ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1381 ท่าไม่ดีแล้ว
ตอนที่ 1381 ท่าไม่ดีแล้ว
ตามวิธีการขว้าง บ่งบอกว่าจินตี้เล็งหอกไปทางช่อโหว่งกลางประตูบานใหญ่ เพื่อหวังทำลายมันให้พังลงเสีย
ประสบการณ์ก่อนหน้านี้บอกเขาว่า ประตูบานนี้มิอาจทำลายได้ง่ายๆ
และเพื่อความปลอดภัย เขาจึงจุดที่ง่ายต่อการทะลวงเข้าไป
แต่ไม่นานเขาก็พบว่าความคิดนั้นช่างไร้เดียงสานัก
นั่นเพราะหอกด้านนั้นที่อยู่ห่างประตูเพียงสามก้าว ถูกสกัดกั้นด้วยแรงกดดันจากด้านบน จนลอยค้างเติงอยู่ด้านนอก!
สีหน้าของจินตี้เปลี่ยนไปทันที สองขาก้าวฉับๆ ไปด้านหน้า พลันคว้าหมับเข้าที่หอกด้ามนั้น แล้วแทงมันเข้าไปอย่างสุดกำลัง!
แต่กลับไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดใด
ราวกับว่าตรงหน้าเขามีกำแพงเหล็กล่องหนขนาดใหญ่ ที่คอยขวางกันทุกอย่างไว้
ต่อให้เขาออกแรงมากเท่าไหร่ ก็ไม่มีแม้แต่คลื่นพลังปราณปรากฏขึ้นมาเลยสักสาย
น่าขำสิ้นดี
ใบหน้าของจินตี้แดงก่ำ
บ่งบงถึงโทสะที่พร้อมปะทุออกมา
“เจ้าเล่ห์นัก!”
เขาลองกดมันเข้าไปอีกสองครั้ง แต่หลังจากพบว่าต่อให้พยายามเท่าใด ก็ไม่สามารถแทงทะลุได้ ดังนั้นเขาจึงยอมแพ้ และหันกลับมาตะโกนใส่ผู้อาวุโสฮวาเฟิงด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ฮวาเฟิง! สำนักหลิงเซียวของพวกเจ้าสอนศิษย์กันแบบนี้หรือ!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าของเขาดูแปลกไปเล็กน้อย
เขามองไปที่ประตูซึ่งมีรูขนาดใหญ่อยู่บนนั้น หากแต่ยังคงแข็งแกร่งมาก ก่อนจะมองไปที่จินตี้ที่กำลังโกรธจัด ใบหน้าของอีกฝ่ายบูดบึ้งจนน่าเกลียด พลันเม้มปาก
“จินตี้ เจ้าเข้าไปไม่ได้ นั่นน่าจะเป็นปัญหาของเจ้าแล้วกระมัง?”
ตัวเองไร้ความสามารถ แต่กลับโยนความผิดให้ผู้อื่น แถมฝ่ายนั้นก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง จะว่าอย่างไรดี?
มันดูไร้ยางอายเกินไปหน่อย
แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยประโยคหลังออกไป แต่สายตาและท่าทางของผู้อาวุโสฮวาเฟิงนั้น ชัดเจนว่าคำพูดเป็นไหนไหน
จินจี้ถลึงตามองด้วยความโกรธ ดวงตาสองข้างเบิกกว้าง แดงก่ำราวกับมีเปลวไฟลุกไหม้อยู่ในนั้น ทรวงองหอบสั่นอย่างรุนแรง
“เจ้า! ฮวาเฟิง! มันจะมากไปแล้ว!”
“พวกข้าน่ะหรือ ทำเกินไป?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเอนตัวพิงโขดหินที่อยู่ด้านข้าง พลางพับแขนขึ้นด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“พวกข้าไม่ได้ห้ามเจ้าเสียหน่อย เจ้าอยากทำอันใดก็ทำสิ?”
เขากล่าวเช่นนั้น พลางหันไปโบกมือส่งสัญญาณให้ผู้คนรอบข้าง
“พวกพ้องสำนักหลิงเซียวจงฟังข้า ยามนี้เราจักพักผ่อนตามอัธยาศัย! ถึงจะมีใครบุกเข้าไปในประตู ก็ไม่ต้องไปสนใจ แค่เฝ้าจากด้านข้างก็พอ!”
ทุกคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียง
“รับทราบ!”
จินตี้โกรธมากจนหน้าอกแทบระเบิด!
แค่เฝ้ามองรึ?
นี่พวกนั้นมองเขาเป็นตัวตลกหรือไร?
แต่เขาเปิดประตูบานนั้นไม่ได้!
แม้ประตูบานนั้นจะถูกเจาะเป็นรูโบ๋แล้วก็ตาม!
น่าขายหน้ายิ่งนัก!
จินตี้หยิบหอกขึ้นมาแล้วถ่มน้ำลายลงบนพื้นด้วยความโมโห
เขาไม่ได้หันหลังกลับ แต่ยังคงยืนอยู่ที่นั่น และจ้องมองค่ายกลตรงหน้าตาไม่กะพริบ
ข้างในนั้น…จะต้องมีบางอย่างซ่อนอยู่แน่ๆ!
อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูง ค่ายกลของจอมยุทธ์ระดับเก้าแค่คนเดียว จะไปหยุดยั้งเขาได้อย่างไร!
หลายคนที่เฝ้ามองอยู่ แต่เดิมใจร้อนอยากบุกเข้าไปหนักหนา ทว่าพอเห็นกรณีตัวอย่างจากเขา ก็เริ่มคลายความกระเหี้ยนกระหือลง และวางแผนรอดูสถานการณ์ไปก่อน
ฉะนั้น ด้วยเหตุผลหลายประการ แส้เสียงอึกทึกหน้าประตูจึงเงียบลงอย่างรวดเร็ว
ยกเว้นกลิ่นอายแปลกๆ ที่แผ่กระจายออกมาแล้ว ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามปกติ
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงยิ้มเยาะ พลันหลับตาลง
ฉู่เยว่ใช้ประโยชน์จากความเห็นแก่ตัวของคนพวกนี้ แต่เขายังไม่เคยเห็นใครเอาเปรียบฉู่เยว่ได้เลยสักคน!
อยากกำจัดเขาหรือ…
น่าจะยากเสียแล้วกระมัง!
สีหน้าย่ำแย่ของจินตี้เมื่อครู่นี้!
ช่างสาแก่ใจเขาจริงๆ!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็พลันรู้สึกภูมิอกภูมิใจ
ศิษย์จากสำนักหลิงเซียวของพวกเขานั้น ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!
“หึ เจ้าเด็กฉู่เยว่นี้ช่างขยันสร้างเรื่องเสียจริง แถมยังเก่งเสียด้วย!”
ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างๆ แค่นสียงเย้ยหยันออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
แต่ไหนแต่ไรมา พวกเขาไม่ได้มีสัมพันธ์อันดีกับสำนักปีกสุวรรณอยู่แล้ว ฉะนั้นพอเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้ากล้ำกลืนแบบนั้น พวกเขาจึงพลอยสะใจไปด้วย
ดวงตาของชือรุ่ยเออร์เปล่งประกายวาววับ พลันเอ่ยถามราวลังเล
“ผู้อาวุโสฮวาเฟิง ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า…บางครั้งฉู่เยว่ก็มีส่วนคล้ายกับคนผู้นั้น?”
ใบหน้าแย้มยิ้มของผู้อาวุโสฮวาเฟิงพลันชะงัก ก่อนจะมองไปที่ประตูด้วยแววตาซับซ้อน
เบื้องหลังค่ายกลสีเงินแวววาวนั้น ไม่มีผู้ใดล่วงรู้สถานการณ์ภายในเลย
เขาเงียบไม่พูดอันใด
แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เขาจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือดูแลฉู่เยว่เป็นอย่างดี ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาในสำนักวิชาเหตุใด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่เขาจับพลัดจับผลู พาฉู่เยว่มายังบุพกาลชายแดนเหนือด้วยกันอีก
แม้จะรู้ว่ามันอันตรายเพียงใด และด้วยสถานะของฉู่เยว่แล้ว เขาควรปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
แต่เขากลับไม่ทำ
ถ้าไม่ใช่เพราะดวงตาที่คล้ายกันอย่างน่าทึ่งคู่นั้นแล้ว ยังจะ…
“ทุกอย่างล้วนเป็นอดีตไปแล้ว”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหลับตาลง
“อย่ากล่าวถึงมันอีกเลย”
นังหนูนั่น ผ่านไปนานขนาดนี้ ยังไม่คิดจะส่งข่าวกลับมาเลยสักนิด แล้วใครจะไปรู้ว่านางต้องพบเจอกับอันใดบ้าง!
ถ้านางไม่กลับมา พวกเขาก็จะไม่เอ่ยถึงนาง!
ชือรุ่ยเออร์ลังเลอยากพูดอันใดต่อ แต่สุดท้ายก็ทำเพียงพยักหน้ากลับไปเบาๆ
…
“ฮู้ว…”
ครั้นตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว ฉุ่หลิวเยว่ก็เดินกลับเข้าไปยังบริเวณที่ฝังศพอีกครั้ง
นางยืนอยู่กลางถ้ำ กวาดสายตามองความว่างเปล่าตรงหน้า พลางถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
ทันใดนั้น นางก็ยกชายชุดคลุมขึ้นแล้วคุกเข่าลง และทำท่าคำนับไปทางป้ายหลุมศพ
“องค์ไท่จู่ เยว่เออร์ผิดไปแล้ว และสมควรถูกท่านลงโทษ”
ทั่วทั้งบริเวณเงียบกริบ ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
ฉู่หลิวเยว่จรดศีรษะลงกับพื้น และลุกขึ้นยืนในเวลาต่อมา
ดูเหมือนองค์ไท่จู่จะยังหลับอยู่ และไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย
มันทำให้ฉู่แอบเป็นห่วงเขา แต่อีกใจก็รู้สึกมีความหวัง
ตอนนี้นางแน่ใจแล้วว่า ที่นี่คือสุสานที่แท้จริงขององค์ไท่จู่
เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าเศษเสี้ยวจิตวิญาณชิ้นสุดท้ายขององค์ไท่จู่จะถูกซ่อนอยู่ที่นี่!
หากสามารถนำมารวมกันได้ล่ะก็…
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วหยิบจี้หยกออกมา
ท่ามกลางความมืดมิด ปรากฏดวงแสงจางๆ สองดวงขึ้นบนจี้หยกขาวนวล พวกมันเคลื่อนไหวเอื่อยๆ ราวกับสายน้ำ
น่าเสียดายที่พวกมันไม่เคยรวมตัวกันเลยสักครั้ง
ทั้งสองดวงนี้นี่คือเศษเสี้ยววิญญาณที่ยังไม่สมบูรณ์ขององค์ไท่จู่
ฉู่หลิวเยว่เคยนำพวกมันมารวมกัน แต่มิอาจหลอมรวมพวกมันเข้าด้วยกันได้
และไม่รู้ว่าชิ้นส่วนสุดท้าย จะอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่…
ฉู่หลิวเยว่กำจี้หยกในมือแน่น พลันขมวดคิ้วเป็นปม
จากที่อินทรีสามตากล่าวมา ตอนนั้นองค์ไท่จู่ใช้พลังของตัวเองต่อสู้กับมังกรยักษ์เก้าตัวเพียงลำพัง
แม้แต่สายเลือดของสัตว์อสูรที่ต่ำต้อยยิ่งกว่าเผ่ามังกร ก็ยังสามารถจัดการกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อย่างง่ายดาย
แต่องค์ไท่จู่กลับเอาชนะมังกรเก้าตัวได้ ด้วยกำลังของตนเพียงคนเดียว และใช้กระดูกมังกรทั้งเก้ากักขังดวงวิญญาณของพวกมันไว้ในสุสานของตัวเอง เขาในตอนนั้น…แข็งแกร่งมากมายขนาดไหนกัน!
เหตุใดจิตวิญญาณอันไม่สมบูรณ์ที่หลงเหลืออยู่ในอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เทียนลิ่ง จึงคิดเสมอว่าเขายังอยู่ในระดับครึ่งเทพ และไม่ได้ทะลวงไปได้ขึ้นไปมากกว่านั้น?
นอกจากนี้ องค์ไท่จู่ยังคุ้นเคยกับบุพกาลชายแดนเหนือมาก ตอนนั้นเขาทำอันใดที่นี่กัน?
“องค์ไท่จู่ ท่านตื่นขึ้นมาเถิด…”
ฉู่หลิวเยว่หลับตาลงแล้วประสานมือขึ้นตรงหน้า สวดภาวนาอย่างเงียบๆ
ยามนี้นางขอแค่องค์ไท่จู่ปลอดภัย
นางไม่รู้ว่า…หลุมศพที่พังทลายลงก่อนหน้านี้ จะส่งผลกระทบต่อองค์ไทจู่หรือเปล่า?…
ยิ่งคิด ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ่งรู้สึกผิด
หวังว่าหลุมศพนั้น…
ครืน!
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากผนังถ้ำเหนือศีรษะ!
ทั่วทั้งสุสานสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!
ฉู่หลิวเยว่ลุกพรวดขึ้นทันที!
ลมปราณอันเย็นยะเยือก พวยพุ่งออกมาเร็วพลัน!
ใจดวงน้อยสั่นระรัว
ท่าไม่ดีแล้ว!