ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1390 กลับมา
ตอนที่ 1390 กลับมา
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
“ใครกันรึ?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนส่ายศีรษะ
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่…ตอนที่พวกข้ากำลังประสบภัย เหมือนว่าจะมีคนคอยออกมือช่วยอยู่ในที่ลับจริงๆ พวกข้าถึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด มิเช่นนั้น…”
มิเช่นนั้น ดูจากสภาพของพวกเขาในตอนนั้นแล้ว คงไม่ได้มีคนตายแค่เจ็ดคนเป็นแน่
ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ อีกฝ่ายไม่ได้เผยตัวตนออกมาเลยแม้แต่น้อย เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเดาจากตรงไหน
“แม้แต่เจ้าเองก็ไม่รู้? เช่นนั้นก็ประหลาดแล้ว…คนแบบใดกันที่ช่วยพวกเราสำนักหลิงเซียวโดยไม่ประสงค์ออกนาม?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงขมวดคิ้ว ทว่าเพียงชั่วครู่ก็ผ่อนท่าทีลงพลางเอ่ยแกมหัวเราะ
“ช่างเถอะ! มาคิดเรื่องพวกนั้นเอาตอนนี้คิดยังไงก็ไม่ออกหรอก พวกเรากลับไปก่อนค่อยว่ากัน! มีคนคอยช่วยถือเป็นเรื่องดี ภายหลังหากรู้ว่าเป็นผู้ใด พวกเราค่อยขอบคุณทีเดียวก็ยังไม่สาย!”
“อืม”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนผงกศีรษะรับ จากนั้นก็ทำท่าราวกับนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาว่า
“จริงสิ แล้วพวกเจ้ามาได้อย่างไรกัน?”
พวกผู้อาวุโสฮวาเฟิงต่างสบตากันไปมา
ว่าแล้วเชียว…
เพราะคนที่ลงมือทำเรื่องนี้มีเจตนาปิดบังพวกเขา พวกปั๋วเหยี่ยนจึงไม่รู้ความจริงของเรื่องแม้แต่นิดเดียว
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหยิบเอาตราหยกสีเขียวอันหนึ่งยื่นส่งไปให้
“นี่มันของที่ข้าทำหายไปเมื่อก่อนหน้านี่?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนรับมันมา แล้วกล่าวด้วยความแปลกใจอยู่ไม่น้อย
“พวกข้าได้รับข่าวที่มันส่งมาจากด้านบนก็เลยรีบเร่งเดินทางกันมา ทว่าพอมาแล้วถึงเพิ่งได้รู้ว่าไม่ใช่ฝีมือเจ้า”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเอามือหนึ่งไพล่หลังพลางครุ่นคิดพักหนึ่ง
“จนกระทั่งตอนนี้ พวกข้าก็ยังไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใครกันแน่…วั่นเจิง!”
ในตอนที่เขากำลังพูดนั่นเอง ก็มองเห็นผู้อาวุโสวั่นเจิงกำลังเดินขึ้นมาจากข้างล่างพอดิบพอดี
ผู้อาวโสวั่นเจิงเงยหน้าขึ้นมองมาตามเสียง
ด้วยเดินออกมาจากคุกใต้ดินที่มืดครึ้ม จึงรู้สึกไม่คุ้นชินกับแสงสว่างจากภายนอกอยู่พอควร เป็นเหตุให้เขาต้องหรี่ตาลง
พอเห็นสีหน้าของผู้อาวุโสฮวาเฟิงที่ดูจะประหม่าอยู่ไม่น้อย เขาก็บังเกิดความฉงนขึ้นมาหลายส่วน
“มีอันใดรึ?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิดเต็มเปี่ยม
“ขะ…ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย ที่ไม่ได้ช่วยเจ้าดูแลฉู่เยว่ให้ดี”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงพลันตาสว่างขึ้นมาในทันใด
“เจ้าว่าอันใดนะ!?”
“เขา…ตอนนั้นเขาเดินทางมาพร้อมกับพวกข้า…แต่จู่ๆ ก็มีคนชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว บอกว่านายท่านของพวกมันต้องการพบเขา จากนั้นก็พาตัวเขาไป ข้า…อีกฝ่ายมีผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ พวกข้าไร้กำลังต่อกร ทำได้แค่มองดูฉู่เยว่ถูกพาตัวไปต่อหน้าต่อตาเท่านั้น…”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด เขารีบสาวเท้าก้าวเข้ามาใกล้
“ฉู่เยว่เองก็มาที่นี่พร้อมกับพวกเจ้าอย่างนั้นรึ!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเม้มริมฝีปากแน่น ลำคอแห้งผาก
แม้จะเป็นฉู่เยว่ที่ร้องขอ ทว่าสุดท้ายแล้วก็ยังเป็นความรับผิดชอบของเขาด้วย
หากว่าตอนนั้นเขายืนกรานปฏิเสธไป แล้วเขาจะ…
สีหน้าของผู้อาวุโสวั่นเจิงทวีความซีดเผือดเข้าไปอีก
คนชุดดำ…
นั่นมิใช่คนพวกนั้นที่พวกเขาประมือด้วยเมื่อตอนก่อนหน้าหรอกหรือ?
แต่ว่า…
“เหตุใดพวกเขายืนกรานว่าจะพบฉู่เยว่ให้ได้กัน?”
อีกอย่าง ไหนจะนายท่านของฝั่งตรงข้ามอีก!
ขนาดพวกเขาอยู่ที่นี่กันเยอะถึงเพียงนี้ยังไม่มีใครได้ยินคนพวกนั้นพูดถึงนายท่านขึ้นมาเลยสักคำ
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหลับตาลง
“พวกข้าเอง…ก็ไม่รู้ เรื่องนี้เป็นความผิดข้า ทั้งหมดล้วนเป็นข้ารับผิดเพียงผู้เดียว…”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงยกมือขึ้น เป็นเชิงหยุดไม่ให้เขาพูดต่อ
เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามอยู่นานกว่าจะระงับคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมอยู่ในใจลงไปได้อย่างยากลำบาก
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสวั่นเจิงเย็นเยียบขึ้นมาอยู่หลายส่วน
เขาใช้แรงไปไม่น้อยเลยทีเดียวกว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้โมโหเป็นฟืนเป็นไฟได้
เพราะเขาเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่ความผิดของผู้อาวุโสฮวาเฟิงคนเดียวอย่างแน่นอน
แต่ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรกับฉู่เยว่ขึ้นมาจริงๆ…
เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะยังใจเย็นแบบนี้ได้อยู่อีกหรือไม่!
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงกำหมัดแน่น ในใจเอาแต่ตำหนิตัวเองกอปรกับความรู้สึกผิด
“ร่องรอยของพวกเขาลึกลับนัก พวกข้า…”
ก็ยังไม่รู้จริงๆ
ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์คิดจะพาคนผู้หนึ่งไปแอบซ่อนไว้ในทุ่งหิมะกว้างสุดลูกหูลูกตา นับว่าเป็นเรื่องที่กระทำได้โดยง่ายเลยไม่ใช่หรือไร?
รอบสี่ทิศตกสู่ความเงียบสงัด
ทุกคนล้วนรู้ดีว่าผู้อาวุโสวั่นเจิงให้ความสำคัญกับศิษย์ผู้นี้มากปานใด
ครานี้ดันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จะไม่ให้เขาวิตกกังวลได้อย่างไรกัน?
“ข้าจะออกไปตามหาเอง!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงพูดพลางหมุนกายเตรียมจะจากไป
ทว่าผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนกลับส่ายศีรษะ
“วั่นเจิง เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด แล้วจะไปตามหาจากไหนกันเล่า?”
ฝีเท้าของผู้อาวุโสวั่นเจิงชะงักกึก ฝ่ามือกำเข้าหากันแน่นจนกลายเป็นกำปั้นกลม
หรือจะให้รออยู่แบบนี้น่ะหรือ?
เขาเองก็รอไม่ไหวหรอก!
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ที่นี่อันตรายอย่างมาก พวกเราต้องรีบพาศิษย์ที่เหลือออกไปให้เร็วที่สุด ต่อให้เป็นการจุติของหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ พวกเราเองก็ไม่…”
“ข่าวเรื่องหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์นั่นน่ะเป็นข่าวเท็จ”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเอ่ยแทรกขึ้นด้วยทนไม่ไหว
หลังจากนั้น ท่ามกลางสายตาตะลึงพรึงเพริดของทุกคน ผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้าให้เข้าใจง่ายรอบหนึ่ง
“ฉะนั้น ข่าวนี้ต้องมีคนตั้งใจปล่อยออกมาเพื่อล่อให้ทุกคนมาที่นี่อย่างแน่นอน หากมีหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์มาจุติจริง เผ่าอินทรีสามตาที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่มีทางใช้หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ของปลอมมาตบตาผู้คนแน่ อีกอย่าง…”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยท่าทีไม่มั่นใจอยู่บ้าง
“อีกอย่าง ดูจากปฏิกิริยาของอินทรีสามตาแล้ว หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์นั่นดูท่าจะมีเจ้าของอยู่นานแล้ว… แต่เรื่องราวเบื้องลึกใดๆ ข้าเองก็ไม่ได้ถาม เหมือนว่าฉู่เยว่ที่อยู่ฟากโน้นคงจะได้เข้าใจอันใด มากขึ้นบ้างแล้ว”
หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็ส่งเสียงหัวเราะขมขื่นออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ความจริงแล้วก่อนหน้านี้พวกข้าเองก็รู้สึกได้แล้วว่ามันผิดปกติ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะออกมาเป็นแบบนี้ ดูท่าว่าครานี้ทุกคนจะโดนหลอกกันหมดแล้ว เพียงแค่…ไม่รู้ว่าผู้ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังเป็นใครกันแน่ ถึงยอมตรากตรำลำบากเช่นนี้เพื่อล่อให้พวกตระกูลชั้นสูงจำนวนมากปานนี้มาที่นี่ ที่ทำไปทั้งหมดนี่เพื่ออันใดกัน?”
ไม่เข้าใจ
คิดให้ตายอย่างไรก็ไม่เข้าใจเลยโดยแท้
“ข้าว่า ‘เรื่องวุ่นวาย’ ครานี้ พวกเราหลีกเลี่ยงต่อไปจะเป็นการดีกว่า”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนคิดไปคิดมา ก่อนจะชี้นิ้วไปทางคนกลุ่มหนึ่ง
“คนที่เหลืออยู่คอยตามหาตำแหน่งของฉู่เยว่อยู่ที่นี่ ส่วนคนอื่นให้ตามกลุ่มใหญ่กลับไปก่อน…”
“ผู้อาวโสปั๋วเหยี่ยนเจ้าคะ”
สุ้มเสียงของสตรีวัยแรกรุ่นพลันแว่วดังขึ้นมา
คนจำนวนไม่น้อยต่างพากันหันมองไปตามต้นเสียง
“หลัวซือซือรึ?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนมีสีหน้าเป็นเชิงถามไถ่
“เจ้ามีอันใดอยากจะพูดงั้นหรือ?”
ดูไปแล้ว หลัวซือซือออกจะประหม่าและกระวนกระวายอยู่ไม่น้อย ทว่าหลังจากที่นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ก็ยังเอ่ยปากออกมาได้อย่างหนักแน่น
“ผู้อาวุโสเจ้าคะ ที่นี่กว้างขวางแต่ผู้คนเบาบาง จะหาตัวคนผู้หนึ่งถือเป็นการยากลำบากโดยแท้ มิสู้ให้ข้าอยู่ต่อแล้วร่วมหาตัวเขาพร้อมกับพวกท่านเล่า?”
พูดไปพลาง นางก็เบนสายตามองหลัวเยี่ยนหลินที่อยู่ข้างกาย
หลัวเยี่ยนหลินเลิกคิ้ว ในใจรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ทว่าอย่างไรก็เป็นน้องสาวแท้ๆ จึงทำได้แค่กลั้นใจทำเพื่อตามใจนาง
เขาสาวเท้าก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“ที่ซือซือพูดไปใช่ว่าจะไร้เหตุผล ผู้อาวุโส พวกข้าตรงนี้ล้วนอยากอยู่ต่อเพื่อไปตามหาฉู่เยว่ด้วยกันขอรับ”
ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งมีกำลังมาก ย่อมต้องดีกว่าอยู่แล้ว
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนกลับรู้สึกลังเลขึ้นมาอยู่บ้าง
“แต่ก่อนหน้านี้พวกเจ้าเองก็ได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย…”
ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรจะรีบกลับไปรักษาจึงจะดีที่สุด
ใครจะรู้ได้ว่าหากรั้งอยู่ต่อแล้วจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง?
“เรื่องนี้ท่านโปรดวางใจ พวกข้าล้วนรู้ถึงขีดจำกัดดี”
ท่าทางของพวกหลัวเยี่ยนหลินดูแล้วหนักแน่นอย่างยิ่ง
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนรู้สึกตะขิดตะขวงใจนัก
ใจหนึ่งเขาอยากไปตามหาตัวฉู่เยว่กลับมาให้เร็วที่สุด ทว่าอีกใจหนึ่งเขาก็ไม่อยากให้ศิษย์คนอื่นตกอยู่ในอันตรายไปด้วย
ในตอนนั้นเอง เสวี่ยเสวี่ยที่มีท่าทีหมดอาลัยตายอยากอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดพลันนัยน์ตาสว่างวาบ ก่อนจะพุ่งตัวไปยังเบื้องหน้า!
ทุกคนต่างมองตามมันไปโดยไม่รู้ตัว
บุรุษผู้มีเรือนร่างสูงโปร่ง บนกายสวมชุดคลุมสีดำผู้หนึ่งกำลังเดินออกมาจากทิศทางนั้น
ในอ้อมอกของเขาโอบกอดคนผู้หนึ่งเอาไว้แน่น
“หรงซิว!”