ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1379 ขุดหลุมศพบรรพบุรุษตัวเอง ตอนที่ 1380 อาณาเขตของใคร!
- Home
- All Mangas
- ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
- ตอนที่ 1379 ขุดหลุมศพบรรพบุรุษตัวเอง ตอนที่ 1380 อาณาเขตของใคร!
ตอนที่ 1379 ขุดหลุมศพบรรพบุรุษตัวเอง ตอนที่ 1380 อาณาเขตของใคร!
ตอนที่ 1379 ขุดหลุมศพบรรพบุรุษตัวเอง
เจียงจื่อหยวนก้าวผ่านประตูเข้าไปด้านใน
บรรยากาศโดบรอบมืดสนิท มีเพียงไข่มุกประธีปสองสามเม็ดบนกำแพงหินที่ส่องแสงเรืองรองจางๆ ทำให้นางมองเห็นภาพด้านหน้าได้อย่างคลุมเครือ
มันว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใด…
เจียงจื่อหยวนสะดุ้งพลันชะงักฝีเท้า
ลมปราณเย็นยะเยือกแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่ หากอยู่ในนานเข้า นางคงขนลุกขนฟองไปทั่วตัวแน่ๆ
ในใจแอบรู้สึกหวาดกลัว ทั้งๆ ที่มันไม่มีอะไรเลย ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ อีกครั้ง
แต่ก็มีเพียงความว่างเปล่า
หรือว่าก่อนหน้านี้ ฉู่หลิวเยว่จะใช้พื้นที่บริเวณนี้ทะลวงจากจอมยุทธ์ระดับแปด ขึ้นสู่ระดับเก้า!
เจียงจื่อหยวนเริ่มขมวดคิ้วทีละนิด ราวรู้สึกเคลือบแคลงใจ
สถานที่แห่งนี้ ดูมิได้พิเศษพิโสแต่อย่างใด…
แต่จู่ๆ รูม่านตาของนางก็หดตัวลง
ไม่ไกลจากด้านหน้านาง มีลำแสงบางอย่างพุ่งเข้ามา!
เนื่องจากบริเวณโดยรอบมืดมาก เมื่อลำแสงนั้นปรากฏขึ้นมา มันจึงดึงสายตาของเจียงจื่อหยวนได้ทันที!
มือเรียวใต้แขนเสื้อกำแน่น ก่อนจะยกเท้าก้าวไปข้างหน้า ด้วยกายาที่แข็งเกร็งไปทั่วทั้งตัว
ยิ่งเข้าไปใกล้ นางก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงลมปราณที่ไหลวนปกคลุมอยู่รอบด้านทีละนิด
เริ่มไม่ชอบมาพากลแล้ว!
ความคิดมากมายแล่นเข้ามาในหัวของนาง
อากาศโดยรอบค่อยๆ ก่อตัวหนาขึ้น ทำให้นางหายใจลำบากมากขึ้นด้วย
และไม่นาน นางก็จำต้องตกใจ เมื่อพบว่าพลังปราณในกายหมดลงอย่างรวดเร็ว!
หลังจากเผชิญกับอันตรายก่อนหน้านี้มาหลายครา ส่งผลให้นางเหลือพลังปราณเพียงน้อยนิด และตอนนี้ก็แทบจะหมดแรงอยู่รอมร่อ
นางแอบลังเลอยากจะออกไปจากที่นี่ แต่ก็กลัวพลาดของดีบางอย่างไป
สุดท้ายก็ต้องจำต้องกัดฟันสู้ แล้วเดินต่อไป
โชคดีที่นางเริ่มเข้าใกล้ลำแสงอันริบหรี่มากกว่าเดิมแล้ว
หลังจากระยะห่างลดลง ในที่สุดนางก็มองเห็นสิ่งนี้ได้ชัดเจน
พลันตกใจพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
นั่นเพราะสิ่งที่ส่องแสงจางๆ นั่น แท้จริงแล้วเป็นเพียงก้อนหินที่แตกสลาย
หินก้อนนี้มีสีดำสนิท ขนาดไม่เกินเล็บมือ และลอยเคว้งอยู่ในกลางอากาศเงียบๆ
ครั้นหมุนตัว ก็เกิดแสงสะท้อนจางๆ ทว่างดงามเปล่งประกายออกมา
ที่นางเห็นเมื่อครู่ คือเจ้าสิ่งนี้หรือ
นอกจากแสงสวยๆ แล้ว เศษหินก้อนนี้ก็ไม่มีอันใดพิเศษเลย
ไม่มีแม้แต่ร่องรอยความผันผวนของพลังปราณ
เจียงจื่อหยวนย่นคิ้วเข้าหากันทีละน้อย
บัดซบที่สุด!
เหตุใดฉู่เยว่ถึงสามารถดูดกลืนพลังจากฟ้าดิน แล้วทะลวงขั้นพลังปราณอยู่ที่นี่ได้ แต่นางกลับเห็นเพียงเศษหินกรังไร้ประโยชน์พวกนี้!
นางกัดฟันกรอด พร้อมกำหินไว้ในมือด้วยโทสะ
ก่อนจะรู้สึกแสบร้อนไปทั้งมือ
“กรี๊ด!”
เจียงจื่อหยวนโยนหินทิ้งไปทันที แล้วรีบก้มมองฝ่ามือตัวเอง
เกิดแผลไหม้พุพองขึ้นบนฝ่ามือ
แกร๊ก!
หินก้อนเล็กๆ ถูกโยนลงพื้น และกลิ้งออกไปไกลช่วงหนึ่ง
“เจียงจื่อหยวน”
เสียงอันเรียบนิ่งเสียงหนึ่งดังโพล่งมาจากด้านหลัง
เจียงจื่อหยวนสะดุ้งแล้วหันกลับไปมองทันที
เมื่อได้เห็นใบหน้าของคนผู้นั้นชัดๆ หัวใจของนางพลันเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
“ฉู่เยว่! จะ…เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด?”
ก่อนหน้านี้เขายังอยู่ในค่ายกลมิใช่หรือ?
เหตุใดยามนี้ถึงโผล่มาเงียบๆ กันเล่า!
“ข้าเพิ่งมา”
ฉู่หลิวแย้มยิ้ม
“ไม่ต้อง ข้ามาช้ากว่าเจ้า”
นางกล่าวพลางหลุบตามองเศษหินที่เจียงจื่อหยวนโยนทิ้งไป และหรี่ตาลงอย่างอันตราย
“กระไรกัน กำลังหาอันใดอยู่หรือ?”
เจียงจื่อหยวนก้าวถอยหลังด้วยความหวาดหวั่น
“เปล่า…ไม่มีอันใด…ข้าแค่สงสัยเลยเข้ามาดู…”
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ
ความรู้สึกอันคุ้นเคยตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง
นางถอนหายใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้
ทำไมก่อนหน้านี้…ถึงไม่ได้สังเกตเลยนะ!
“องค์ไท่จู่”
นางกระซิบเรียกในใจ
ทว่าองค์ไท่จู่ยังคงหลับใหล และไม่ได้ตอบรับเสียงนางแต่อย่างใด
ฉู่หลิวเยว่นวดหว่างคิ้วราวปวดหัว
คงมีนางคนเดียวบนโลก ที่คิดขุดหลุมศพบรรพบุรุษตัวเองเช่นนี้!
“การรบกวนความสงบของท่าน ถือเป็นบาปมหันต์ ท่านโปรดวางใจ ข้าจะจัดการเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้ให้ท่านเอง!”
ตอนที่ 1380 อาณาเขตของใคร!
“เจ้าไม่ควรเข้ามาที่นี่ โปรดรีบออกไปเสีย”
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองเจียงจื่อหยวน พลางกล่าวสั้นๆ ได้ใจความโดยมิให้อีกฝ่ายได้ปฏิเสธ
เจียงจื่อหยวนขมวดคิ้วฉับ แน่นอนว่านางไม่ยินยอม
“เจ้าสั่งให้ข้าออกไป แล้วข้าต้องทำตามด้วยรึ? นี่ไม่ใช่อาณาเขตของเจ้า! เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้า!”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่กระตุกเบาๆ
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย แต่ที่นี่ก็ไม่ต่างจากอาณาเขตตระกูลซั่งกวนของนางสัดเท่าไรหรอก…
แต่นางก็คร้านเกินกว่าจะโต้เถียงกับเจียงจื่อหยวน
“ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าเจ้ายังไม่ยอมออกไป ข้าจะ ‘ช่วย’ เจ้าเอง”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยเสียงเรียบ ขนงเรียวขึงตึงด้วยความเย็นชา
เจียงจื่อหยวนที่เห็นเช่นนั้น พลันเย็นวาบไปถึงขั้วหัวใจ แต่ไม่นานก็เกิดอับอายและบรรดาลโทสะเสียอย่างนั้น
นางเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งเทพ!
เทียบกับฉู่เยว่แล้ว นางแข็งแกร่งกว่าเขาแน่นอน!
แต่ตอนนี้กลับต้องมาฟังเขาสบประมาทนางอยู่ที่นี่รึ!
ตรรกะบ้าบออันใดกัน!
ถึงทักษะบางแขนงของนางจะด้อยกว่าฉู่เยว่ แต่นางก็ไม่ได้อ่อนแอเสียหน่อย!
เมื่อคิดเช่นนี้ เจียงจื่อหยวนก็เริ่มมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
นางแค่นหัวเราะเบาๆ หากแต่แววตาหาได้ยิ้มตามไม่
“ฉู่เยว่ ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่เจ้ามิได้เก่งกาจจนทั่วหล้าไร้ผู้ต่อต้าน เจ้าเข้ามาที่นี่ได้ แล้วไยคนอื่นถึงเข้ามาไม่ได้? หรือเจ้า…กลัวว่าข้าจะขโมยสมบัติในนี้ไปหรือไร?”
นางกล่าวพลางจ้องหน้าเด็กหนุ่มตาเขม็ง พยายามเสาะหาความลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าของอีกฝ่าย
แต่น่าเสียดาย ที่ไม่เห็นพิรุธอันใดเลย
ใบหน้าเล็กและดูสะอาดสะอ้านของชายหนุ่มมีเพียงรอยยิ้มจางๆ ประดับไว้ ไม่มีใครดูออกว่าเขากำลังคิดการณ์ใดอยู่
โดยเฉพาะดวงตากลมใสทว่าลึกล้ำคู่นั้น ที่เก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนไม่อาจเดาความคิดได้
เจียงจื่อหยวนแอบลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ถึงข้างในนี้จะมีสมบัติอยู่จริงๆ แต่ก็อาจถูกฉู่เยว่เอาไปแล้วก็ได้?
ฉู่หลิวเยว่ลอบสังเกตท่าทีของนาง พลันกระตุกยิ้มมุมปากพลางเย้ยหยันอยู่ในใจ
ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ต่างๆ ในบุพกาลชายแดนเหนือ จะทำให้เจียงจื่อหยวนเหนื่อยล้าเกินกว่าจะครองสติได้ ยามนี้อารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างของนาง ล้วนปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจน ราวกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ออก
ใจหนึ่งก็อยากได้สมบัติ อีกใจก็ไม่อยากจากไปแบบนี้
“หนึ่ง”
ฉู่หลิวเยว่ยกนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว
หัวใจของเจียงจื่อหยวนเต้นระส่ำ แต่ความรังเกียจที่ผุดขึ้นใจ
ฉู่เยว่ผู้นี้ คิดจะลองดีกับนางจริงๆ ใช่หรือไม่!
นางหมุนตัวไปอีกทาง และค้นหาบางสิ่งท่ามกลางความว่างเปล่าต่อไปเรื่อยๆ ชัดเจนว่านางไม่ได้สนใจฉู่เยว่แม้แต่น้อย
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น
“สอง”
เจียงจื่อหยวนทำหูทวนลม ความคิดมากมายไหลแวบเข้ามาในสมองของนาง
สิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกตนสามารถทะลวงขั้นพลังปราณได้ในไม่กี่วัน มีเพียงสองปัจจัยหลักที่พอจะเป็นไปได้
ถ้าไม่ใช่เพราะได้รับของวิเศษชิ้นนั้น จนสามารถพัฒนาลมปราณแล้วข้ามผ่านขอบเขตได้อย่างรวดเร็ว
ก็น่าจะเป็นเพราะอัตราการไหลเวียนของเวลาในที่แห่งนี้ ที่แตกต่างจากโลกภายนอกอย่างมาก ดังนั้นในช่วงเวลาสั้นๆ เขาจึงสามารถบรรลุเป้าหมายที่ใครหลายคนต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีในการฝึกฝน
และดูจากความรู้สึกแปลกๆ รอบตัวนางแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะปัจจัยที่สองมากกว่า…
“สาม”
ริมฝีปากสีแดงของฉู่เยว่แสยะยิ้มเล็กน้อย พลันเอ่ยคำนั้นออกมาอย่างเย็นชา
ครั้นเห็นเจียงจื่อหยวนที่กำลังเดินเข้าไปข้างในอย่างอิสระ โดยไม่ได้คำนึงคำพูดของตน ฉู่หลิวเยว่ก็แค่นหัวเราะเบาๆ
ในเมื่อตีหน้ามึนใส่กัน เช่นนั้น…ก็ไม่ต้องประนีประนอมกันแล้ว
…
โครม!
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นๆ เพิ่งมาถึง แต่ก่อนจะได้อ้าปากถาม พวกเขาก็เห็นร่างหนึ่งลอยออกมาจากประตู แล้วกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง!
พรวด!
เจียงจื่อหยวนกระอักเลือดออกมาเต็มปาก! ใบหน้าขาวซีดไร้โลหิต!
ชือรุ่ยเออร์ที่อยู่ด้านหน้าถอยหลังไปสองสามก้าว
ถึงตัวนางในตอนนี้จะเปื้อนฝุ่นและคราบเลือด และอยู่ในสภาพน่าสมเพชอย่างมาก แต่ถ้าเปื้อนเลือดของเจียงจื่อหยวน คงทำให้นางรู้สึกรังเกียจตัวเองยิ่งกว่า
ไม่มีใครเดินเข้าไปช่วยเจียงจื่อหยวนสักคน
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเบี่ยงสายตามองเข้าไปข้างใน
“ฉู่เยว่รึ?”
ฉู่หลิวเยว่สาวเท้าออกมาช้าๆ พลางปัดเศษฝุ่นในมือ
“ศิษย์พี่หญิงเจียง ก่อนหน้านี้ข้าเตือนท่านแล้วนา แต่ท่านไม่ฟังเอง จะกล่าวหาข้ามิได้นะขอรับ”
ทุกคนหันมองหน้ากันอย่างพร้อมเพรียง
ฉู่เยว่ผู้นี้…ช่างกล้าบ้าบิ่นยิ่งนัก แม้แต่เรื่องเช่นนี้ยังกล้ายอมรับออกมาโต้งๆ
ทว่าตอนนี้ ชัดเจนว่าเจียงจื่อหยวนถูกคนในสำนักหลิงเซียวทอดทิ้งแล้ว และพวกเขาจะไม่เกรงใจนางอีกต่อไป
เมื่อเจียงจื่อหยวนได้ยินประโยคนั้น ก็พลันเดือดดาลจนอวัยวะภายในแทบระเบิด เพลิงโทสะในใจโหมกระหน่ำจนแทบหายใจไม่ออก
“ฉู่เยว่! เจ้ารังแกคนอื่นเกินไปแล้ว! ที่นี่มิใช่อาณาเขตของเจ้า เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำกับข้าแบบนี้!”
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่เต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย พลางเหลือบมองนางแวบหนึ่ง
“ศิษย์พี่หญิงเจียง ผู้แข็งแกร่งอยู่เหนือทุกสิ่ง จนถึงตอนนี้ท่านยังมิเข้าใจอีกหรือ?”
“เจ้า…”
“ถ้าท่านอยากอยู่ต่อก็ง่ายมาก เพียงแค่เดินเข้ามาก็จบ… หากท่านยังไหวนะขอรับ”
เมื่อฉู่หลิวเยว่พูดจบ นางก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างยี้ยวน พลางหันไปพูดกับผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นๆ ว่า
“ผู้อาวุโสขอรับ ศิษย์ยังมีเรื่องต้องจัดการ เชิญพวกท่านเข้ามารอก่อน และรบกวนท่าน…และสหายท่านอื่นๆ โปรดรอสักครู่”
ครั้นสิ้นเสียง นางก็หมุนตัวกลับไปโดยไม่รอคำตอบของผู้อาวุโสฮวาเฟิง
นางก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าวแล้วหยุดชะงัก ก่อนจะโคลงศีรษะไปมาเบาๆ และมองไปทางเจียงจื่อหยวนอย่างไม่แยแส
“ศิษย์พี่หญิงเจียง หากพร้อมก็เข้ามาได้ทุกเมื่อเลยขอรับ”
ทันทีที่พูดจบ ร่างเงาของนางก็หายวับไปจากหลังประตูอย่างรวดเร็ว
พลันมีค่ายกลสีเงินปรากฏขึ้น ปิดช่องโหว่บนประตูบานใหญ่ และขณะเดียวก็ปิดกั้นสิ่งที่อยู่ภายในออกจากโลกภายนอก
แม้แต่กลุ่มคนจากด้านนอกที่เพิ่งเดินเข้ามาในหุบเขา ก็ยังมองไม่เห็นสถานการ์ภายใน
เจียงจื่อหยวนรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก นางโกรธจนหน้าดำหน้าแดง
ทว่าตอนนี้นางได้รับบาดเจ็บหลายจุด แม้แต่แรงจะลุกยังไม่มี แล้วนางจะพุ่งตัวออกไปแก้ต่างให้ตนเองได้อย่างไร?
ขั้นพลังปราณของนางสูงกว่าฉู่เยว่ ตามหลักแล้วนางย่อมต่อกรกับอีกฝ่ายได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่หลังจากฝ่าฟันเหตุการณ์ต่างๆ มามากมาย ทำให้พลังกายของนางเหลือน้อยกว่าปกติ
ต่างจากฉู่เยว่ที่ไร้รอยขีดข่วน แถมอีกฝ่ายยังเพิ่งทะลวงขั้นพลังมา ทำให้สมรรถภาพของเขาในตอนนี้ อยู่ในจุดที่แข็งแกร่งที่สุด
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ใครแพ้ใครชนะ ก็น่าจะรู้แล้วมิใช่หรือ!
“เอ่อ…”
จากด้านหลัง หลายคนที่ทยอยเดินเข้ามาต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น
จินตี้ขมวดคิ้วมุ่น พลันกระซิบถามอย่างอดไม่ได้
“ฮวาเฟิง นี่ฉู่เยว่หมายความเช่นไร? เขาคิดจะยึดที่นี่ไว้คนเดียว แล้วไม่ยอมให้พวกเราเข้าไปรึ?”
เนื่องจากหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ของปลอมปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนล้วนหันเหความสนใจไปที่หม้อน้ำ และไม่ค่อยมีใครสนใจที่แห่งนี้สักเท่าไร
แต่พอพวกเขามาคิดดูตอนนี้ บางที ทีนี่อาจมีสมบัติซ่อนอยู่จริงๆ ก็ได้!
ท่าทีของฉู่เยว่ในยามนี้ช่างน่าสงสัยนัก และนั่นทำให้หลายๆ คนเริ่มเอะใจ
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหัวเราะเยาะ
“ก่อนหน้านี้พวกเจ้ามีเวลาตั้งนาน แต่ไม่กลับมาเอง ตอนนี้ฉู่เยว่กลับมาแล้ว พวกเจ้ากลับเพิ่งคิดได้หรือ?”
จินตี้ไม่สนใจคำพูดเหน็บแนมนั่น พลันสาวเท้าไปข้างหน้า
“ยามนี้ประตูเปิดแล้ว ข้าจะเข้าไปดู!”
ทว่าทันทีที่เขาก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็ได้ยินเสียงเย็นชาดังมาจากด้านในประตู
“จากนี้ไป จะไม่มีใครได้สิทธิ์ย่างกรายเข้ามาที่นี่อีก หากผู้ใดต้องการท้าทาย… เช่นนั้นก็เข้ามา!”
จองหองนัก!
อวดดีเกินไปแล้ว!
ทุกคนเบิกตากว้างพลันมองหน้ากันด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด
จินตี้แค่นหัวเราะอย่างเหลืออด
“สมกับเป็นเจ้า ฉู่เยว่! อวดดีเกินใครเสียจริง! วันนี้ข้าเองก็อยากเห็น ว่าเจ้าจะปกป้องที่แห่งนี้ได้นานแค่ไหนกันเชียว!”
เขากล่าวพลางสะบัดแขนเสื้อ พลันมีหอกสีทองปรากฏขึ้นในมือเขา!
ฟิ้ว!
หอกด้ามยามพุ่งผ่านอากาศออกไป!