ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1385 หรงซิว
ตอนที่ 1385 หรงซิว
เปรี้ยง!
คล้อยหลังไป แส้โลหิตมากมายหลายเส้นตวัดโจมตีเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว!
แส้โลหิตเหล่านั้นเหมือนเขี้ยวเล็บแหลมคมที่ห้อมล้อมตัวหรงซิวจากทุกทิศทางก็มิปาน!
หรงซิวกระชับกอดคนในอ้อมแขนแน่นพลางหันศีรษะขวับ!
ในดวงตาหงส์อันดำมืดแลเย็นเยียบ พลันปรากฏจิตสังหารที่ชวนเย็นวาบไปทั้งสันหลัง!
ท่ามกลางความเลือนราง ราวกับมีเปลวเพลิงสีทองลุกโชนขึ้นมา!
ตูม!
เปลวเพลิงสีทองแผ่รูปร่างเป็นม่านกั้นปรากฏต่อหน้าเขา! แล้วจัดการสกัดกั้นแส้โลหิตทั้งหมดไว้ข้างนอก!
กระแสพลังจากทั้งสองฝั่งปะทะเข้ากันอย่างรุนแรง!
ไหล่ของหรงซิวทรุดลงน้อยๆ สองเท้าพลันจมลงไปในพื้นดินครึ่งชุ่น!
“หรงซิว ทิ้งนางไว้ซะ แล้ววันนี้ข้าจะยอมละเว้นเจ้า!”
สุ้มเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นดั่งอสรพิษที่คืบคลานเข้ามาเลื้อยรัดหัวใจไว้มิปาน ชวนให้รู้สึกน่าหวาดผวายิ่ง
ริมฝีปากบางของหรงซิวหยักยกขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่รอยยิ้มนั้นกลับเย็นเยียบยิ่ง
“หลายปีมาแล้ว ดูเหมือนว่านิสัยชอบฝันกลางวันของเจ้านี่ก็ยังไม่ได้แก้สินะ”
“หรงซิว!”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้แทงใจดำอีกฝ่ายอย่างจังจนเขากราดเกรี้ยวขึ้นมาโดยพลันด้วยรู้สึกอับอาย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน!”
สิ้นเสียงคำพูด สีแดงเลือดบนกระจกสัมฤทธิ์ก็เริ่มพรั่งพรู!
กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นรุนแรงแผ่กระจายออกมาจากมัน!
เขาเป็นบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง นัยน์ตาขาวไร้ลูกตาดำ สีหน้าแข็งทื่อไร้วิญญาณ ประหนึ่งหุ่นเชิดอย่างไรอย่างนั้น
เขาพุ่งทะยานเข้าหาหรงซิวอย่างว่องไว!
จากนั้น เงาร่างคนที่สองก็ปรากฏตามมา
เขาพุ่งเข้ามาโจมตีจากอีกด้านหนึ่ง หมายจะโอบล้อมหรงซิวจากด้านข้าง!
หรงซิวหรี่ตาลง
คนทั้งสองนี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ ที่เก่งกาจยิ่งกว่าผู้แข็งแกร่งระดับเทพเสียอีก!
“เจ้านี่ทุ่มสุดตัวสินะ”
คิ้วกระบี่ของหรงซิวเลิกน้อยๆ เปลวเพลิงสีทองในนัยน์ตายิ่งลุกโชนกระหน่ำขึ้นไปอีก
หุ่นเชิดแบบพิเศษที่ไร้ร่างเนื้อหรือจิตวิญญาณเช่นนี้คือการที่อีกฝ่ายใช้ผู้ฝึกตนตัวเป็นๆ มาผนวกกับวิธีลับในการหลอมสร้างขึ้นมา
อย่างหุ่นที่เรียกออกมาในกรณีนี้ใช้ต่อสู้ได้แค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็คงใช้การไม่ได้แล้ว
ทว่าแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดี…หุ่นเชิดแบบพิเศษพวกนี้สามารถใช้พลังทั้งหมดมาสู้ จนถึงขีดสุดได้หลายครั้งในการต่อสู้! ทั้งยังเอาพลังทั้งหมดที่มีมาใช้ระเบิดกวาดล้างได้ในทีเดียว
นี่เองก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เป็นพวกมันถือเป็นสิ่งที่รับมือได้ยากด้วย
“ตราบใดที่รั้งนางให้อยู่ต่อได้ การสูญเสียครานี้จะนับว่าเป็นอันใดได้?”
อีกฝ่ายหัวเราะ
“คราวก่อนนางรอดตายอย่างหวุดหวิด แต่ครั้งนี้…มิได้ง่ายขนาดนั้นหรอก!”
หรงซิวหลุบตามองคนในอ้อมแขนคราหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่ดูเหมือนจะสลบไปเรียบร้อยแล้ว ดวงตาทั้งสองปิดแน่น ดวงหน้าซีดขาว
แพขนตาเรียวหนาสั่นไหวน้อยๆ ราวกับว่านางกำลังติดอยู่ในฝันร้ายอันน่ากลัวก็มิปาน
ในใจหรงซิวประหนึ่งว่าถูกอะไรบางอย่างบิดอย่างแรง
เขากอดนางแน่นขึ้นไปอีก ก่อนจะใช้มือประคองศีรษะนางมาซุกอกตัวเองอย่างระมัดระวัง
เมื่อแน่ใจแล้วว่านางจะไม่ตื่นขึ้นมากลางคัน หลังดูทุกอย่างเรียบร้อย เขาก็เงยศีรษะขึ้นมา
“รีบสู้ให้มันจบเถอะ”
เขาเอ่ยอย่างไร้อารมณ์
หากว่าฉู่หลิวเยว่ฟื้นขึ้นมาในตอนนี้ ก็จะเห็นว่าหรงซิวในยามนี้แตกต่างจากตัวตนเมื่อก่อนที่นางเคยรู้จักโดยสิ้นเชิง
ดวงหน้างดงามกระจ่างใสชวนลุ่มหลงของเขาเรียบนิ่งดั่งผิวน้ำ แต่ก็ดูเหมือนกับน้ำแข็งที่ไม่ละลายมากว่าพันปี มิว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ก็ไม่สามารถทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้แม้สักเสี้ยว
สิ่งที่ชวนให้ตื่นตะลึงมากที่สุดก็คือดวงตาของเขา
ดวงตาทั้งสองข้างของเขานั้น ข้างหนึ่งเป็นสีทองสว่าง ทว่าอีกข้างกลับดำสนิท!
เปลวเพลิงสีทองลุกโหมรุนแรง แสงสว่างทอประกายบริสุทธิ์แลศักดิ์สิทธิ์นัก ราวกับว่าสามารถแผดเผาชำระความโสมมทุกสิ่งได้อย่างหมดจด!
คลื่นน้ำลึกสีดำสนิทที่สาดซัดอย่างเงียบงัน ทั้งเยือกเย็นแลสูงส่ง ประหนึ่งว่าสามารถปิดบังเวหากลืนกินพสุธาได้หมดสิ้น!
สองสีสันที่แข็งแกร่งและขัดแย้งกัน บัดนี้มาปรากฏอยู่บนร่างเขาในตัวคนเดียว ทว่ามิได้ดูขัดกันแต่อย่างใด ตรงกันข้าม มันกลับเข้ากันได้ดีโดยไร้สิ่งใดเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
“ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด”
เขาเอ่ยพูดทีละคำ
สุ้มเสียงเย็นยะเยือกดังก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับประกาศิตจากสวรรค์ก็มิปาน!
…
“เห้ย! ที่นี่มันที่บัดซบอันใดกันแน่! หัวหมุนมาเป็นชาติแล้ว ยังมิเห็นแม้แต่รอยขีดข่วนเลย!”
ท่ามกลางหุบผาสูงชัน ผู้คนที่มารวมตัวกันที่นี่ต่างก็ลองดูกันหลายต่อหลายครั้ง ทว่าค่ายกลสีเงินนั่นก็ยังมิขยับเขยื้อน
และในที่สุดก็มีคนตะโกนขึ้นมาอย่างเหลืออด
“จอมยุทธ์ระดับเก้าอย่างฉู่เยว่สามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างอิสระ ต่างจากพวกเราที่ร่วมมือกันขนาดนี้ ก็ยังพังเข้าไปไม่ได้เลย นี่มันบ้าไปแล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของคนอื่นๆ ก็เริ่มบึ้งตึงจนดูไม่ได้
กำลังของพวกเขาทุกคนมิได้แตกต่างจากฉู่เยว่มากนัก แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลนั่นได้!
ถ้าไม่มีใครเข้าไปได้ก็ถือว่าเสมอภาค
แต่กลับมีฉู่เยว่ที่สามารถทำตามใจชอบได้วนเวียนอยู่นี่สิ!
พอเทียบแบบนี้แล้ว ใครมันจะรู้สึกดีกันเล่า?
“พวกสำนักหลิงเซียวช่างเจ้าเล่ห์นัก รีบชิงหนีไปเสียก่อน!”
หากพวกของฮวาเฟิงยังอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องขอคำอธิบายจากอีกฝ่ายแน่นอน!
ตูม!
จินตี้แทงหอกในมือลงบนพื้น
ก้อนหินนั่นแข็งมากจนทำเขาปวดชาไปทั้งกราม
และมันยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียมากกว่าเดิมหลายเท่า
“ที่นี่ต้องมีอันใดผิดปกติแน่ๆ! และฉู่เยว่นั่น! ต้องมิใช่คนธรรมดาแน่นอน!”
เมื่อก่อนมองว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาๆ คนหนึ่ง เลยไม่ได้ใส่ใจนัก
พอมาดูตอนนี้ ถือว่าเขาทำพลาดครั้งใหญ่!
หากเป็นคนธรรมดาสามัญจริงๆ ตอนนั้นเขาคงแย่งสมบัติไปจากจินเหล่ยไม่ได้! และจินเหล่ยคงไม่ต้องมาตายแบบนี้!
จินตี้ตบหน้าตัวเองอย่างแรง
เหตุใดเขาถึงไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อน!
“ข้าว่าต่อให้เราทำเช่นนี้ต่อไปก็มิมีประโยชน์ ไว้รอฉู่เยว่กลับมา แล้วขอให้เขาเปิดค่ายกลให้ดีกว่า และข้าว่า…ถ้าพูดกับเขาดีๆ คงมิใช่เรื่องยากกระไร?”
ชายวัยกลางกล่าวเสียงเรียบตึง สีหน้าของเขาดูกระอักกระอ่วน รวมทั้งน้ำเสียงที่ฟังดูแปลกๆ
“การที่ผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพและผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงมารวมตัวกันที่นี่ แต่สู้จอมยุทธ์ระดับเก้าคนเดียวไม่ได้ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าผู้คนจะหมดศรัทธาเอาได้!”
“พอแล้ว! มาพูดตอนนี้แล้วจักได้ประโยชน์อันใด? อีกอย่าง ฉู่เยว่เองก็ถูกคนพาตัวไปแล้ว ไม่รู้เลยว่าเขาจะกลับมาได้หรือไม่!”
“จริงสิ พูดถึงเรื่องนี้ พวกเจ้ารู้จักพื้นเพของคนที่พาฉู่เยว่ไปหรือไม่?”
ทุกคนส่ายหัวเป็นคำตอบว่าไม่รู้
จินตี้ยิ้มเยาะ
“ข้าไม่รู้ตัวตนและพื้นเพของพวกเขา แต่ข้ามองออกว่าชายชราที่เป็นหัวหน้า… คือผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์! และพวกเจ้าอย่าลืมว่า คนที่ต้องการพบเยว่ คือเจ้านายของเขา!”
เจ้านายของผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์…จะเป็นคนแบบใดกัน?
แค่คิดก็เย็นวาบไปทั่วแผ่นหลังแล้ว!
“ใครในกลุ่มพวกเจ้าเต็มใจรอ ก็รอต่อไปแล้วกัน!”
รอให้ฉู่เยว่กลับมารึ บอกให้รอเขาทะลวงขึ้นสู้ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ยังจะดูมีความหวังกว่าอีก!
คำพูดเหล่านี้ทำให้หลายคนสงบลง
แต่ดูๆ แล้ว ก็ไม่ใช่ทางออกสำหรับเรื่องนี้
พวกเขารวมพลังกันแล้ว แต่ก็เปิดค่ายกลไม่ได้ และไม่รู้ว่าฉู่เยว่จะมีโอกาสได้กลับมาหรือเปล่า
หรือพวกเขาจะต้องรออยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ!
จินตี้ขมวดคิ้วและมองไปที่ประตู
ข้างในนั้น…มีสิ่งใดซ่อนอยู่กันแน่!
…
อีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นๆ เคลื่อนตัวออกไปไกลแล้ว
หิมะตกหนักอีกครา
ลมหนาวที่พัดผ่านส่งเสียงหวีดหวิว แต่ละย่างก้าวจำต้องใช้พลังปราณมากขึ้น
ทุกคนเงียบเสียงและมุ่งหน้าเดินต่อไป
หลังจากผ่านไปนานจนระบุเวลาไม่ได้ ในที่สุดผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็ยกตราหยกขึ้นมาดู พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“พวกเขาอยู่ข้างหน้าแล้ว!”