ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1387 น่าเวทนา ตอนที่ 1388 ความเป็นจริง
ตอนที่ 1387 น่าเวทนา / ตอนที่ 1388 ความเป็นจริง
ตอนที่ 1387 น่าเวทนา
มู่ชิงเห่อล้มลงบนพื้น
ในขณะนี้ เขาอยู่ห่างจากเส้นสีทองนั้นเพียงไม่กี่ชุ่น
แต่เขากลับไม่ไหวติงเลยแม้แต่น้อย
ความเจ็บปวดอันสาหัสนั้นทำให้ร่างกายของเขาขดงอโดยไม่รู้ตัว
กลิ่นไหม้เกรียมค่อยๆ ลอยโชยมามาจากร่างของเขา
โดยเฉพาะข้อมือและข้อเท้าของเขาที่ถูกไฟไหม้จนดำเกรียม เลือดเนื้อที่ไหลเวียนก็ค่อยๆ ถูกความร้อนระอุนั้นแผดเผาจนเปลี่ยนรูปบิดเบี้ยวไปทีละน้อย
บนใบหน้าของเขาไม่มีแม้แต่ร่องรอยของโลหิต ขาวซีดเผือดราวกับผี
มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของเขาตลอดเวลา
เห็นได้ชัดว่าร่างกายของเขาถูกเผาจนร้อนผ่าวไปทั้งตัว แต่เขากลับรู้สึกว่าร่างกายของตนนั้นค่อยๆ เย็นลงทีละนิด
ตั้งแต่ผิวหนัง กล้ามเนื้อ เลือด ไปจนถึงกระดูก…
ราวกับว่ากำลังดำดิ่งลงไปในหุบเหวลึก
สติของเขาค่อยๆ เลืองรางไปทุกที
ภายในหัวของเขามีแต่ความว่างเปล่า เหลือเพียงแค่ภาพใบหน้ายิ้มแย้มที่คุ้นเคย
ในตอนนั้นนางยังเด็กอยู่ แต่นางก็เผยให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของนางแล้ว
แม้ว่านางจะเดินบนถนนที่มีผู้คนพลุกพล่านอยู่มากมาย แต่ตัวนางนั้นยังคงเด่นชัดที่สุดเสมอ
ใครก็ตามที่ได้พบเห็น ก็จะรู้ว่าตัวตนของนางนั้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เมื่อเทียบกันแล้ว ตัวเขาที่ดูสกปรก รูปร่างผอมแห้งติดกระดูกเช่นนี้ มองดูแล้วช่างต่ำต้อยราวกับโคลนตมเสียจริง
ในขณะที่นางกำลังเดินมา เขาคิดจะวิ่งหนีตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็นเสียด้วยซ้ำ
แต่ทว่า ความปรารถนาอันต้อยต่ำนี้ กลับปะทุขึ้นมาจากส่วนลึกภายในจิตใจ จนในที่สุดเขาก็เลือกที่จะยืนอยู่ที่เดิม
หลังจากผ่านมานานแสนนาน เขาจึงได้รู้ว่า มีหนึ่งคำที่เหมาะสมที่สุดที่จะนำมาพรรณนาถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครานั้น
ต่างกันราวฟ้ากับดิน
“เช่นนั้นเจ้าก็มากับข้าเถิด!”
นางเอียงศีรษะเล็กน้อย แล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
ในขณะนั้น เขารู้เพียงแค่ว่าประโยคนี้ได้กำหนดชีวิตของเขาไว้แล้ว
มู่ชิงเห่อที่นอนขดตัวอยู่ ศีรษะและใบหน้าซุกอยู่ในข้อพับแขนนั้น
ดูเหมือนว่านี่คงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เขานั้นรู้สึกปลอดภัย
ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อย แต่กลับรู้สึกเหมือนมีเปลวไฟออกจากปากและลิ้นของเขา
“…องค์หญิง”
เขาพึมพำออกมา น้ำเสียงอันแผ่วเบานั้นค่อยๆ มลายหายไปจากปากของเขา
เปลวไฟโดยรอบเผาไหม้อย่างรวดเร็ว แทบจะกลืนกินร่างของเขาจนหมดสิ้น!
แววตาของหรงซิววูบไหว พร้อมประกายแสงหนึ่งที่พาดผ่านดวงตา พลันดึงเส้นสีทองนั้นกลับคืนในทันที
เขาเหลือบมองดูผู้ที่อยู่ในอ้อมแขนของตน
คลื่นความร้อนกำลังคุกรุ่นอยู่รอบตัวนาง แต่นางยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
หรงซิวอุ้มนางไว้แน่น หันหลังกลับแล้วรีบมุ่งหน้าไปยังทางออก!
บันไดนั้นได้ถล่มลงมาจนพังทลายไปเสียแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา
เบื้องหลังของเขา เต็มไปด้วยภาพภูตผีที่ยังคงต่อสู้กันอย่างอลหม่าน และแส้โลหิตนั้นก็ได้ถูกเปลวไฟอันดุเดือดแผดเผาไปเสียแล้ว!
หรงซิวผายมือขึ้นสูง!
ช่องว่างเหนือศีรษะพลันเปิดออก!
แสงสว่างจากท้องฟ้าสาดส่องเข้ามา!
เมื่อเขามองย้อนกลับไป ภาพร่างเหล่านั้นกลับเปล่งประกายแล้วหายวับไปในพริบตา!
“หรงซิว!”
เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและเจ็บใจนี้ดังกึกก้องไปทั่วใต้พิภพ!
…
หลังออกมาจากใต้ดิน หรงซิวก็ยกมือขึ้น
เปลวไฟสีทองและสีดำสองเส้นพุ่งออกมา พลันค่อยๆ ผสานกันและกลับเข้าสู่ร่างของเขา
ถวนจื่อเองก็รีบบินตามออกมา
ในอุโมงค์ใต้ดินที่มืดมิดนั้น เห็นเพียงเปลวไฟอันสว่างไสวที่ลุกไหม้อยู่ภายในนั้น
หรงซิวยกมือขึ้น
ค่ายกลอันซับซ้อนซึ่งหาที่ใดเปรียบได้ พุ่งทะยานออกไปปิดผนึกปากทางเข้าอุโมงค์แห่งนั้นในชั่วพริบตา!
ปรากฏให้เห็นเสาเทพยดาของพระราชวังเมฆาสวรรค์บนนั้นอยู่รำไร
ไม่นานนัก เสียงพิษร้ายอันเยือกเย็นนั้น ค่อยๆ จางหายไป
หรงซิวหลับตาลงช้าๆ
อีกฝ่ายไม่กล้าออกมา อย่างมากก็ทำได้แค่เอะอะโวยวายเช่นนี้เท่านั้น
“หรงซิว…”
คนที่อยู่ในอ้อมแขนเรียกชื่อของเขาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
หรงซิวลดสายตาลงมามองในทันที แต่กลับพบว่านางนั้นยังไม่ตื่น มีเพียงแค่เสียงละเมอเรียกหาเขา
หรงซิวเขี่ยผมที่ปรกอยู่ใบหน้านวลออก พลางประคองใบหน้าของนางเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ จุมพิตลงบนหว่างคิ้วของนาง
หวงแหนและห่วงหายิ่งกว่าสิ่งใด
เรียวคิ้วของฉู่หลิวเยว่ที่แต่เดิมขมวดพันกันเล็กน้อย ก็ค่อยๆ คลายออก
หรงซิวอุ้มนางขึ้นในท่าเจ้าสาวด้วยสองมือ แต่ในขณะที่เขากำลังจะเดินทางต่อ จู่ๆ เข้าก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งทรวงอก
โลหิตสีแดงฉานพลั่งไหลออกมาจากมุมปากของหรงซิว
ตอนที่ 1388 ความเป็นจริง
หรงซิวหยุดเดินชั่วขณะ เขาพยายามควบคุมพลังลมปราณที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ภายในกายให้สงบลง
เขาเหลือบสายตามองดูนาง เมื่อเห็นว่านางไม่ได้รับผลกระทบใดใด เขาจึงค่อยผ่อนท่าทางเป็นกังวลของตนลง
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มเดินหน้าต่อ
ฉู่หลิวเยว่นอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา ใบหน้าของนางนิ่งสงบราวกับหลับไหลสู่ห้วงนิทรา
ถวนจื่อกลับมามีขนาดเท่าฝ่ามืออีกครั้ง พลางซุกซบอยู่บนหน้าอกของนางอย่างเงียบๆ
ดูเหมือนว่าความสงบสุขนั้นกำลังจะหวนคืนกลับมาอีกครา
คราบเลือดบนเสื้อผ้าของหรงซิว ถูกเปลวไฟแผดเผาจนแห้งกรัง เหลือเพียงแค่รอยสีแดงเข้มขนาดใหญ่เท่านั้น
เขาก้าวเดินด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา ทุกแห่งหนที่เขาผ่านไปไม่หลงเหลือร่องรอยใดใดไว้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากเดินทางมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ในที่สุดหรงซิวก็มาถึงข้างหุบเขาแห่งหนึ่ง
นี่คือหนึ่งในหุบเขาเก้าวิถี และตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ถือว่าเป็นจุดที่ไกลที่สุดพอดี
หรงซิวบินลงมาพร้อมกับร่างที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา
หิมะจากเดิมที่ตกหนัก กลับค่อยๆ เบาบางลง อีกทั้งอุณหภูมิโดยรอบนั้นสูงกว่าด้านนอกค่อนข้างมาก
ด้านหนึ่งของผาหิน มีหัวมังกรขนาดใหญ่ติดไว้แน่น
ดวงตาทั้งสองดูเหมือนโพรงที่ว่างเปล่า ราวกับสูญเสียจิตวิญญาณไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว
เหลือเพียงร่องรอยบนหน้าผาและพื้นดินที่สดใหม่เท่านั้น แสดงให้เห็นว่าเมื่อไม่นานมานี้ ดูเหมือนว่าเจ้ากระดูกมังกรจะดิ้นรนสู้จนสุดชีวิตเพื่อที่จะได้หนีออกไปจากจากที่นี่
อนิจจา…
หรงซิวถอนสายตากลับมา แล้วค่อยๆ วางฉู่หลิวเยว่ไว้ด้านหลังแผ่นหินขนาดใหญ่อย่างระมัดระวัง และนั่งเคียงข้างนาง
เขาค่อยๆ เอนตัวพิงก้อนหินก้อนนั้น งอขาอันเรียวยาวเข้ามาเพื่อให้ฉู่หลิวเยว่ได้นอนในอ้อมแขนของเขา
หลังจากสังเกตสีหน้าของนางแล้ว หรงซิวก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย แล้วผละมือออกมา เขาหยิบผ้าคลุมสีขาวราวกับหิมะออกมาแล้วค่อยๆ เช็ดเลือดจากมุมปากของตน
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งกระจายไปทั่ว เขาขมวดคิ้วแน่น กังวลว่ากลิ่นเหล่านี้จะกระทบต่อนาง
ในขณะที่เดินทางมานั้น เขารีบมากจนแทบจะไม่มีเวลาเปลี่ยนชุดเสียด้วยซ้ำ
และในตอนนี้…
ถ้าจะให้เขาปล่อยนางเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าลาะก็ เขาทำไม่ได้แน่ๆ
เขาโน้มศีรษะเล็กน้อย พิงไหล่ของนาง ปิดตาคู่สวยโฉบเฉี่ยวที่ชอบทำให้คนมองใจสั่นลง และสูดลมหายใจเบาๆ
หอมหวาน อบอุ่นละมุนละไม
แม้ว่าทั้งตัวนั้นจะเต็มไปด้วยเลือด แต่กลิ่นบนเรือนร่างของนางกลับดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้คนอยู่เสมอ
มือข้างหนึ่งของหรงซิวกอดนางไว้ และมืออีกข้างของเขาก็ค่อยๆ ลูบใบหน้าของนางเบาๆ สัมผัสนั้นอ่อนโยนราวกับสายลมที่พัดผ่านมา
ดูเหมือนเขาจะทำให้ฉู่หลิวเยว่รู้สึกคันเล็กน้อย ไม่รู้ว่านางพึมพำอะไรออกมา แล้วม้วนตัวออกไป
หรงซิวขยับแขนของเขาเล็กน้อย ค่อยๆ หันตัวนางกลับมาอย่างใจเย็น
ในครานี้เขาไม่กล้าขยับอีกต่อไปแล้ว เขานำสองมือของเขาโอบรอบเอวของนางไว้
ไม่ได้พบเจอกันเสียนาน ดูเหมือนว่านางจะผอมลงไปเล็กน้อย รอบเอวของนางไม่เต็มแขนเท่าที่ควร
ใบหน้าที่กำลังหลับใหลของนางช่างมีเสน่ห์จับใจ
แต่หรงซิวรู้ดีว่าภายในกายของนางยามนี้ มิได้เงียบสงบเหมือนดั่งที่เห็นอยู่
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วกายจนทำให้รู้สึกไม่สบายตัว
ผนึกนั่น…คงใกล้จะแตกในเร็วๆ นี้แล้วสินะ?
…
อีกด้านหนึ่ง เมื่อได้รับความช่วยเหลือของเสวี่ยเสวี่ย ผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นๆ ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ฝ่ายตรงข้ามมีทั้งหมดหกคน ครึ่งหนึ่งในนั้นถูกจัดการโดยเสวี่ยเสวี่ยที่พุ่งเข้าสู้เพียงลำพัง
อีกสามคนที่เหลือต่างก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน และพลังในการต่อสู้ของคนเหล่านั้นก็ลดลงไปมาก
ประกอบกับความพยายามยับยั้งจากของผู้อาวุโสคนอื่นๆ ทำให้ผู้อาวุโสฮวาเฟิงได้ใช้เวลานี้อย่างเต็มที่
เขาจ้องมองไปยังบนพื้นของค่ายกลแห่งนั้น แม้อากาศจะหนาวเข้ากระดูก แต่กลับมีเหงื่อไหลออกมากายของเขาไม่หยุด
สองมือของเขายังคงโบกไปมา เพื่อรักษาสภาพค่ายกลที่กำลังแตกร้าว
และในที่สุด เพียงครู่หนึ่ง ค่ายกลทั้งสองก็ผสานเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์!
ที่ครั้งที่เกิดความผันผวนเกิดขึ้นเพียงน้อยนิด หัวใจของผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็มักจะเต้นแรง!
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตา และคอยควบคุมการหมุนของค่ายกลอย่างระมัดระวัง
แกร๊ก…
มีรอยแตกปรากฏขึ้นบนพื้นค่ายกล!
ค่ายกลแตกแล้ว!
เหตุการณ์ความเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดนี้ ทำให้ชายชุดดำหันกลับไปมองในด้วยความตกใจและโมโหเป็นอย่างมาก
ทว่าในขณะที่ทุกคนล้วนคิดว่าพวกเข้าจะพุ่งเข้ามาโจมตี แต่แววตาของคนเหล่านั้นกลับเปลี่ยนไป แถมยังรีบวิ่งหนีไปในอีกทิศทาง!
การเคลื่อนไหวของพวกเขาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเหล่าบรรดาผู้อาวุโสไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ทันเวลา
เสวี่ยเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมอง ไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่ได้วิ่งตามออกไป
ไม่นานภาพของชายชุดดำเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไปจากสายตาของทุกคน
ครืน!
มีเสียงดังมาจากพื้นดิน!
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงแทบไม่สนใจผู้คนเหล่านั้น และรีบมองหาที่มาของต้นเสียงในทันที
ในตอนนี้เขาเห็นแค่พื้นผิวของค่ายกล ที่กำลังสลายหายไปอย่างรวดเร็ว!
และขณะเดียวกัน ก็มีรอยแตกร้าวปรากฏขึ้นบนพื้นดิน
ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แผ่ขยายไปทั่วทั้งสองฝั่ง!
พร้อมกับอุโมงค์ทางเข้าที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน!
กระทั่งพื้นดินหยุดเคลื่อนไหว ผู้อาวุโสฮวาเฟิงมองไปที่ภาพตรงหน้าเขา และอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่ก็ยากที่จะเก็บซ่อนความตกใจ เมื่อได้เห็นภาพฉากนี้ด้วยตาตัวเอง
บันไดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งทอดยาวลงไปข้างล่าง
ครั้นมองเข้าไปข้างใน ทุกอย่างล้วนมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง
มีเพียงกลิ่นคาวเลือดและลมปราณจากภายใน ลอยตลบอบอวลจนพุ่งขึ้นมาแตะจมูก!
ไม่ยากเลยที่จะจินตนาการถึงเหตุการณ์ด้านล่างนั่น
“ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนและคนอื่นๆ…พวกเขาอยู่ข้างใต้นั้นหรือเจ้าคะ?”
ชือรุ่ยเออร์เขยิบเข้ามาใกล้มากขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“พวกเจ้าคอยอยู่ข้างนอกก่อน เดี๋ยวพวกข้าจะเข้าไปสำรวจข้างในกัน”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพยายามระงับอารมณ์ที่อยู่ภายในใจ พลางเอ่ยเสียงเรียบ
ผู้อาวุโสตันชิงก้าวขึ้นไปข้างหน้า
“ข้าไปด้วย”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพยักหน้า
ทุกคนล้วนเขยิบไปยืนด้านข้าง และรอคอยด้วยความอดทน
ผู้อาวุโสตันชิงเดินไปที่เส้นแบ่งเขตบริเวณทางเข้า พลันหันกลับมามองอีกครั้ง
เจียงจื่อหยวนผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังฝูงชน พลันรู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วสันหลัง และเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่รู้ตัว
และสบเข้ากับสายตาของผู้อาวุโสตันชิงอย่างจัง
ผู้อาวุโสตันชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไว้รอพบพวกของปั๋วเหยี่ยนเสียก่อน แล้วค่อย…ถามให้แน่ชัดว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ พวกเขาผ่านเหตุการณ์อันใดมากันบ้าง”
ทันใดนั้น เจียงจื่อหยวนก็ตัวสั่นสะท้านราวกับกำลังหวาดกลัวอันใดบางอย่าง โดยไร้สาเหตุ