ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1355 รวมตัวกัน
ตอนที่ 1355 รวมตัวกัน
“ท่านผู้อาวุโสอย่าได้วิตกกังวลไป พวกข้าเพียงกลับมาดู มิได้มีเจตนาอื่น”
บุรุษผู้เป็นดั่งหัวหน้ากลุ่มประสานหมัดคารวะเขาด้วยความยำเกรง
แต่ผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นๆ กลับมิเชื่อวาจาเหล่านั้น
ก่อนหน้านี้พวกเขาแยกตัวออกไปแล้ว แต่จู่ๆ ก็ดันวกกลับมาอีก และคงไม่ได้กลับมาโดยไร้สาเหตุแน่ๆ
คนจากเขาหลิงอวิ้นหันไปสบตากัน
คราแรกพวกเขาต้องการออกไปจากที่นี่จริงๆ แต่หลังจากจัดการกับเหลี่ยงเส่าคังแล้ว ไม่ว่าจะเดินเท้าไปไกลแค่ไหน กลับไปไม่ถึงจุดสิ้นสุดของหุบเขาเสียที และอีกใจก็อยากรู้สถานการณ์ฝั่งนี้เช่นกัน สุดท้ายแล้วพวกเขาจึงวนกลับมาที่เดิม
ก่อนหน้านี้พวกเขาอยู่ห่างออกไปไม่มาก จึงมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ชัดเจน
และที่น่าตกใจที่สุดก็คือ ยามที่ฉู่เยว่ถูกดูดเข้าไปในประตู
เนื่องจากเมื่อก่อนพวกเขาเองก็เคยประสบภัยอันตรายคล้ายๆ กันเมื่อมาที่นี่
แต่ในช่วงเวลานั้น คนของเขาเกือบครึ่งหนึ่งเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บสาหัส และประตูบานนั้นก็ยังไม่เปิด
“ผู้อาวุโสฮวาเฟิง หากท่านไม่รังเกียจ พวกข้าสามารถร่วมมือกับท่าน แล้วช่วยกันลองเปิดประตูบานนี้ได้”
ชายผู้นั้นไม่สนใจท่าทีระแวดระวังของพวกเขา และกล่าวเสริมเรื่อยๆ
ครั้นพูดจบ ทุกคนก็หันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย
“จริงหรือ?”
แค่ใช้พลังของทางเขาฝ่ายเดียว อาจยากเกินกว่าจะเปิดมันได้
หากมีกำลังเสริมเพิ่มเข้ามา ย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ
ถึงพวกเขาจะมีกันอยู่ราวสิบคน แต่โชคดีที่พวกเขาล้วนมีพละกำลังมหาศาล
และบางทีอาจจะช่วยเขาได้จริงๆ
“ว่ากันตามตรง ข้ารู้สึกเสียดายที่เห็นประตูนั่นเปิดออก โดยมิใช่ฝีมือของทางเรา ถ้าเปิดมันพร้อมกันได้… น่าจะดีต่อทั้งสองฝ่ายมิใช่หรือ?”
หัวหน้ากลุ่มคนนั้นซื่อตรงนัก เขากล่าวออกมาโดยตรงตามที่คิดโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจะพูดว่า
“ตกลงตามนั้น”
…
ภายในประตู ทุกอย่างล้วนสงบเงียบ
ฉู่หลิวเยว่นั่งหลับตาขัดสมาธิอย่างเงียบเชียบ พลางกลืนกินพลังปราณรอบตัวนางอย่างต่อเนื่อง
แตกต่างจากภายนอก พลังปราณที่นี่บริสุทธิ์มาก นางจึงไม่ห่วงว่าจะเกิดการดูดกลืนอย่างบ้าคลั่งเหมือนก่อนหน้านี้
ไข่มุกธาราหมุนวนอย่างเชื่องช้า พลางกลั่นกรองพลังปราณเหล่านั้น
เสมือนสายน้ำที่ไหลลงสู่ท้องทะเลด้วยความสงบนิ่ง
เมื่อเวลาผ่านไป ลมปราณที่ห่อหุ้มกายของฉู่หลิวเยว่ ก็เพิ่มพูนความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
…
เวลาล่วงเลยมาถึงยามค่ำ
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นๆ ยืนประจันหน้าประตูบานใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิท ทั่วทั้งบริเวณโดยรอบไร้ซึ่งแสงสว่าง มีเพียงประตูบานนั้นที่ยังเปล่งแสงสีแดงจางๆ ออกมา
ราวกับประตูนรก ที่ปล่อยอายเย็นยะเยือกออกมาอย่างน่าขนลุก
ชั้นบรรยากาศรอบตัวพลันเย็นลง ราวกับกำลังจะถูกแช่แข็งทีละนิด
“พวกเราลองมาหลายวิธีแล้ว แต่แค่จะเข้าใกล้ประตูอีกสักสามก้าว ยังทำไม่ได้เลย นับประสาอันใดกับการเปิดประตู…”
ในที่สุดผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็พูดออกมา ทุกคำที่กล่าวมานั้นเปรียบเสมือนก้อนหินใหญ่หล่นทับหัวใจของคนฟัง
พวกเขาทำเต็มที่แล้วจริงๆ
แต่ก็มีบางอย่างที่พวกเขาทำไม่ได้เหมือนกัน
ต่อให้คิดหาอีกกี่หมื่นวิธี ก็ไม่ได้ผล
“ผู้อาวุโสเจ้าคะ ท่านจะยอมแพ้แล้วหรือ?”
ชือรุ่ยเออร์เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก พลางขมวดคิ้วถาม
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเงียบเสียงไปนาน
แน่นอนว่าเขาไม่อยากยอมแพ้ ฉู่เยว่ยังติดอยู่ข้างใน ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างใด
เขาเป็นคนพาเด็กนั่นมาด้วย หากมิอาจพากลับไปได้อย่างปลอดภัย เขาได้ทุกข์ใจไปจนตายแน่ๆ
หลังจบเรื่องบุพกาลชายแดนเหนือ เขายังอยากกลับไปรับเจ้าเด็กนี่เป็นศิษย์อยู่นะ!
แต่ทว่า…
ตอนนี้พวกเขาเปิดประตูบานนี้ไม่ได้
แม้แต่พลังจากคนของเขาหลิงอวิ้น ก็ยังทำให้ประตูบ้านนี้สั่นคลอนไม่ได้
ขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง ก็อุทานด้วยความตกใจ
ท่ามกลางความเงียบสงัดเช่นนี้ ทำให้เสียงนั่นดังเป็นพิเศษ
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงขมวดคิ้วฉับ พลันหันไปมอง
“มีอันใดหรือ?”
ผู้อาวุโสคนนั้นเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ เขากระชับตราหยกสีเขียวในมือแน่น ปลายนิ้วสั่นไหวด้วยความหวาดหวั่น
“ฮวา ฮวาเฟิง… ตันชิงกำลังตามหาพวกเรา!”
“กระไรนะ!?”
ผู้ฮวาเฟิงสะดุ้งสุดตัวแล้วพุ่งตัวไปหาเขา
ผู้อาวุโสคนนั้นยื่นตราหยกให้เขาดู
“เจ้าดูสิ เมื่อครู่ตราหยกของข้าสัมผัสได้ถึงตันชิง”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาแล้วมองเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะเห็นจุดดาวปรากฏขึ้นบนนั้น
“เมื่อก่อนข้ากับตันชิงเคยออกเดินทางด้วยกัน และเพื่อสะดวกในการติดต่อ เราจึงใช้วิธีเพื่อระบุตัวตนของกันและกัน แต่มันผ่านมาหลายปีแล้ว ถ้าข้าไม่เห็นมันเสียก่อน อาจลืมไปแล้วก็ได้…”
ผู้อาวุโสคนนั้นอธิบายเสียงเบาหวิว ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความตกใจระคนยินดี
“อย่างน้อยนี่ก็แสดงให้เห็นว่าตันชิงยังมีชีวิตอยู่ ขอแค่ตามเจ้าสิ่งนี้ไป พวกเราก็จะกลับไปรวมตัวกับคนที่เหลือได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ขจัดความเศร้าโศกก่อนหน้านี้ออกไป แล้วกลับมาฮึกเหิมอีกครั้ง
หลังจากดิ้นรนอยู่ในบุพกาลชายแดนเหนือที่แสนป่าเถื่อนแห่งนี้อยู่นานวัน นอกจากเจียงจื่อหยวนแล้ว พวกเขาก็ไม่เคยเห็นคนจากสำนักวิชาปรากฏตัวขึ้นอีกเลย
พวกเขาเกือบจะหมดหวังอยู่รอมร่อ
ทว่าตอนนี้ พอได้ยินข่าวของผู้อาวุโสตันชิง ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
“เดี๋ยวก่อน ครั้งนี้จะไม่เหมือนครั้งก่อนใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสอีกคนถามด้วยความกลัว
ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าพบผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนแล้ว แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ[1]เท่านั้น
ถ้าครั้งนี้มันเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก…
“ไม่น่าเป็นเช่นนั้น เพราะวิธีนี้จะใช้การได้ก็ต่อเมื่อ ตันชิงอัดฉีดพลังปราณของเขาใส่ตราหยก มันถึงจะส่งสัญญาณออกไปได้ ฉะนั้นโดยพื้นฐานแล้ว ย่อมไม่มีปัญหา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
คลื่นอารมณ์อันหนักหน่วงและหดหู่ของผู้อาวุโสฮวาเฟิง พลันบรรเทาลงในที่สุด
แต่ไม่ทันไร เขาก็จำต้องย่นคิ้วอีกครา
ตันชิงส่งสัญญาณกลับมา ถือว่าเป็นเรื่องดี
แต่ทางฝั่งพวกเขา…
ยังมีฉู่เยว่ที่ติดอยู่ข้างในด้วยมิใช่หรือ!?
เขาทิ้งฉู่เยว่ไว้ที่นี่เพียงลำพังไม่ได้
หลายคนหันมามองเขาพลางนึกถึงเรื่องนี้ และอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเงียบๆ
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วคืนตราหยกกลับไป
“เจ้าตอบเขากลับไป ดูสิว่าเขาจะมาหาเราได้หรือไม่ ยามนี้พวกเรา… ไปจากที่นี่ไม่ได้”
ผู้อาวุโสคนนั้นพยักหน้าตอบ
“ตกลง”
ทว่าหลังจากพูดจบ เขาก็ถามขึ้นอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้น… ฮวาเฟิง แล้วเราต้องรออยู่ที่นี่อีกนานเท่าใด?”
ถ้าฝั่งตันชิงเข้ามาไม่ได้ เช่นนั้น…
พวกเขามิอาจรออยู่ที่นี่ตลอดไปได้
พวกเขารออยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้
และนับตั้งแต่เข้ามาที่นี่ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับสัญญาณจากคนในสำนักวิชาเดียวกัน
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหลับตาลง
“ไว้ว่ากันอีกที”
อันที่จริงเขาเองก็ยังไม่แน่ใจ
“จื่อหยวน ก่อนหน้านี้เจ้าพูดว่า เจ้าพลัดแยกจากกลุ่มของผู้อาวุโสตันชิงสองครั้งแล้วใช่หรือไม่?”
จู่ๆ ผู้อาวุโสคนนั้นก็หันไปถามนาง
เจียงจื่อหยวนยืนอยู่ไม่ไกล หากแต่นางกลับนิ่งเงียบราวกับไม่ได้ยินอันใด ดวงตาสองข้างจ้องมองเพียงพื้นดินด้านล่าง ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่
ผู้อาวุโสตะเบงเสียงเรียกนางอีกครั้ง
“จื่อหยวน!?”
เจียงจื่อหยวนพลันดึงสติกลับมา ดวงหน้านวลเต็มไปด้วยความงุนงง
“หือ? อ่อ ใช่แล้ว… ตอนนั้นสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤติ เราจึงต้องแยกจากกัน ศิษย์เองก็ไม่รู้ว่า… ท่านอาจารย์และคนอื่นๆ หายไปไหน”
ผู้อาวุโสคนนั้นผงกศีรษะเบาๆ
“ไม่ต้องห่วง เร็วๆ นี้พวกเราน่าจะได้รวมกลุ่มกับอาจารย์ของเจ้าแล้ว”
[1] 竹篮打水一场空 ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ อุปมาว่าเป็นการกระทำที่สูญเปล่า ไร้ประโยชน์