ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1360 การเปลี่ยนแปลง ตอนที่ 1361 กระดูกมังกร
ตอนที่ 1360 การเปลี่ยนแปลง ตอนที่ 1361 กระดูกมังกร
ตอนที่ 1360 การเปลี่ยนแปลง
“นี่มัน… อันใดกัน?”
มีคนอุทานขึ้นเบาๆ อย่างอดไม่ได้
หลังจากที่พวกเขามาถึงบุพกาลชายแดนเหนือ ท้องนภากว้างล้วนเป็นสีเทาอึมครึม และพวกเขาก็ไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
“เหมือนว่า… มีคนกำลังจะทะลวงขั้นพลังปราณเลย!?”
แต่พอพูดไปเช่นนั้น ก็มีคนแย้งกลับทันที
“จะเป็นไปได้อย่างใด!? ในนั้นมีแค่ฉู่เยว่มิใช่หรือ? ตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ นับประสา…”
“แต่เราเองก็ไม่รู้สถานการณ์ภายใน ไม่แน่อาจเกิดการทะลวงขึ้นจริงๆ ก็ได้? เรื่องแบบนี้ใครจะไปรู้ได้แน่ชัดกัน?”
“… ถูกของเจ้า… อย่างใดเสีย ทุกคนที่มายังบุพกาลชายแดนเหนือ ต่างก็อยากมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นี่กันทั้งนั้น มิใช่หรือไร…”
ทุกคนต่างเงียบกริบ พลางหันมองหน้ากัน
ประตูบานใหญ่ปิดสนิท และถูกปิดทับด้วยกองหินมากมาย
ถึงอยากจะเห็นสภาพด้านในมากแค่ไหน ก็มองไม่เห็นอยู่ดี
แต่จากการเคลื่อนไหวนี้ ดูเหมือนมีคนกำลังจะทะลวงพลังปราณจริงๆ
“รออีกสักนิดเถอะ!”
หัวหน้ากลุ่มขมวดคิ้วพลันเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง
ยามที่ผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นๆ จากไป อีกฝ่ายได้ขอพวกเขาช่วยดูแลฉู่เยว่
และดูจากตอนนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าการที่ฉู่เยว่ถูกเข้าไปมีส่วนในเรื่องนี้นั้น จะเป็นเพราะเคราะห์กรรมหรือวาสนากันแน่…
“ตอนนั้นมีใครเห็นภาพที่เกิดขึ้นชัดๆ บ้าง?”
เขาถามขึ้นทันที
“ฉู่เยว่อยู่แถวหน้าสุดใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่”
ชายรูปร่างผอมสูงที่อยู่ข้างๆ เขาส่ายหัว
“ตอนนั้นคนที่อยู่หน้าสุดคือผู้อาวุโสฮวาเฟิงและกลุ่มของชือรุ่ยเออร์จากเฟยซิงเหมิน ส่วนฉู่เยว่ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา”
“แล้วเหตุใดคนที่ถูกดูดเข้าไปถึงเป็นเขา?”
“เรื่องนั้น… ยามที่ทุกคนติดอยู่ในพายุทราย จู่ๆ ฉู่เยว่ก็เหมือนถูกบางอย่างดูดเข้าไป และหลังจากเข้าไปแล้ว ประตูนั่นก็ปิดลงทันที”
ตอนแรกเขาไม่ได้นึกเอะใจ แต่พอคิดทบทวนดูแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนั้น กลับดูแปลกประหลาดไปเสียหมด
“… รอดูไปก่อนแล้วกัน”
“ขอรับ”
หัวหน้ากลุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอันมืดมิด
มหันตภัยคราใหญ่กำลังคลืบคลานเข้ามา
ผู้อาวุโสฮวาเฟิง รวมทั้งศิษย์คณาจารย์หลายคนในสำนักหลิงเซียว ล้วนเป็นห่วงฉู่เยว่ที่ถูกขังอยู่ในประตู
แต่บางที…
มันอาจเป็นชะตากรรรมของฉู่เยว่ผู้นั้นก็ได้…
…
ทุกวินาทีที่ผ่านพ้นไป ล้วนสร้างความลำบากใจให้แก่คนที่รออยู่ด้านนอก
ต่างจากฉู่เยว่ที่เพิกเฉยต่อเวลาและกำลังเตรียมตัวทะลวงอย่างใจจดใจจ่อ โดยวางแผนจะทะลวงขึ้นสู่จอมยุทธ์ระดับเก้าให้ได้ในคราวเดียว!
ร่างกายของนางเปรียบเสมือนหลุมดำ ที่กลืนกินพลังปราณรอบด้านอย่างไม่หยุดหย่อน
พลังเหล่านี้ไหลผ่านไปทั่วร่างกาย มันหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อและกระดูกทีละส่วนของนาง
อัตราการกลืนกินแลหลอมรวมพลังปราณ พุ่งพรวดขึ้นอย่างน่าตกใจ
รอยแตกร้าวปรากฏขึ้นทั่วป้ายหลุมศพ
เส้นรอยแตกสีดำหลายเส้นที่ตวัดผ่านป้ายหลุมศพนั้น ราวเต็มไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว
หากมันระเบิดออกมา จะสามารถกลืนกินและทำลายทุกสิ่งในทันที!
ลายเส้นอันงดงามแปดเส้นปรากฏขึ้นบนไข่มุกธารา
พลังปราณนั้นหมุนวนราวกับเกลียวคลื่นที่ล้อมรอบมันไว้
ฉู่หลิวเยว่หลับตาแน่น แผงขนตาสีดำหนายาวงอนสั่นไหวเล็กน้อย
ประหนึ่งทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก ที่เพียงโบกสะบัดเบาๆ ก็สามารถทำให้เกิดมหันตภัยครั้งใหญ่ได้!
กรรร์!
ทันใดนั้น ก็มีเสียงมังกรคำรามดังออกมาจากหลุมศพ!
ฉู่หลิวเยว่ใจเต้นระรัว แม้แต่พลังปราณในกายเองก็ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจากเสียงคำรามนั่น และเริ่มตื่นตัวพุ่งพล่านราวกำลังจะระเบิดออกมาจากตัวนาง!
แควก!
ถวนจื่อเงยหน้ามองท้องฟ้าพลางกู่ร้องเสียงดัง ระดับเสียงอันทรงพลังแผดกระจายไปทั่ว! สู้กับพลังของมังกรตัวนั้น!
ด้วยความช่วยเหลือของถวนจื่อ ไม่นานฉู่หลิวเยว่ก็ดีขึ้น
นางรีบรวบรวมพลังปราณในจุดตันเถียน และสาดมันเข้าไปในไข่มุกธารา!
เปรี้ยง!
พลังปราณทั้งสองปะทะกัน พลันกระจายออกไป!
และพุ่งเข้าสู่อวัยวะสำคัญภายในของฉู่หลิวเยว่ทันที!
ความปวดร้าวแล่นแปลบไปทั่วร่างกาย!
ไข่มุกธาราหยุดหมุน ร่างบางของฉู่หลิวเยว่สั่นสะท้าน พลันกระอักเลือดออกมาคราหนึ่ง
ใบหน้านวลซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว พลังปราณในจุดตันเถียนของนางทำท่าจะสลายไปอยู่รอมร่อ
นางฝืนนั่งตัวตรงแล้วปาดเลือดตรงมุมปากออก ก่อนจะรวบรวมพลังปราณขึ้นมาใหม่แล้วลองอีกครั้ง!
เปรี้ยง!
ลายเส้นแปดเส้นบนไข่มุกธาราส่องแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ
หากแต่ยังไร้สัญญาณของลายเส้นที่เก้า
ฉู่หลิวเยว่จัดระบบลมปราณภายใน พลางดูดกลืนพลังปราณแห่งสวรรค์และโลกจากภายนอกไม่หยุดหย่อน
แกรก!
กลางป้ายหลุมศพแตกเป็นรู พร้อมรอยร้าวที่แตกแขนงออกไปทั่วแผ่นหิน!
มีพลังบางอย่างแวบออกมาจากรูตรงกลางนั่น พลันสงบลงอย่างรวดเร็ว
…
ขณะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นหลังประตู พวกผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็เคลื่อนตัวออกไปไกลแล้ว
พวกเขาอยู่ในหุบเขา และเดินในทิศทางตรงกันข้ามจากก่อนหน้านี้
มีเสียงหินกลิ้งลงมาข้างหลังดังขึ้นไม่ขาดสาย ส่งผลให้พวกเข้าต้องมุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ
หลังจากเดินไปได้ระยะหนึ่ง สุดท้ายผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง
แน่นอนว่าตอนนี้พวกเขามองไม่เห็นอันใดทั้งสิ้น นอกจากท้องฟ้าดำมืดที่อยู่ไกลออกไป
“เกิดอันใดขึ้นที่นั่นกัน?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล
“ไม่น่าใช่หิมะตกหรอกกระมัง?”
ผู้อาวุโสที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน หันมองตามสายตาของเขา พลางกล่าวด้วยอารมณ์คาดเดา
พวกเขาอยู่ที่นี่นานพักใหญ่แล้ว และเผชิญกับช่วงหิมะตกอยู่หลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งท้องฟ้าจักมืดครึ้มเช่นนี้
แต่กลับมีบางอย่างทำให้ผู้อาวุโสฮวาเฟิงไม่สบายใจอยู่เนืองนิจ
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วดึงสายตากลับมา และหันไปมองผู้อาวุโสอีกคน
“ตอนนี้ตันชิงอยู่ที่ใดแล้ว? และอยู่ห่างจากเราเท่าใด?”
ผู้อาวุโสคนนั้นหยิบตราหยกขึ้นมา แล้วกล่าวด้วยความตกใจ
“เหมือนว่าตันชิงเองก็กำลังมาทางนี้ อีกไม่นาน เดี๋ยวเราก็ได้พบเขาแล้ว”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงผ่อนลมหายใจออกเบาๆ
“เช่นนั้นก็ดี”
ยามนี้ยิ่งรวมตัวกันได้มากเท่าไร ก็ยิ่งดีสำหรับพวกเขา
“หวังว่าตันชิงจะอยู่กับพวกปั๋วเหยี่ยนนะ หรือไม่ก็…”
หรือไม่ก็ รู้ข่าวคราวของปั๋วเหยี่ยนสักนิดก็ยังดี
เจียงจื่อหยวนที่ได้ยินพลันชะงักปลายเท้าเสียดื้อๆ
พวกท่านอาจารย์… ใกล้จะมาถึงแล้วหรือ?
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลันหันหลังกลับแล้วรีบเดินไปหากลุ่มของผู้อาวุโสฮวาเฟิง
“ผู้อาวุโสฮวาเฟิง พวกเราใช้เนินด้านหน้าปีนขึ้นไปข้างบนกันเถอะเจ้าค่ะ”
เหล่าผู้อาวุโสตกตะลึง
“กระไรนะ”
เจียงจื่อหยวนยิ้มแหยราวประหม่า
“ท่านเห็นชะง่อนผาที่พังทลายตรงนั้นหรือไม่? จู่ๆ ศิษย์ก็นึกขึ้นได้ว่า ดูเหมือนก่อนหน้านี้ศิษย์จะเข้ามาทางนั้น และหากเราปีนขึ้นไปทางนั้น แล้วเดินไปตามเส้นทางที่เหลือ น่าจะปลอดภัยกว่า”
“ก่อนหน้านี้ข้าถามเจ้า แต่เจ้าบอกว่าปวดหัวจนจำอันใดไม่ได้ มิใช่หรือไร?”
ชือรุ่ยเออร์ย้อนถามทันที พลางจ้องมองเจียงจื่อหยวนราวจับสังเกต
อันใดจะบังเอิญปานนั้น จะบอกว่าอยู่ๆ นางก็จำได้อย่างนั้นหรือ?
“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยบอกว่าเจ้าเคยเดินผ่านช่องผานั่น… ถ้าเจ้ามาจากทางนั้นจริงๆ ก็… ไม่น่าจะมองไม่เห็นหุบเขานี้หรอกกระมัง?”
เจียงจื่อหยวนแทบกลั้นหายใจ พร้อมความเกลียดชังที่ปรากฏขึ้นในใจของนาง
สิ่งที่นางเกลียดมากที่สุดในตัวชือรุ่ยเออร์ก็คือ นอกจากนิสัยเย่อหยิ่งหัวสูงของนางแล้ว ยังมีนิสัยสอดรู้สอดเห็นเจาะลึกเรื่องของคนอื่นอีก ซึ่งมันทำให้นางหงุดหงิดมากๆ!
“ข้า… ข้าเคยเดินผ่านทางนี้จริงๆ แต่ตอนนั้นข้ามัวแต่หนีเอาชีวิตรอด เลยไม่ได้สนใจสิ่งอื่น แต่พอลองนึกดูตอนนี้ ถ้าข้าผ่านเส้นทางนี้แล้วรอดมาเจอทุกคนได้ มันก็…น่าจะปลอดภัยนะ?”
นางกล่าวพลางเหลือบมองผู้อาวุโสฮวาเฟิงด้วยความไม่สบายใจ
“ผู้อาวุโสเจ้าคะ ศิษย์ทำเพื่อทุกคน มิได้มีเจตนาอื่นใด ไม่มีใครรู้ว่าอีกฟากหนึ่งของหุบเขานั้น มีอันใดรอเราอยู่ แต่พวกเราจักทนเดินอยู่ในหุบเขานี่ต่อไปจริงๆ หรือ…”
ชือรุ่ยเออร์ยิ้มเยาะหนึ่งที
“เดินหน้าต่อไป ก็ดีกว่าเดินดุ่มเข้าไปในที่ที่ไม่รู้จัก มิใช่หรือ? ใครจะรู้ว่ามันปลอดภัยจริงๆ หรือว่า…”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเงยหน้าขึ้นมอง
“ลองเดินต่อไปเรื่อยๆ ก่อน”
เจียงจื่อหยวนขบกัดริมฝีปากแน่น แต่ไม่กล้าแย้งอันใด และจำต้องฝืนตอบตกลงไป
ดูท่าแล้วคงต้องค่อยหาวิธีแก้ไขภายหลัง…
เปรี้ยง!
ทันใดนั้น พื้นดินทั้งหมดในหุบเขาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!
“เกิดอันใดขึ้น!?”
ทุกคนพลันตื่นตะหนกแล้วหันไปมองหน้าผาที่ตั้งตระหง่านทั้งสองด้าน ด้วยความกลัวว่าหุบเขาแห่งนี้จะถล่มลงมาอีก
และถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ขึ้นอีกครั้ง พวกเขาคงทนมันเป็นครั้งที่สองไม่ไหว…
ชือรุ่ยเออร์พลันหายใจติดขัด
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงที่ได้ยินเสียงผิดปกติ หันขวับไปมองนางทันที
“เป็นอันใดหรือ รุ่ยเออร์??”
ชือรุ่ยเออร์พูดอันใดไม่ออก และทำเพียงยกมือขึ้นชี้ไปทางหนึ่งด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นๆ หันมองตาม พลันตกใจจนอ้าปากค้าง
โครงกระดูกสีขาวราวกับหยกค่อยๆ โผล่ออกมาจากพื้นดิน!
พื้นแข็งกร้านแตกระแหง รอยแยกเล็กใหญ่แผ่ขยายปกคลุมราวชั้นของใยแมงมุม
โครงกระดูกนั่นพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน ก่อนจะค่อยๆ ก่อตัวเป็นเนินเขาเล็กๆ
ก้อนหินมากมายกลิ้งหล่นลงมาขณะโครงกระดูกผุดขึ้น
ทรายสีแดงไหลออกเป็นทาง พลางส่งเสียงซาๆ ไม่ขาดสาย
“นี่มัน…”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงอ้าปากพะงาบ
ในใจพลันคาดเดาไปต่างๆ นาๆ!
แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เศษโครงกระดูก!
แต่เป็นโครงกระดูกทั้งชิ้นต่างหาก!
โครงกระดูกนั่นค่อยๆ เผยให้เห็นรูปร่างดั้งเดิมของมัน
มันคือโครงกระดูกที่มีลักษณะยาวและมีสีขาวสนิทเป็นเนื้อเดียว ความขาวสว่างนั้นส่องประกายเรืองรองจางๆ
และหากสังเกตดีๆ จะเห็นของเหลวสีใสไหลเวียนเอื่อยๆ อยู่ภายใน
พร้อมแรงข่มที่แผ่กระจายออกมาจากด้านบน!
“นี่ไม่ใช่กระดูกมนุษย์!”
ใครบางคนอุทานขึ้น
บรรยากาศโดยรอบพลันเงียบกริบ
ขนาดนี้แล้ว พวกเขาย่อมตระหนักถึงความจริงข้อนี้ได้!
แต่ถ้ามันไม่ใช่กระดูกมนุษย์ แล้วมันจะเป็น…
“ข้างหลังยังมีอีก!”
ชายชราคิ้วขาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ชือรุ่ยเออร์กล่าวเสียงเข้ม
ชือรุ่ยเออร์และคนอื่นๆ หันไปมองทันที ก่อนจะเห็นซากกระดูกที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขาทางด้านหลัง ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินทีละนิด!
รูปร่างและขนาดของมัน เหมือนกับชิ้นที่โผล่ขึ้นมาก่อนหน้านี้ไม่มีผิด!
พื้นดินยังคงสั่นสะเทือนไม่หยุด
โครงกระดูกหลายชิ้นปรากฏขึ้นในหุบเขามากขึ้นเรื่อยๆ
“หนึ่งชิ้น สองชิ้น…”
ผู้อาวุโสคนนี้กวาดตามอง และค่อยๆ ลดเสียงลง
เพราะจำนวนกระดูกทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นในหุบเขานั้น เกินความคาดหมายของพวกเขามาก!
กระดูกสีขาวเหล่านี้จัดวางกันอย่างมีรูปแบบ เนื่องจากความกว้างของช่องว่างระหว่างกระดูกสองชิ้นนั้น มีขนาดเท่ากันพอดิบพอดี
และยังมีลักษณะเหมือนกันแทบทุกประการ
“นี่มันอันใดกัน?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงมองมันจากระยะไกลอย่างแทบไม่เชื่อสายตา
คนธรรมดาที่ไหนจะฝังกระดูกมากมายเช่นนี้ไว้ใต้พื้นดิน แถมยังจัดวางในลักษณะนี้อีก!?
โครงกระดูกหลายชิ้นปรากฏขึ้นในหุบเขามากขึ้นเรื่อยๆ
“หนึ่งชิ้น สองชิ้น…”
ผู้อาวุโสคนนี้กวาดตามอง และค่อยๆ ลดเสียงลง
เพราะจำนวนกระดูกทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นในหุบเขานั้น เกินความคาดหมายของพวกเขามาก!
กระดูกสีขาวเหล่านี้จัดวางกันอย่างมีรูปแบบ เนื่องจากความกว้างของช่องว่างระหว่างกระดูกสองชิ้นนั้น มี
คนธรรมดาที่ไหนจะฝังกระดูกมากมายเช่นนี้ไว้ใต้พื้นดิน แถมยังจัดวางในลักษณะนี้อีก!?
ทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวเขา
ประเดี๋ยวก่อน!
นี่ไม่ใช่กระดูกของมนุษย์ เช่นนั้น…ก็เป็นไปมากที่มันจะเป็นกระดูกของสัตว์อสูร
หากแต่มีสัตว์อสูรไม่กี่สายพันธุ์ ที่มีโครงกระดูกขนาดใหญ่เช่นนี้ บวกกับเสียงมังกรคำรามที่เคยได้ยินก่อนหน้านี้อีก…
กรร์!
เสียงมังกรคำรามดังกึกก้อง!
ทุกคนหันไปมองทางต้นเสียง พลันตกใจกันแทบสิ้นสติ!
ไกลออกไป กะโหลกมังกรสีขาวขนาดใหญ่โผล่พรวดขึ้นมาจากพื้น! พร้อมแรงกดดันอันทรงพลังเกินต้าน!