมาได้ จึงตัดสินใจไม่มาเข้าร่วมด้วย
“เหตุใด ก่อนหน้านี้…เจ้าเห็นคนจากตระกูลข้าหรือ?”
เหลี่ยงเซียวเซียวตื่นตัวขึ้นมาโดยพลัน
เจียงจื่อหยวนเปล่งเสียงหัวเราะออกมา
“เปล่า ข้าแค่ถามเฉยๆ เท่านั้น อย่างใดซะที่นี่ก็ค่อนข้างจะอันตราย ครั้นมาแล้ว คิดจะออก…ก็มิได้ง่ายดายปานนั้นหนา”
คิ้วของเหลี่ยงเซียวเซียวขมวดเข้าหากันโดยทันที
ไม่รู้ด้วยเหตุใด รอยยิ้มของเจียงจื่อหยวนทำให้นางรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
นางหมดอารมณ์จะเยาะเย้ยต่อ หลังจากตอบรับไปส่งๆ ไม่กี่ประโยคก็หมุนกายจากไปทันที
ยามมองตามแผ่นหลังที่ห่างไปของนาง รอยยิ้มบนดวงหน้าเจียงจื่อหยวนก็ค่อยๆ เย็นเยียบลง
เฮอะ
ดูเหมือนคนตระกูลเหลี่ยงจะยังไม่รู้ข่าว
หรืออย่างน้อยที่สุด ตัวเหลี่ยงเซียวเซียวเองนั่นแหละที่ยังไม่รู้
เหลี่ยงเส่าคังที่ครองตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลเหลี่ยง บัดนี้กลับตายไปอย่างคลุมเครือ ตระกูลเหลี่ยงย่อมไม่มีทางปล่อยวางเรื่องนี้แน่!
พอมาคิดมาถึงตรงนี้ นางก็รีบสับเท้าก้าวไปข้างหน้า
“ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเจ้าคะ ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดกับท่าน”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเดิมทีกำลังพูดคุยอยู่กับพวกผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็หันศีรษะกลับมามองนางรอบหนึ่ง
“อันใดรึ?”
เจียงจื่อหยวนสองมือพันกันยุ่งเหยิง ทำท่าทีราวกับว่ากระวนกระวายใจอยู่ไม่น้อย
“คือ…ขอเวลาท่านแค่สักประเดี๋ยวเดียวเจ้าค่ะ”
คนรอบข้างจำนวนไม่น้อยต่างมองมาด้วยสายตาที่เปี่ยมความฉงน
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงครุ่นคิดเพียงครู่ แต่ยังก็เดินเข้าไปหานาง
เจียงจื่อหยวนสาวเท้าเดินเลี่ยงไปทางด้านข้าง
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงจัดการกางค่ายกลอย่างง่ายดาย พาให้บทสนทนาของทั้งคู่ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
“ตอนนี้เจ้าคงพูดออกมาได้แล้วกระมัง?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงรู้ว่าการที่เจียงจื่อหยวนมาหาตัวเองกะทันหันย่อมต้องมีเรื่องเร่งด่วนสำคัญ ดังนั้นจึงยังคงอดทนอดกลั้นเอาไว้อยู่บ้าง
อีกทั้งเขาอยากจะดูเสียหน่อยว่าเจียงจื่อหยวนผู้นี้ยังคิดจะทำการอันใดออกมาอีก
เจียงจื่อหยวนเม้มริมฝีปาก แต่ก็ไม่ได้คิดอ้อมค้อม จึงเอ่ยปากเข้าประเด็นทันทีว่า
“ผู้อาวุโส ข้าอยากจะขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง คือ…ท่านสามารถช่วยโน้มน้าวให้อาจารย์ข้าเขาถอนคำพูดได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเกือบคิดไปแล้วว่าตัวเองฟังผิด
“เจ้าว่าอันใดนะ?”
เจียงจื่อหยวนคงมิได้หลงผิดอยู่กระมัง!
นี่นางกำลังบอกให้เขาไปขอร้องอ้อนวอนให้?
สองมือของเจียงจื่อหยวนพนมไว้กลางอก สีหน้าจริงใจยิ่ง ภายในนัยน์ตาทั้งสองเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
“ข้าขอร้องท่านเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านอาจารย์ไม่ยอมฟังคำอธิบายของข้าเลย ทั้งยังไม่คิดจะเอ่ยปากพูดกับข้าด้วย มีแค่ท่านเท่านั้นที่ช่วยได้!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงรู้สึกอยากแค่นหัวเราะอยู่ไม่น้อยทีเดียว
เขาส่ายศีรษะไปมา
“ตันชิงเป็นอาจารย์ของเจ้า หลายปีมานี้รักและทะนุถนอมเจ้ายิ่งกว่าอันใดมาโดยตลอด มาครานี้ที่เขาทำไปแบบนั้น เห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าเริ่มทำผิดก่อน แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นคนหัวแข็ง เรื่องที่ตัดสินใจลงไปแล้วไซร้ย่อมมิอาจเปลี่ยนใจได้ ต่อให้เป็นข้าที่ไปโน้มน้าวเขาก็ไม่มีประโยชน์”
แม้เขาจะไม่แน่ใจว่าเจียงจื่อหยวนทำอะไรลงไปกันแน่ ทว่าดูจากท่าทีของตันชิงและพวกปั๋วเหยี่ยนแล้ว เขามั่นใจแปดในสิบส่วนเลยว่าต้องเป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้
เดิมทีเขาเองก็ไม่ชอบใจเจียงจื่อหยวนอยู่แล้ว เช่นนั้นทำไมต้องไปช่วยพูดแทนนางด้วยเล่า?
“เจียงจื่อหยวน เจ้าต้องเข้าใจว่าความผิดบางอย่าง เมื่อก่อไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็มิอาจให้โอกาสใหม่ได้”
พูดจบ ผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็หมุนกายเตรียมจากไป
อยู่พูดคุยกับเจียงจื่อหยวนต่อไปก็คงไม่มีความหมายอันใด
เพราะจนกระทั่งตอนนี้ นางก็ยังไม่คิดสำนึก ทั้งพยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองอยู่ในสำนักต่อไปได้
คนเช่นนี้น่ะ…ไว้ใจไม่ได้
“ผู้อาวุโส”
เมื่อเห็นผู้อาวุโสฮวาเฟิงมีท่าทีหนักแน่น เจียงจื่อหยวนจึงตัดสินใจใช้ตัวเลือกสุดท้าย
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหันศีรษะกลับมา สายตาที่มองเจียงจื่อหยวนพลันแฝงแววตกตะลึง
หากมองจากมุมของคนภายนอก สีหน้าของนางยังคงอ่อนระโหยโรยแรง น่าเวทนาไม่เปลี่ยน
ทว่ามีเพียงผู้ที่ยืนอยู่ชิดใกล้อย่างผู้อาวุโสฮวาเฟิงเท่านั้นที่สามารถมองเห็นแววแข็งกร้าวและอำมหิตที่สะท้อนออกมาจากดวงตาคู่นั้นได้
“เมื่อครู่ข้าคุยกับเหลี่ยงเซียวเซียวมาสองสามประโยค นางว่าครานี้ตระกูลเหลียงมิได้ส่งคนมาร่วมด้วย”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเข้าใจถึงอะไรบางอย่างโดยพลัน!
“เจ้า…”
“หากพวกเขารู้ว่าเหลี่ยงเส่าคังตายอนาถอยู่ที่นี่ อีกทั้ง…ยังเป็นการตายที่พวกเราสำนักหลิงเซียวปล่อยเลยตามเลยอีก เช่นนั้นพวกเขา…จะมีทีท่าเช่นใดกันนะ?”
เจียงจื่อหยวนหัวเราะร่า
“ไม่ว่าจะพูดอย่างใดก็ตาม ตระกูลเหลี่ยงก็ยังนับว่าเป็นตระกูลชั้นสูง หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ ทางสำนักเองก็คงไม่อยากแข็งข้อกับพวกเขาหรอกกระมัง?”
ในที่สุดผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็เข้าใจความนัยที่เจียงจื่อหยวนต้องการจะสื่อ
เขาแค่นหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“เจียงจื่อหยวน เจ้ารู้รึเปล่าว่ากำลังทำอันใดอยู่?”
ข่มขู่ผู้อาวุโส ถือเป็นโทษร้ายแรง!
ทว่าเจียงจื่อหยวนกลับดูมิหวาดกลัวแม้แต่น้อย นางเผยรอยยิ้มละมุนละไม
“ท่านคิดว่า หากข้าถูกขับออกจากสำนักไปแล้ว ข้ายังต้องสนใจเรื่องพวกนี้อยู่หรือ?”
กรณีร้ายแรงที่สุดก็คือสู้จนตายตกไปด้วยกัน!
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงจ้องนางเขม็งอยู่พักใหญ่
“ผู้อาวุโสตันชิงมีตาหามีแววไม่ ถึงได้ไปรับเจ้ามาเป็นลูกศิษย์ ไหนจะประคบประหงมเจ้ามาหลายปีขนาดนี้อีก”
รอยยิ้มของเจียงจื่อหยวนไม่เปลี่ยนเลยแม้สักเสี้ยว
“แล้วท่านช่วยข้าได้หรือไม่เล่า?”
…
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจมดิ่งสู่ห้วงฝันอันยาวนานฉากหนึ่ง
ภาพฉากจำนวนนับไม่ถ้วนต่างเคลื่อนผ่านกันอยู่ภายในทะเลความคิด
ทั้งมองเห็น ทั้งมองไม่เห็น
ทั้งได้ยิน ทั้งไม่ได้ยิน
ความทรงจำมากมายอลหม่านพรั่งพรูออกมา จนทำให้นางปวดศีรษะจนแทบกบาลแยก
“เจ็บ…”
คิ้วของนางขมวดเข้าหากันน้อยๆ ปากก็พร่ำออกมาเสียงต่ำ
หรงซิวมองมาที่นาง ในใจเองก็รู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างบีบรัดเอาไว้
นางก้มศีรษะลงเล็กน้อย เดิมคิดอยากจูบปลอบนาง พอกำลังจะทำก็กลับหยุดชะงัก
เกือบลืมไปแล้วว่ารอบๆ ยังมีคนพวกนี้อยู่…
หลังลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาก็ใช้หน้าผากของตัวเองแตะบนหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา
รอบข้างพลันเงียบกริบลง
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนมองเขาด้วยสายตาตื่นตระหนก ดวงหน้าเต็มไปด้วยความเหลอหลา
“หรงซิว เจ้า…“
หรงซิวเงยศีรษะขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์
“เหมือนว่าเขาจะเป็นไข้เสียแล้ว”