ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1368 บีบให้พูด
ตอนที่ 1368 บีบให้พูด
ฉู่หลิวเยว่เปลี่ยนใจ รีบเรียกชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงออกมาทันที!
แสงสีทองส่องประกาย ทำให้ผิวของนางมันวาวเหมือนหยก ดวงตากลมทอประกายระยิบระยับราวดวงดารา
ทันใดนั้น นางก็ก้าวไปข้างหน้า แล้วหยิบกระบี่ชื่อเซียวขึ้นมา!
การกระทำเหล่านี้มิใช่เรื่องยากเย็นอันใด หากแต่ฉู่หลิวเยว่ยังคงสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงที่คอยกดนางไว้
นางกระชับกระบี่ชื่อเซียวในมือแน่น
ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่า มันไม่ใช่แค่หลุมศพของยอดฝีมือผู้นี้เท่านั้น ที่เต็มไปด้วยพลังมหาศาล แต่ยังรวมถึงอาณาเขตเซียนเทพของเขาด้วย!
ดังนั้นความเร็วของเวลาในสถานที่แห่งนี้ จึงแตกต่างจากภายนอกโดยสิ้นเชิง และยังเป็นภัยคุกคามต่อนางหลังจากทะลวงขึ้นสู้จอมยุทธ์ระดับเก้าด้วย
ความเข้มข้นของพลังปราณโดยรอบ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และสิ่งนี้อันตรายต่อร่างกายมนุษย์มาก
เพราะถ้าไม่รีบออกไปจากที่นี่ แม้แต่ฉู่หลิวเยว่เองก็รับประกันไม่ได้ว่า นางจะมีชีวิตรอดอยู่ในนี้ได้นานแค่ไหน
นางหันหลังกลับ แล้วเดินไปที่ประตู
ขณะที่นางเคลื่อนไหว ห้วงมิติรอบตัวก็พลอยไหลวนตามนาง รวมทั้งเศษวัตถุสีดำเหล่านั้นเองก็ลอยตามมา
อากาศภายในถ้ำดูหนาขึ้น
ขาเรียวสาวเท้าต่อไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดอยู่ห่างจากหน้าประตูบานใหญ่เพียงสามก้าว
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ พลันยกกระบี่ในมือขึ้น!
พลังปราณอันแข็งแกร่งแผ่ปกคลุมไปทั่วกระบี่ชื่อเซียว!
นางฟาดกระบี่ออกไปทันทีโดยไม่ลังเล!
…
แกรก!
ทันใดนั้น ก็มีรูปรากฏขึ้นเหนือประตูบานใหญ่!
รอยแตกร้าวแผ่ขยายออกไปทันควัน!
ทุกคนจ้องมองภาพนั้นด้วยอารามตกใจ
ก่อนจะเห็นร่างสูงเพรียวก้าวออกมาจากรอยแยก!
ชายหนุ่มผู้นั้นรูปร่างอ้อนแอ้น และมีใบหน้าเกลี้ยงเกลา แลดูอายุไม่เกินสิบหกสิบเจ็ดหนาว
ยามนี้เขากำลังถือกระบี่เล่มคมไว้ในมือ บนกายนั้นเต็มไปด้วยลมปราณอันทรงพลังพวยพุ่งออกมา!
ดวงตาและเรียวคิ้วของเขาเผยให้เห็นสัญชาตญาณนักสู้อันดุเดือด!
ราวกับต้องการจะบดขยี้ทุกอย่างให้สิ้นซาก!
“ฉู่เยว่!?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงร้องตะโกนด้วยความตกใจและแทบไม่เชื่อสายตา
เจ้าหนูที่ทำให้พวกเขาอึ้งกันทั้งบางคนนั้น คือฉู่เยว่จริงๆ ใช่หรือไม่!?
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนตกตะลึงกันยกใหญ่
ฉู่เยว่?
คือคนที่ถูกขังอยู่ในนั้นหรือ!?
และยังรอดออกมาได้อย่างปลอดภัย!
แถมยัง…
“เจ้าทะลวงผ่านแล้วหรือ!?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงถามเสียงสั่นเครือ เนื่องจากอารามตกใจ
ถ้ามองไม่ผิด ดูเหมือนขอบเขตพลังปราณของฉู่เยว่ในตอนนี้จะเป็น…
จอมยุทธ์ระดับเก้า!?
ก่อนเข้าไป เขายังอยู่แค่ระดับแปดขั้นต้นมิใช่หรือ?
ไยตอนนี้ถึง…
หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่พังประตูออกมา นางก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ พลางหันมองไปรอบๆ
และเพียงกวาดตามอง นางก็เดาสถานการณ์ในตอนนี้ได้แล้ว
ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ จะเรียกให้คนจากตระกูลชั้นสูงและคนจากสำนักวิชาชั้นนำทั้งหมด ที่เตร็ดเตร่อยู่ในบุพกาลชายแดนเหนือมารวมตัวกันที่นี่…
เมื่อได้ยินเสียงเรียก นางก็หันไปมองผู้อาวุโสฮวาเฟิงทันควัน
ดวงตากลมกะพริบปริบๆ และเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาในใจออกไป
“ผู้อาวุโสขอรับ ข้างนอกนี่ผ่านไปนานเพียงใดแล้วขอรับ?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงตอบกลับทันที
“สามวัน ตั้งแต่วันที่เจ้าถูกดึงเข้าไปข้างในจนถึงตอนนี้ ก็ผ่านมาสามวันแล้ว”
แค่สามวันเองหรือ?
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง
เห็นได้ชัดว่าระบบเวลาที่อยู่ข้างในนั้น ดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามาก
ราวกับผ่านไปนานหลายเดือน กระทั่งเป็นปี
แต่เนื่องจากช่วงหลัง นางมุ่งความสนใจไปที่การทะลวงอย่างเดียว ทำให้นางไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานแค่ไหนแล้ว
คิดไม่ถึงว่าระหว่างที่นางหมกมุ่นอยู่กับการทะลวง เวลาของโลกภายนอกจะผ่านไปแค่สามวันเท่านั้น
เมื่อเห็นท่าทีของนาง ผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็เข้าใจได้ในทันที
ดูเหมือนว่าการไหลเวียนของเวลาข้างในนั้น จะแตกต่างจากภายนอกมาก
ดังนั้น… ฉู่เยว่ถึงทะลวงผ่าน และกลายเป็นจอมยุทธ์ระดับเก้าได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้!
เขาอ้าปากอยากจะถามสารพัดอย่าง แต่ครั้นจะพูดออกไป กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างใดดี
สุดท้ายก็ทำได้เพียงโบกมือเรียกฉู่หลิวเยว่
“เจ้าเด็กหน้าเหม็น ยังไม่รีบเดินมาหาข้าอีก!”
เด็กนี่จะรู้บ้างหรือไม่ ว่าช่วงนี้พวกเขาเป็นห่วงกันจะตายอยู่แล้ว!
ฉู่หลิวเยว่ก้มหน้าก้มตาแล้วเคลื่อนตัวผ่านไป
“เดี๋ยวก่อน!”
แต่แล้วกลับมีเสียงทุ้มต่ำและทรงพลังตะโกนขึ้นมาจากด้านข้าง หยุดรั้งฉู่หลิวเยว่ไว้
ฉู่หลิวเยว่เบนสายตาไปมอง
เจ้าของเสียงนั่นเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำ
นางไม่คุ้นหน้าคนผู้นี้เลยสักนิด แต่ยามนี้ ใบหน้าของเขากำลังเผยท่าทียียวนออกมาเสียเต็มประดา
ดูท่าไม่น่ามาดี!
ฉู่หลิวเยว่ตั้งสติ
“มิทราบว่าท่านผู้อาวุโสด้านหน้าเป็น…”
“จินตี้ จากสำนักปีกสุวรรณ!”
เขาตอบกลับเต็มเสียงและแฝงไปด้วยการยั่วยุเล็กน้อย
ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่กระบี่ชื่อเซียวในมือของฉู่หลิวเยว่ พลันยิ้มเยาะอย่างมีเลศนัย
“กระบี่เล่มนี้ ดูชินมือเจ้าดีนะ?”
ฉู่หลิวเยว่กระชับกระบี่ชื่อเซียวแน่น แต่สีหน้ายังคงเรียบสนิท
การที่คนจากสำนักปีกสุวรรณตั้งตนเป็นศัตรูกับนางนั้น ถือเป็นเรื่องปกติ
อย่างใดเสีย ตอนนี้กระบี่ชื่อเซียวก็เป็นของนางแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะทำอย่างใด ก็ไม่มีทางชิงมันไปได้
“ไอ้หนูนี่โชคดีนัก ไม่เพียงแต่ได้รับสมบัติหายากไปครอบครองแล้วชิ้นหนึ่ง แต่ยังได้โอกาสเข้าไปค้นหาอีกชิ้นด้านในอีก… ฉู่เยว่ เพื่อเห็นแก่หน้าตาของสำนักหลิงเซียว ข้าจะให้โอกาสเจ้า รีบส่งของที่เจ้าได้จากข้างในมาให้ข้าทั้งหมด! นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเอาไปได้!”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย และพบว่ากลุ่มคนที่อยู่รอบๆ มิได้แย้งเขา ราวกับเห็นด้วยกับคำพูดเหล่านั้น
แต่ทว่า…
ตลอดเวลาที่อยู่ข้างใน นางใช้เพียงพลังปราณแห่งสวรรค์และโลกอันทรงพลัง ในการทะลวงขึ้นสู่จอมยุทธ์ระดับเก้าเท่านั้น
แล้วนางต้องคืนอันใดให้เขาล่ะ?
“ผู้อาวุโสจินตี้ โปรดยกโทษให้ความโง่เขลาของข้าด้วย แต่ข้าไม่รู้ว่าท่านหมายถึงอันใด…”
แม้ฉู่หลิวเยว่จะไม่เข้าใจ แต่นางก็ยังให้เกียรติเขา
เนื่องจากมีคนอยู่เยอะ นางจึงไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวโดยเปล่าประโยชน์
จินตี้หัวเราะเยาะ ราวเริ่มหมดความอดทน
“อันใดกัน ไม่รู้หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่พูดอย่างใจเย็น
“ท่านมิชี้แจงให้แน่ชัด แล้วผู้น้อยอย่างข้าจะรู้ได้อย่างใด ว่าท่านหมายถึงอันใด”
จินตี้สบถเสียง “เหอะ” ออกมาเบาๆ
“ขนาดนี้แล้วเจ้ายังแกล้งบ้าอยู่อีกหรือ… แน่นอนว่าสิ่งที่พวกข้าต้องการ ก็คือหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์!”