ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1377 เจรจาเสร็จเรียบร้อย
ตอนที่ 1377 เจรจาเสร็จเรียบร้อย
ย้อนกลับไปตอนนั้น ทุกคนล้วนมุ่งความสนใจไปที่หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ จนลืมคิดไปว่าสถานที่ที่ฉู่หลิวเยว่เพิ่งเข้าไปก่อนหน้านี้เอง ก็ถือเป็นบ่อแห่งขุมทรัพย์เช่นกัน
มิเช่นนั้นเขาจะทะลวงจากระดับแปด ขึ้นสู่ระดับเก้าภายในไม่กี่วันได้อย่างไร!
หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นสมบัติล้ำค่า แต่สุดท้ายแล้ว จะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ได้ครอบครองมัน
ไหนจะเผ่าอินทรีสามตาที่ยากจะต่อกรทางด้านนั้นอีก
แทนที่จะยืนฝัวหวานเฝ้ารอโอกาสอยู่แบบนี้ ก็หาทางอื่นเสียดีกว่า!
บางที…เจ้าสิ่งนั้นอาจจะมอบโอกาสให้นางก็ได้?
เมื่อคิดเช่นนี้ เจียงจื่อหยวนก็ตัดสินใจทันที
อย่างไรเสียคนเหล่านี้ก็ไม่ได้สนใจนาง และออกจะรังเกียจนางด้วยซ้ำ แล้วนางจะต้องห่วงอันใดอีก?
ในเมื่อผู้อาวุโสตันชิงอยู่ที่นี่ นางก็ไม่สามารถลงมือได้
เช่นนั้นก็แหกคอกไปเลยแล้วกัน!
นางพันแผลอย่างระมัดระวังแลเชื่องช้า พลางสอดส่ายสายตาไปทั่วพื้นที่อย่างเงียบเชียบ
ท้องนภาหม่นแสง ทัศนียภาพโดยรอบเริ่มเลือนลาง
ทุกคนต่างจ้องมองค่ายกลนั่น และไม่ได้สังเกตเห็นสถานการณ์ด้านนี้
นางร่นฝีเท้าไปข้างหลังอย่างระมัดระวัง ก่อนที่ร่างของนางจะหายไปจากฝูงชนอย่างรวดเร็ว
…
เจียงจื่อหยวนคิดว่าแผนของตนสมบูรณ์แบบ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเห็นการกระทำของนางตั้งแต่แรก
“ดื้อด้านไม่หยุดจริงๆ…”
นางดึงสายตากลับมา พลางทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“คุณหนูรองช่างสายตาเฉียบคม” ผู้อาวุโสคิ้วขาวถามเสียงเบา “เช่นนั้นให้ข้า…”
“นางในตอนนี้ มิใช่สิ่งที่พวกเราต้องกังวล ไม่จำเป็นต้องถึงมือท่านหรอก”
ชือรุ่ยเออร์ยิ้มบาง แม้ริมฝีปากของนางจะซีดเผือด ทว่าลมปราณบนกายกลับฟืนฟูขึ้นมากกว่าเดิมแล้ว
“ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านางจะไปไหน ข้าล่ะอยากเห็นจริงๆ ว่านางจะสร้างคลื่นมรสุมลูกใดขึ้นอีก?”
“ขอรับ”
…
ครั้นราตรีกาลมาเยือน
เจียงจื่อหยวนฝืนพาตัวเองกลับไปยังหุบเขา โดยอาศัยความทรงจำก่อนหน้านี้ของนาง
ในยามนี้ กระดูกมังกรทั้งเก้าชิ้นสงบลงแล้ว พวกมันยืนแกร่วอยู่บนพื้นท่ามกลางความเงียบสงบ
ราวกลับหมดฤทธิ์ในยามราตรี
เจียงจื่อหยวนค่อยๆ ยื่นศีรษะออกไปจากชะง่อนหิน พลางก้มมองพื้นดินเบื้องล่าง
จากตรงนี้สามารถมองเห็นกองหินจำนวนหนึ่ง และประตูบานใหญ่ที่ยังคงเปิดอ้าไว้
เพียงแต่ข้างในมืดจนมองไม่เห็นสิ่งใด
แต่ก็ต้องลงไปอยู่ดี…
เจียงจื่อหยวนสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ แล้วกระโดดลงไป!
ทันทีที่กระโดดลงมา เจียงจื่อหยวนก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
คลื่นความร้อนที่เคยกระจายอยู่ทั่วหุบเขาหายไปแล้ว
ยามนี้นางยืนอยู่ไม่ไกลหน้าประตู แต่อายความร้อนที่พวยพุ่งออกมาก่อนหน้านี้ จางหายไปหมดแล้ว
เหลือเพียงลมปราณเย็นๆ ที่แสนจะเจือจาง
นางมองเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง
แต่น่าเสียดายที่จากตรงนี้ นางมองไม่เห็นอันใดเลย
ช่องขนาดใหญ่ที่ปรากฏบนประตูนั้น เกิดจากรอยฟาดฟันอันเฉียบคมและประณีต บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของผู้ถือครองกระบี่ได้อย่างชัดเจน รวมถึงความคมของใบมีดด้วย!
เจียงจื่อหยวนพลันนึกอิจฉาอย่างอดไม่ได้
ถ้าเป็นนาง แค่อาศัยพลังของตัวเอง คงไม่อาจทิ้งร่องรอยเช่นนี้ไว้บนประตูได้
แต่ฉู่เยว่ทำได้!
ถึงตอนนี้เขาจะเป็นแค่จอมยุทธ์ระดับเก้า แต่กลับแข็งแกร่งเกิดกว่าที่พวกเขาคิดไว้เสียอีก!
และกระบี่เล่มนั้น…
เพียงมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่ามันไม่ธรรมดา
ไม่รู้ชะตาเล่นตลกหรืออย่างไร ไยถึงทำให้เขาได้ดิบได้อยู่คนเดียวเช่นนั้น?
ในใจของเจียงจื่อหยวนเต็มไปด้วยโทสะ พลันกัดฟันแน่น แล้วย้ำเท้าไปด้านหน้า!
ขนาดฉู่เยว่ยังคว้าโอกาสเช่นนี้ไว้ได้ แล้วเหตุใด…นางจะทำไม่ได้!
…
เพียงสาวเท้าเข้าไปไม่กี่สิบเก้า ไม่นานเจียงจื่อหยวนก็เดินไปถึงหน้าประตู
นางชะงักฝีเท้า พลางลังเลอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ก่อนจะมองลอดผ่านรูโบ๋บนประตูเข้าไป
มันทั้งมืดและดูสลัว ราวมีแสงลอดผ่านเพียงน้อยนิด
แต่นางไม่สามารถระบุถึงสิ่งที่อยู่ภายในได้
นางใช้เวลาพิจารณาอยู่พักหนึ่ง และก้าวเท้าเข้าไปในที่สุด!
…
ขณะเดียวกัน ในที่สุดค่ายกลสีทองขนาดใหญ่ ก็ค่อยๆ สลายตัว!
พวกมันแปรสภาพกลับไปเป็นใบไม้จำนวนมากอีกครั้ง และบินกลับไปเกาะบนกิ่งก้านที่ไหวเอนไปตามแรงลมเช่นเดิม
การเคลื่อนไหวเช่นนี้ ทำให้ผู้คนที่เฝ้ามองอยู่แตกตื่น พลันหันมองนตามอย่างตั้งใจ
ท่ามกลางราตรีกาล ต้นโพธิ์สีทองม่วงเปล่งแสงเรืองรองออกมาจางๆ ขลับเน้นร่างเงาเพรียวบางของใครบางคนให้โดดเด่นท่ามกลางความมืด
นั่นมัน ฉู่หลิวเยว่!
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปยังดวงหน้าของนาง
ประกายแสงแวววาวกระทบลงบนใบหน้าขาวเนียนราวกลับหยก นัยน์ตาสีเข้มเกลี้ยงเกลาเปล่งประกายดุจดาราบนท้องฟ้ายามราตรี ครั้นกะพริบตา ก็ดูราวกับมีแสงแพรวพราวเปล่างประกายออกมาจากดวงตาคู่นั้น
“ฉู่เยว่!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงร้องตะโกนด้วยความตกใจ
ทุกคนเห็นเด็กหนุ่มผู้นั้นเงยหน้าขึ้น พร้อมกับมุมปากบางที่ยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
เสมือนไข่มุกประธีปที่เปล่งแสงเจิดจ้า ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบนี้
คนทั้งหมดต่างเงียบเสียงลง
เพียงใบหน้าที่แสนจะเรียบง่ายและธรรมดา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง รอยยิ้มนี้กลับทำให้มันดูตรึงตาตรึงใจอย่างยิ่ง
ฉู่หลิวเยว่เดินไปทางกลุ่มของสำนักหลิงเซียว
“ท่านผู้อาวุโส”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงรีบดึงอีกฝ่ายเข้ามา พลางจับหมุนเป็นวงกลมเพื่อนสำรวจความปลอดภัย
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? มิได้บาดเจ็บใช่หรือไม่? อินทรีสามตาพวกนั้นทำร้ายเจ้าหรือเปล่า?”
ฉู่หลิวเยว่อมยิ้มนิดๆ
“ศิษย์สบายดีขอรับ ท่านวางใจได้”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพลันโล่งอก
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
มีกษายะหางวายุคุ้มครองเช่นนี้ เจ้านกเถื่อนพวกนั่นย่อมมีกล้าทำอันใดเขา
เมื่อเห็นสีหน้าของเขา ฉู่หลิวเยว่ก็พอจะเดาได้ว่าเขาคิดกระไรอยู่ พลันกดยิ้มลึกอย่างนึกขัน
อันที่จริงนางไม่ได้ใช้ไพ่ตายใบนี้สักหน่อย มีจื่อเฉินอยู่ทั้งตัว ให้เขาออกไปรับหน้า น่าจะเหมาะกว่าถวนจื่อมิใช่หรือ?
แต่ตอนนี้นางไม่สามารถพูดเช่นนี้ได้
เมื่อสังเกตเห็นสายตาจากรอบด้าน ฉู่หลิวเยว่ก็หลุดหัวเราะออกมา พลางกล่าวว่า
“ข้าขอให้กษายะหางวายุเจรจากับพวกมัน และอธิบายทุกอย่างให้กระจ่าง พวกมันจึงไม่ทำร้ายข้า ใช่แล้ว ยังมีเรื่องสัตว์อสูรในพันธสัญญาของศิษย์พี่หญิงรุ่ยเออร์ด้วย สุดท้ายพวกมันก็ยอมคืนให้ขอรับ”
สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนเป็นสงสัยขึ้นทันตา
นี่มัน…
ไฉนทุกเรื่องที่ออกมาจากปากของฉู่เยว่ ถึงได้ฟังดูง่ายดายปานนั้น!