ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1383 ระบุให้ชัดเจน
ตอนที่ 1383 ระบุให้ชัดเจน
หลายคนแอบเย้ยหยันในใจ
แบ่งกันรึ?
ก็แค่ลมปากน่ะสิ!
ที่นี่มีแต่ผู้แข็งแกร่งมาความสามารถ ที่อยากได้สมบัตินั่นใจจะขาด มีหรือจะยอมแบ่งกันอย่างเท่าเทียม?
เมื่อถึงตอนนั้นจะต้องเกิดความโกลาหลขึ้นแน่นอน! และอาจถึงขั้นเลือดตกยางออกเสียชีวิตกันไปข้าง!
แต่ทว่า…
เมื่อพิจารณาจากท่าทีของฉู่เยว่ก่อนหน้านี้แล้ว มันอาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่จริงๆ
ถ้าจะให้ช่วยกันกันพังค่ายกลนี่ก่อน ก็ย่อมได้
“ข้าเอง!”
“ข้าด้วย!”
ทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกันแทบทุกคน
ดังนั้น หลังจากการเจรจาสั้นๆ จบลง ทุกคนที่อยู่ภายในหุบเขาแห่งนี้ก็เริ่มร่วมพลังกัน! ทะลวงค่ายกลนั้นให้พังทลาย!
…
ฉู่หลิวเยว่ที่เคลื่อนตัวออกไปไกลแล้ว หันกลับไปมองด้านหลัง
ถึงจะมองไม่เห็นอันใด แต่ก็ยังคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าเกิดอันใดขึ้นในสุสานแห่งนั้น
หวังว่าค่ายกลที่องค์ไท่จู่ทิ้งไว้จะแข็งแรงพอ และยื้อเวลาในนางได้พักหนึ่ง…
“ข้างหน้า”
ชายชราผู้เป็นหัวหน้ากล่าวเสียงเรียบราวไม่แยแส
ฉู่หลิวเยว่สะดุ้งตกใจ พลันดึงสายตากลับมาแล้วเพ่งมองไปด้านหน้า
เกล็ดหิมะใสราวผลึกแก้วกองทับซ้อนกันเป็นชั้นหนา
เพลานี้เป็นยามที่มืดมนที่สุดของราตรีกาล แม้แต่น้ำแข็งและหิมะสีขาวเหล่านั้น ก็ยังดูเย็นยะเยือกยิ่งกว่าตอนกลางวันหลายเท่า
นางหยุดฝีเท้าตามกลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้า
จากนั้น ชายชราก็ก้าวไปข้างหน้าเพียงลำพัง
ฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ข้างหลัง และเห็นเพียงสองมือที่กำลังสั่นเทาของเขาเท่านั้น
ไม่นาน หิมะบนพื้นก็ละลายหายไปอย่างรวดเร็ว
พื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ถูกเปิดเผย!
นางจ้องมองภาพนั้นอย่างตั้งใจ หัวใจดวงน้อยอึดอัดราวถูกบางอย่างจับไว้แน่น
นางดูออกทันทีว่าใต้พื้นดินนั่น มีสิ่งลึกลับบางอย่างซ่อนอยู่
จากนั้นชายชราก็ร่อนลงมาบนพื้น แล้วกระทืบพื้นดินด้านล่างสองครั้ง
แกร๊ก…
เสียงแกร๊กเบาๆ ดังขึ้น พร้อมช่องทางเข้าที่ปรากฏขึ้นบนบนพื้น!
ด่านล่างนั้นมืดมากจนมองไม่เห็นอันใดสักอย่าง
กลิ่นอายเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาทำเอาคนมองอกสั่นขวัญหาย
ไม่มีใครรู้ว่าข้างล่างนั่นมีอันใดบ้าง
“เชิญ…”
ชายชราหันกลับมามองฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาเย็นชา ไร้ไมตรีจิต
“คุณหนูซั่งกวน”
ฉู่หลิวเยว่ใจกระตุบวูบ
ว่าแล้วเชียว…
และนี่คือสาเหตุที่นางยอมตามพวกเขามาง่ายๆ เช่นนี้
ทุกวันนี้มีเพียงไม่กี่คน ที่รู้เรื่องตัวตนต่างๆ ของนาง แม้แต่เจียงจื่อหยวนเองก็ทำได้แค่ตั้งสงสัยเท่านั้น แต่ไม่สามารถยืนยันได้
แต่คนเหล่านี้กลับมั่นใจมาก
และ…เห็นได้ชัดว่า พวกเขาน่าจะรู้มากกว่าที่นางคิดไว้ด้วย!
ฉู่หลิวเยว่ร่อนลงมาโดดยไม่ลังเล และเดินไปยังทางเข้า
นางมองลงไปด้านล่าง และเห็นเพียงบันไดที่แผ่อายเย็นออกมาท่ามกลางความมืดมิด
ก่อนจะยกเท้าก้าวลงไป
…
โครม!
หลังจากเดินลงไปได้ไม่นาน คนเหล่านั้นก็ปิดทางเข้าอีกครั้ง
แต่ที่ฉู่หลิวเยว่แปลกใจก็คือ พวกเขาไม่ได้ตามลงมา
หัวใจของนางพลันจมดิ่ง
เพราะนี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาวางใจนาง แต่กลับกัน นั่นเพราะด้านล่างมีสิ่งที่ทรงพลังกว่าพวกเขารออยู่ต่างหาก คนเหล่านั้นถึงได้ยอมจากไปแล้วปล่อยให้นางเข้าไปเพียงลำพัง!
มันทั้งหนาวเย็น เดียวดายและมืดมน
มีเพียงเสียงฝีเท้าของฉู่หลิวเยว่ดังก้องไปทั่วพื้นที่
ไม่นาน นางก็มองเห็นใครบางคน
ซึ่งเป็นร่างที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
เขานั่งพิงกำแพงอยู่บนพื้นเงียบๆ สองมือเท้าถูกโซ่พันทนาการไว้ มิให้ขยับเขยื้อน
เสื้อผ้าอาภรณ์เปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยคราบเลือด ลมปราณของเขาอ่อนแรง แลดูน่าเวทนายิ่ง
หากมิใช่เพราะทรวงอกที่ขยับขึ้นลงเบาๆ ฉู่หลิวเยว่คงคิดว่าเขาตายไปแล้ว
“มู่ชิงเห่อ”
นางหยุดฝีเท้า พลางเอ่ยเรียกเบาๆ
เมื่อได้ยินเสียงเรียก ในที่สุดชายที่นั่งคอตกอยู่ก็เริ่มตอบสนอง
เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นราวไม่มั่นใจ ครั้นเห็นฉู่หลิวเยว่ ดวงตาคู่นั้นก็พลันฉายแววสับสน
แต่ไม่นานเขาก็จดจำฉู่หลิวเยว่ได้
ริมฝีปากซีดแห้งแตกสั่นเครือ เสมือนต้องการพูดคุยกับนาง
แต่สุดท้ายเขาก็หลุบตาลงต่ำอีกครา
“…ถวายบังคมฝ่าบาท”
ฉู่หลิวเยว่ก้าวลงจากขั้นบันได และหยุดยืนอยู่ที่นั่นสักพัก พลางจ้องมองมู่ชิงเห่ออยู่แบบนั้น
หากมิใช่เพราะการตอบสนองของเขา นางคงไม่กล้ายืนยันว่าบุรูษผอมกระหร่องที่อยู่ตรงหน้า คือมู่ชิงเห่อผู้กระตือรือร้นแลทะนงตน ที่เคยติดตามนางมานานหลายปี
ไม่รู้เพราะอันใด แต่พอเห็นภาพนี้ หัวใจของนางพลันเจ็บระบม ราวถูกบางอย่างกระแทกอย่างแรง และแอบรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
แต่ไม่รู้ว่าเสียใจกับเขา หรือเสียใจกับตัวเอง
ในอดีตพวกเขาเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นหันกระบี่ใส่กันเสียแล้ว
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองไปรอบๆ
ก่อนจะหยุดสายตาลงที่อันใดบางอย่าง
มันคือกระจกสัมฤทธิ์บานใหญ่กลางห้องโถงกว้าง
รูปร่างของกระจกบานนี้ช่างคุ้นตานัก
นางจ้องมองมันเพียงไม่กี่วินาที และจู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมอง!
มันเหมือนกับกระจกสัมฤทธิ์ที่นางเห็นในห้องทรงงานขององค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์เป่ยหมิงทุกประการ!
“ซั่งกวนเยว่”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงทุ้มต่ำดังลอดออกมาจากกระจกบานใหญ่
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่สั่นไหว มุมปากเรียวสวยยกยิ้มบางเบา
“ยามนี้แล้ว ใต้เท้ายังไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนอีกหรือ?”
อีกฝ่ายก็หัวเราะคิกคัก
“เหมือนเจ้าจะอยากรู้เรื่องของข้าเหลือเกินนะ”
ฉู่หลิวเยว่กดยิ้มลึกลงกว่าเดิม
“มู่ชิงเห่อ…แท้จริงแล้วเป็นคนของเจ้า ใช่หรือไม่? ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจียงอวี่เฉิงเองก็น่าจะอยู่ในสถานะเดียวกัน?”
“เจ้านี่ฉลาดไม่เปลี่ยนจริงๆ”
อีกฝ่ายเลือกที่จะยอมรับอย่างตรงไปตรงมา และเต็มไปด้วยความมั่นใจ ราวไม่กลัวว่าฉู่หลิวเยว่จะก่อเรื่องในสถานที่แห่งนี้
“คนฉลาดมักตัดสินใจอย่างชาญฉลาด การที่ข้าเชิญเจ้ามาที่นี่ในวันนี้ ย่อมมีต้นสายปลายเหตุ และข้าเชื่อว่า…เจ้าเองก็น่าจะรู้อยู่แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง พลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ขออภัยด้วย เพราะข้าไม่รู้…โปรดใต้เท้าช่วยระบุให้ชัดเจน”