ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1391 ความขัดแย้ง
ตอนที่ 1391 ความขัดแย้ง
พวกผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนต่างก็ตื่นตะลึงระคนดีใจ พากันรีบร้อนก้าวรุดไปข้างหน้า
พอเดินเข้าไปใกล้ ถึงได้เห็นว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดแนบอกของเขา ก็คือฉู่เยว่เอง
เพียงแต่ว่าฉู่เยว่ในตอนนี้สองนัยน์ตาปิดแน่น ริมฝีปากซีดขาว ดูแล้วสภาพย่ำแย่อย่างมาก
อีกทั้งบนชุดคลุมของหรงซิวเองก็เปรอะด้วยคราบเลือดสีเข้มเป็นรอยใหญ่
กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นชวนให้รู้สึกไม่ดีอยู่พอควร ทำเอาจินตนาการได้เลยว่าก่อนหน้านี้คนทั้งสองไปผ่านสมรภูมิแบบใดมา
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเปี่ยมด้วยความรู้สึกวิตกยิ่ง
“ฉู่เยว่เขา…”
“เขาแค่ไร้เรี่ยวแรง เลยสลบเหมือดไปได้สักพักแล้ว”
หรงซิวเอ่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“กลับไปพักฟื้นสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงจึงพอวางใจลงได้ในที่สุด
“เช่นนั้นก็ดี! เช่นนั้นก็ดี!”
มีเพียงดวงตาสองคู่ที่ยังคงจับจ้องมองไปที่ฉู่หลิวเยว่อย่างไม่วางตา เห็นได้ชัดเลยว่าเขายังคงหวาดผวาอยู่ไม่น้อยด้วยกลัวว่านางจะเป็นอะไรเข้าจริงๆ
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเบนสายตากลับมา
“หรงซิว นี่เจ้า…ไปช่วยฉู่เยว่กลับมาโดยเฉพาะเลยหรือ?”
สิ้นสุดคำพูดนี้ ทุกคนล้วนตกอยู่ภายใต้ความเงียบทันที
หรงซิวผงกศีรษะรับเล็กน้อย
คนจำนวนไม่น้อยต่างสบตากันไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก ทุกคนล้วนรู้สึกตกตะลึงกันอย่างทั่วถ้วน
ในสำนักหลิงเซียว มีใครไม่รู้บ้างว่าตลอดมานี้หรงซิวประคบประหงมฉู่เยว่มากขนาดไหน ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองนั้นนับว่าลึกซึ้งยิ่ง
พอมาวันนี้ พวกเขาได้ประสบพบเจอกับของจริงเข้าในที่สุด!
หรงซิวเสี่ยงชีวิตตัวเองเข้าช่วยฉู่เยว่ไว้จริงๆ…ดูคราบเลือดที่ท่วมตัวเขาแล้วก็จินตนาการได้ไม่ยากเลยว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ทว่าเขาก็ยังพาคนกลับมาในสภาพปลอดภัยได้อยู่ดี!
นี่…
เกรงว่าจะมิใช่การให้ความสำคัญธรรมดาๆ แล้วกระมัง?
หรงซิวนิสัยเย็นชาไร้เยื่อใย กับคนหรือเรื่องที่ไม่มีความเกี่ยวพันด้วยก็ไม่เคยคิดจะปรายตามองเลยด้วยซ้ำ
มาบัดนี้กลับยืนหยัดช่วยฉู่เยว่เอาไว้ได้เช่นนี้…
ช่างชวนให้ตื่นตะลึงโดยแท้
“เช่นนั้น…เจ้าคงได้เจอคนพวกนั้นที่พาตัวฉู่เยว่ไปกับ…เจ้านายของพวกมันแล้วสินะ?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเอ่ยถามอย่างเร่งรีบ
ลึกลงไปในนัยน์ตาของหรงซิวปรากฏประกายแสงหม่นวาบผ่าน
“ตอนข้าเร่งรุดไปถึง ก็พบเพียงลูกสมุนสองคนเท่านั้น ไม่เจอตัวนายท่านของพวกมันแต่อย่างใด”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ทว่าในความผิดหวังนั้นก็ระคนความปลื้มปิติ
“เช่นนั้นก็มิเป็นไร…อย่างไรเสีย กลับมาได้อย่างปลอดภัยก็ดีมากแล้ว”
เป็นเช่นนี้แล้ว การที่พวกเขาจะสืบสาวหาตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังให้ได้ว่าเป็นใคร เกรงว่าจะยากขึ้นไม่น้อยแล้ว
ทว่าการที่สองคนนี้กลับมาได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกยินดี
เพียงแต่ไม่รู้ว่า…ฉู่เยว่ได้เห็นหน้าฝ่ายตรงข้ามหรือไม่?
แต่เรื่องพวกนี้ก็ทำได้แค่รอถามคราวหลังอีกรอบเท่านั้น
“ในเมื่อคนมาครบแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็รั้งรออยู่ที่นี่กันอีกเลย กลับไปก่อนกันเถอะ?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนว่า
ทว่าผู้อาวุโสฮวาเฟิงราวกับนึกอะไรออกขึ้นมาได้ในบัดดล “เดี๋ยวก่อน!”
คนที่อยู่รอบๆ พากันหันมามองเขา
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงมีทีท่าสองจิตสองใจอยู่ไม่น้อย
“ถ้าพวกเราออกไปกันทั้งแบบนี้ แล้ว…เราควรจะจัดการยังไงกับที่ที่ฉู่เยว่บุกทะลวงระดับไปเมื่อคราวก่อนเล่า? หากข้าเดาไม่ผิดละก็ คนพวกนั้นน่าจะยังรอกันอยู่ที่นั่น ข้าไม่กังวลเรื่องอื่นหรอก เพียงแต่ไม่รู้ว่าฉู่เยว่ได้ทิ้งของอะไรไว้ที่นั่นรึเปล่า ยังไงซะเขาก็รออยู่ที่นั่นมาค่อนข้างนานทีเดียว…”
ความจริงแล้ว ระยะเวลาไม่กี่วันไม่อาจนับได้ว่ายาวนานนัก
ทว่าสำหรับคนอื่นที่มิอาจเข้าไปได้นั้นถือเป็นข้อยกเว้นโดยแท้จริง
ทุกครั้งที่คิดถึงฉากที่ฉู่เยว่สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ ทั้งที่ผู้แข็งแกร่งระดับแนวหน้าคนอื่นๆ ร่วมมือกันยังไม่สามารถเปิดมันออกได้ ในใจของผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็มักจะบังเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดกอปรกับความไม่สมเหตุสมผลขึ้นมา
มุมปากหรงซิวหยักยกขึ้นน้อยๆ
“ผู้อาวุโสฮวาเฟิงมิต้องเป็นกังวล ดูจากนิสัยของนางแล้ว อันตรายที่แฝงเร้นเช่นนี้จะหลงเหลืออยู่ได้อย่างไรกัน?”
ยิ่งไปกว่านั้น ที่นั่นเองก็…
เขาชะงักกึก
“พวกเรารีบกลับไปกันดีกว่า ที่นี่…ไม่มีเรื่องสนุกอันใดให้ได้ชมแล้ว”
น้ำเสียงของหรงซิวมักจะราบเรียบเฉยชา ทว่ากลับแฝงไปด้วยไอรัศมีสูงส่งจนคนไม่กล้าคิดล่วงเกิน
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงจึงได้เบาใจลงไปบ้าง
“ในเมื่อเจ้าพูดถึงขนาดนี้แล้ว เช่นนั้น…พวกเราก็ไปกันเถอะ?”
หรงซิวโอบคนในอ้อมแขนแน่นขึ้นอยู่พอควรพลางหลุบตาลงมองนางรอบหนึ่ง
“อืม”
ต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุดแล้ว
…
คนจำนวนหลายร้อยจากสำนักหลิงเซียวจึงพร้อมใจกันย่ำเท้าเดินทางกลับไปตามทางสัญจรในสภาพนี้
โชคยังดีที่หนทางกลับราบรื่นไร้อุปสรรค พวกเขาจึงไม่พบเจอปัญหาหรืออันตรายใดๆ อีก
ขอเพียงเดินเลาะตามทางที่กำหนดไว้ พอกลับไปถึงค่ายกลเคลื่อนย้าย พวกเขาก็สามารถออกไปได้แล้ว
บนถนนเต็มไปด้วยหิมะที่ทับถมเป็นชั้นหนาเหมือนอย่างเคย
คนส่วนใหญ่ที่ลงเดินเท้าล้วนหมดแรงกันไปบ้างแล้ว
ดังนั้นความเร็วของทุกคนจึงนับว่าไม่เร็วนัก
บางคนก็หันไปมองทางหรงซิวอยู่เนืองๆ
เทียบกับสภาพเหนื่อยยากของคนอื่นแล้ว หรงซิวกลับดูจะผ่อนคลายอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
แม้บนร่างของเขาจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนด้วยคราบเลือด ทว่าสำหรับเขาแล้วนั้น เห็นได้ชัดว่าลักษณะทางเดินเช่นนี้มิเป็นปัญหาแม้แต่นิดเดียว
กระทั่งว่าในอ้อมแขนของเขายังคงอุ้มคนคนหนึ่งอยู่ตลอดทาง
คนจำนวนมากต่างพากันลอบถอนใจ ผู้แข็งแกร่งคนละชั้นกับคนธรรมดาเหมือนอย่างที่คิดไว้จริงๆ
หลังจากเดินมาได้สักระยะ ในที่สุดผู้อาวุโสวั่นเจิงก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหว
“หรงซิว เจ้าเหนื่อยรึเปล่า? ข้าเห็นเจ้าเองก็บาดเจ็บ อุ้มฉู่เยว่มาตลอดทางแบบนี้ค่อนข้างจะลำบากไม่ใช่น้อย ไม่อย่างนั้น…ให้ข้าช่วยแบกเขาสักพัก?”
มุมปากของหรงซิวหยักเป็นโค้งเล็กน้อย ทว่ามิได้มีทีท่าจะปล่อยมือแต่อย่างใด
“ขอบคุณผู้อาวุโสมากขอรับ แต่ว่าข้าทำเองได้”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงรู้สึกประหลาดขึ้นมาอยู่บ้างอย่างหาสาเหตุไม่ได้ แต่ก็พูดไม่ถูกว่าจุดไหนกันที่ว่าแปลก จึงทำได้แค่พยักหน้า
“ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็เรียกได้ตลอดนะ”
หรงซิวผงกศีรษะรับ
แม้ฉากพูดคุยเล็กๆ ของพวกเขาที่เกิดขึ้นด้านนี้จะไปไวมาไวนัก ทว่าก็ยังคงดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมากได้อยู่ดี
จนพวกเขาต้องหันไปกระซิบกระซาบกับศิษย์บางส่วนที่อยู่ด้านหลังอย่างห้ามใจไม่ไหว
“ก่อนหน้านี้ที่มีข่าวลือแว่วมาตลอดว่าฉู่เยว่กับศิษย์พี่หรงซิวมีความสัมพันธ์ต่อกันไม่เลวเลยทีเดียว ตัวข้าเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าใด กระทั่งมาวันนี้ถึงนับว่าได้ประสบพบเจอแล้ว…ตรงไหนกันที่มัน ‘ไม่เลว’? ดูยังไงก็ทำตัวเหมือนเลี้ยงน้องในไส้ตัวเองอยู่ชัดๆ!”
“จิ๊ บางคนที่นับว่าเป็นพี่น้องคลานตามกันมาแท้ๆ ก็ไม่ได้มีทีท่าแบบนี้กันนี่? แต่ไหนแต่ไรมาศิษย์พี่หรงซิวก็รักสะอาดมาโดยตลอด อีกทั้งยังไม่ชอบสุงสิงกับคนไม่ใช่รึไง? พอมาดูแบบนี้แล้ว…นี่มันเลือกปฏิบัติชัดๆ!”
“ไม่รู้จริงๆ ว่าฉู่เยว่ผู้นั้นถูกโชคหล่นทับเอาอีท่าไหน ถึงได้กลายเป็นคนโปรดของศิษย์พี่หรงซิวแบบนี้ได้…”
“ข้าได้ยินมาว่าจริงๆ แล้วเดิมทีสองคนนี้รู้จักกันมาก่อน เพราะงั้นถึงได้สนิทกันขนาดนี้ไงเล่า! พวกเจ้าคิดดูนะ ถ้าไม่ใช่แบบนี้แล้ว คราวก่อนฉู่เยว่จะเสี่ยงชีวิตตัวเองไปรับการโจมตีแทนศิษย์พี่หรงซิวได้รึ? ศิษย์พี่หรงซิวเองก็ไม่น่าจะเอาใจใส่คนผู้หนึ่งง่ายๆ แบบนั้นกระมัง? ภูมิหลังของฉู่เยว่ผู้นั้นเองก็ค่อนข้างลึกลับนัก ไม่เคยได้ยินเรื่องพื้นเพของเขามาก่อนเลย บางที…”
ทุกคนต่างแสดงความเห็นกันออกรสออกชาติ คำทายมากมายหลายชนิดว่อนกระจายทั่ว
เห็นได้ชัดเลยว่าเรื่องในวันนี้ส่งผลใหญ่หลวงต่อพวกเขาโดยแท้
“ข้าก็ว่างั้น! ตัวศิษย์พี่หรงซิวเองอยู่ในสำนักมาก็หลายปีแล้วนี่นะ? แต่ว่าข้ากลับไม่เคยได้ยินว่าเขาดูแลใครแบบนี้มาก่อนเลย! กระทั่งเจียงจื่อหยวนในตอนนั้น เขาเองก็ไม่เคยพูดกับนางเลยแม้แต่ประโยคเดียวต่อหน้าธารกำนัลมาก่อน พอหันมาดูฉู่เยว่ผู้นี้แล้ว…การปฏิบัติต่อกันเช่นนี้ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ!”
“นั่นซี! ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังคิดอยู่เลยว่าเขาจะดูแลแบบนั้นกับใครกันหนอ ใครจะไปคิดว่า…เฮ้อ เมื่อก่อนเจียงจื่อหยวนมักพูดอยู่ตลอดว่านางกับศิษย์พี่หรงซิวสนิทสนมกันมาตั้งแต่ยังน้อย กระทั่งพูดโอ้อวดเสียใหญ่โตว่าตัวเองเป็นคนแรกที่ได้รับเลือกให้เป็นชายาของพระราชวังเมฆาสวรรค์ด้วย ทว่ามาวันนี้ ศิษย์พี่หรงซิวไม่แม้แต่จะชายตามองนางด้วยซ้ำ!”
“ถ้าหากพวกเขามีใจต่อกันจริง ดูสภาพแผลของเจียงจื่อหยวนยับเยินถึงเพียงนั้น ศิษย์พี่หรงซิวจะอยู่เฉยเช่นนี้ได้หรือ? ข้าว่านะ ที่ผ่านมาก็คงเป็นเจียงจื่อหยวนคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ฝ่ายเดียวนั่นล่ะ!”
“จริงสิ เจียงจื่อหยวนตัดขาดสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์กับผู้อาวุโสตันชิงไปแล้วด้วย ข้าว่ากลับไปคราวนี้…เกรงว่านางจะอยู่ในสำนักต่อไปไม่รอดแล้วกระมัง!”
คนกลุ่มนั้นพากันหัวเราะออกมาดังลั่น บางคนถึงกับหันศีรษะไปมองอย่างไม่คิดปิดบังแม้แต่น้อยด้วยอยากจะดูชมสีหน้าของเจียงจื่อหยวน
ในอกของเจียงจื่อหยวนราวกับมีหินหนืดเหลวร้อนระอุไหลพล่านประหนึ่งว่าพร้อมจะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อก็มิปาน!