ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1348 สงบ ตอนที่ 1349 กระดูกมังกร
ตอนที่ 1348 สงบ ตอนที่ 1349 กระดูกมังกร
ตอนที่ 1348 สงบ
ฉู่หลิวเยว่มุ่งหน้าไปทางก้นของหุบเขา
ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าใด ก็ยิ่งสามารถสัมผัสได้ถึงลมร้อนที่มาปะทะหน้าได้มากขึ้นเท่านั้น
อุณหภูมิแตกต่างจากทุ่งหิมะที่อยู่ด้านบนอย่างมาก ที่แห่งนี้อุณหภูมิสูง บอกว่าอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิก็ไม่เกินจริง
เมื่อเท้าทั้งสองข้างของฉู่หลิวเยว่แตะเข้าที่ทรายแดง ความรู้สึกอบอุ่นจนถึงร้อนผ่าวก็แผ่ซ่านออกมา
นางหลุบสายตามองลงเล็กน้อย
ลมพัดเม็ดทรายที่ปะทะเข้ากับใบหน้าคือความร้อน
เม็ดทรายเหล่านี้หยาบกว่าและแข็งกว่า การเดินแต่ละก้าวบนนี้ เท้าของพวกเขาจะไม่ได้จมลงไปเหมือนกับทะเลทราย
เพียงแค่ในจุดนี้ก็ถือว่าดีกว่าเดินบนหิมะหนาด้านบนแล้ว
นางกวาดสายตามองไปทั้งสองข้างทาง
ทรายสีแดงอยู่เต็มทั่วทุกพื้นที่ ไกลสุดลูกหูลูกตา
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงมาหยุดที่ด้านข้างของฉู่หลิวเยว่ จากนั้นก็มองตามสายตาของนาง เขาไม่สามารถปกปิดความประหลาดใจในแววตาได้
หากไม่ได้มาเห็นด้วยตาตนเอง เขาจะไม่มีทางเชื่อโดยเด็ดขาด ที่ด้านล่างนี้คาดไม่ถึงว่าจะมีหุบเขาแบบนี้อยู่ด้วย
อีกทั้ง…หุบเขาที่ว่านี้ ก็ดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
“ที่นี่มัน…”
เดิมทีเขาอยากจะถามฉู่หลิวเยว่ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่หลังจากที่พูดไปครึ่งหนึ่ง เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่านางก็ไม่น่าจะรู้เหมือนกัน
แต่ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม ที่แห่งนี้ดูจะปลอดภัยกว่าด้านนอกมาก
อย่างน้อยก็สามารถหลบอีกาเก้าหางได้พ้น
“ฉู่เยว่ เจ้าสุดยอดมากเลย! หาสถานที่แบบนี้เจอได้อย่างใด?”
ใบหน้าของชือรุ่ยเออร์เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมเดินเข้าไปหาฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มออกมา
“ศิษย์พี่ชมกันเกินไปแล้ว นี่เป็นความผิดพลาดของข้าต่างหาก ข้าเองก็ไม่รู้ว่าที่นี่…จะมีหน้าตาเป็นเช่นนี้”
คิ้วของชือรุ่ยเออร์ขยับเล็กน้อย ภายในใจของนางไม่เชื่อคำพูดนี้
ถ้าอีกฝ่ายไม่รู้จริงๆ แล้วจะมาถึงที่นี่โดยไม่มีอุปสรรคตลอดทางได้อย่างใด…
แต่หลังจากที่เห็นสีหน้าของฉู่หลิวเยว่ ก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ และไม่เหมือนกับเสแสร้ง…
นางจึงพับความคิดนั้นลงทันที ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม ก็ได้ช่วยพวกเขาแก้ปัญหาใหญ่ลงได้
“ข้าเป็นหนี้บุญคุณของเจ้าแล้ว”
ชือรุ่ยเออร์พูดด้วยรอยยิ้ม
“หากไม่ใช่เพราะเจ้า ไม่รู้ว่าวันนี้พวกเราจะเป็นอย่างใดบ้าง”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิด แต่ไม่ได้ปฏิเสธ
ชือรุ่ยเออร์มีความตั้งใจที่จะสานสัมพันธ์กับนาง และนางเองก็ค่อนข้างที่จะชื่นชมชือรุ่ยเออร์
มีสหายเพิ่มขึ้นอีกก็ไม่แย่
ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังเป็นบุคคลสำคัญอีกด้วย
ในขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นเบาๆ มีเพียงเจียงจื่อหยวนที่ตกลงมาบนกำแพงหิน ศีรษะและใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ดูจนตรอกอย่างมาก
เดิมทีนางก็กระโดดลงมาเหมือนกับคนอื่น แต่สุดท้ายพลังของนางก็มีไม่เพียงพอ กอปรกับบนร่างกายมีบาดแผลจำนวนไม่น้อย จึงไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นจึงกลายเป็นเช่นนี้
ผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา เขาเดินเข้าไปแล้วยื่นขวดโอสถหยกให้กับนาง
ผู้อาวุโสท่านนี้คือคนที่เคยจัดการแผลให้กับนาง
ในขวดโอสถนั้นจะต้องมียาอายุวัฒนะอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ในครั้งนี้ หลังจากผู้อาวุโสมอบโอสถให้แล้วเขาก็เดินจากไปในทันที ไม่ได้ช่วยนางจัดการแผลให้ใหม่
แม้ว่าตอนนี้ทุกคนจะรอดพ้นจากอันตรายแล้ว แต่เรื่องที่เจียงจื่อหยวนทำผิดก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ยังไม่สามารถปล่อยวางได้
…เรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย จะให้ปล่อยวางง่ายดายขนาดนั้นได้อย่างใด?
เจียงจื่อหยวนเองก็รู้ว่าตนเองผิด นางจึงไม่กล้าพูดจา และนั่งหลบอยู่ในมุมเงียบๆ
“ทางซ้าย ทางขวา สองเส้นทางนี้ พวกเราจะไปทางไหนดี?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงถามขึ้น
หลังจากผ่านประสบการณ์เหล่านี้ เขาก็เริ่มถามความเห็นจากฉู่หลิวเยว่โดยไม่รู้ตัว
ฉู่หลิวเยว่กอดอก แล้วจมอยู่ในความคิด
จากนั้นนางก็ชี้ไปทางขวา
“ทางนั้น”
ตอนที่ 1349 กระดูกมังกร
“ที่แห่งนี้เคยเป็นแม่น้ำ”
องค์ปฐมกษัตริย์พูดขึ้นมาเสียงต่ำ
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่ขยับเล็กน้อย นางเดินไปด้านหน้าด้วยสีหน้าปกติ
เหมือนว่าเมื่อพันปีก่อนที่องค์ปฐมกษัตริย์เคยมาที่นี่ มันแตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
จากทะเลเปลี่ยนเป็นนา ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว
“ภายในเม็ดทรายเหล่านี้มีพลังงานมากมาย เพียงแต่ว่ามันมีสิ่งปนเปื้อนมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่ควรดูดซับ”
องค์ปฐมกษัตริย์พูดขึ้นมาด้วยความเสียดาย
“ไม่อย่างนั้นเจ้าก็สามารถบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ได้”
“องค์ปฐมกษัตริย์ ข้าไม่รีบ แล้วท่านจะรีบเหตุใด”
“ความจริงแล้วข้าก็ไม่ได้รีบ แต่ทว่า…มีเพียงทางนี้เท่านั้น จึงไม่ถือว่าเป็นการทำผิดต่อพรสวรรค์ของเจ้า”
องค์ปฐมกษัตริย์ถอนหายใจออกมา
“เจ้าทะลวงด่านปรมาจารย์ค่ายกลระดับราชาได้แล้ว อีกทั้งหากข้าเดาไม่ผิดแล้วละก็ อีกไม่นานหลังจากนี้เจ้าจะสามารถทะลวงพันธนาการเข้าสู่ระดับปรมาจารย์โอสถ มีเพียงด้านการต่อสู้…ตามหลักการแล้ว เจ้ากลืนกินพลังฟ้าดินมากมายขนาดนี้ อย่าว่าแต่ทะลวงอาณาเขตเซียนเทพเลย อย่างน้อยตอนนี้เจ้าน่าจะเป็นจอมยุทธ์ระดับเก้าแล้ว”
แต่ว่า เปล่าเลย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการบำเพ็ญเพียรทั้งสามด้านของฉู่หลิวเยว่ ล้วนเป็นพรสวรรค์ที่ผู้คนต้องตกใจ
ไม่ว่าจะเลือกด้านไหนออกมา ก็ล้วนสุดยอดทั้งนั้น
การบำเพ็ญเพียรด้านค่ายกลและโอสถของฉู่หลิวเยว่นั้นราบรื่นมาโดยตลอด มีเพียงด้านการต่อสู้เท่านั้น…กับการเลื่อนขั้นของนางนั้นช้ามาก
มาจนถึงตอนนี้แล้วนางเพิ่งได้เป็นจอมยุทธ์ระดับแปด คนรอบข้างไม่รู้ แต่เขารู้อย่างชัดเจน
ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ฟื้นคืนชีพจรเทียนจิงได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่นางทะลวงด่านจอมยุทธ์ระดับเจ็ด นางได้ผ่านพลังจิตวั่งเสิ่น สถานการณ์ก็ไม่ธรรมดา แทบจะเรียกได้ว่าเป็นครั้งเดียวที่เขาเคยเห็นในชีวิตนี้
คนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ แต่กลับผ่านจอมยุทธ์ระดับแปดได้อย่างยากลำบาก…จริงๆ แล้วมันน่าแปลกใจอย่างยิ่ง
รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉู่หลิวเยว่
นางเคยชินกับมันมาตั้งนานแล้ว
หลังจากที่นางได้มาเกิดใหม่ ตั้งแต่ที่นางได้รับไข่มุกธาราเม็ดนี้มา นางก็พบว่าความสามารถด้านการต่อสู้ ถูกสิ่งนี้กดเอาไว้แทบจะตลอดเวลา
“แม้ว่าจะเป็นจอมยุทธระดับแปด แต่…ตอนที่เจอกับจอมยุทธ์ระดับเก้า ใช่ว่าข้าจะเอาชนะไม่ได้”
ฉู่หลิวเยว่พูดหยอกล้อออกมาหนึ่งประโยค
แต่อย่างใดก็ตาม ในครั้งนี้องค์ปฐมกษัตริย์มีความเห็นที่แตกต่างออกไป
“แต่ว่ามันก็ไม่เหมือนกัน”
“เยว่เออร์ ข้ารู้ว่าเจ้านั้นแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ความแตกต่างของระดับนั้น อยู่ที่นี่เจ้าอาจจะเห็นได้ไม่ค่อยชัดเจน ในระดับของเจ้าตอนนี้ ความแตกต่างของจอมยุทธ์ระดับแปดและระดับเก้า เจ้าสามารถชดเชยได้ในวิธีต่างๆ บางทีอาจจะเสริมสร้างได้ แต่หากเป็นระดับที่สูงขึ้นไป ยิ่งระดับสูงความแตกต่างก็มาก เมื่อถึงตอนนั้น หากเจ้าอยากจะท้าทายกับคนที่มีระดับเหนือกว่าเจ้า ก็จะไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้แล้ว”
“อย่างเช่น ตอนนี้เจ้าเป็นจอมยุทธ์ระดับเก้า อีกฝ่ายเป็นครึ่งเทพ เจ้าจะทำอย่างใด? แล้วหากเป็นระดับเทพล่ะ อีกฝ่ายสามารถใช้อาณาเขตเซียนเทพได้ และสามารถสยบเจ้าได้อย่างง่ายดาย ปัญหานี้…เจ้าเคยคิดมาก่อนหรือไม่?”
ในตอนนี้ฉู่หลิวเยว่สามารถยืมใช้พลังศักดิ์สิทธิ์สายนั้นต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งเซียนได้หนึ่งกระบวนท่า
กอปรกับกระบี่ชื่อเซียวนั้น สามารถสู้ให้เสมอกับอีกฝ่ายนั้นได้หรือไม่ก็ยังไม่ทราบ
ในที่สุดแล้วพลังเหล่านี้ก็เป็นพลังเสริมภายนอก
มีเพียงแค่ฝีมือของตนเองที่แข็งแกร่งเท่านั้น ถึงจะสามารถเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงได้!
ฉู่หลิวเยว่หลุบสายตาลงต่ำ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“องค์ไท่จู่ชี้แนะได้ถูกต้อง”
ความจริงแล้วสำหรับเรื่องนี้นางก็สงสัยมาโดยตลอด
เพราะดูจากสถานการณ์การประลองของงานชิงอวิ๋น ก่อนหน้านี้นางเคยทะลวงอาณาจักรเทพเซียนมาแล้ว เพียงแต่ว่านางสูญเสียความทรงจำส่วนนี้ไป และไม่มีทางที่จะสืบค้นได้
ไม่รู้…
หากตอนนี้นางสามารถทะลวงอาณาจักรเทพเซียนได้ มันจะเกิดอันใดขึ้นกันนะ?
…
เหมือนว่าเวลาจะผ่านไปนานมาก
ทุกคนเดินหน้าต่อไปอย่างเงียบเชียบ แต่กลับไม่รู้ว่าเมื่อใดจะถึงจุดหมาย
ความรู้สึกที่มองไม่เห็นความหวัง มันทำให้คนรู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างมาก
อีกทั้งยิ่งเดินไปด้านหน้ามากเท่าไร บริเวณรอบข้างก็ยิ่งร้อนมากเท่านั้น
“พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าที่แห่งนี้มันผิดปกติ”
ในที่สุดผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักก็พูดขึ้น พร้อมเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก
“ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้น อุณหภูมิของสถานที่แห่งนี้ไม่ปกติ”
ผู้อาวุโสท่านอื่นก็พยักหน้า
ด้วยความสามารถของพวกเขา ต่อให้เดินตากแดดกลางฤดูร้อน พวกเขาก็ไม่รู้สึกร้อนขนาดนี้
ความรู้สึกแบบนี้ เหมือนกับ…เหมือนกับมันแผ่ออกมาจากด้านใน
“พวกเจ้าดูสิ เหมือนว่าทิวทัศน์โดยรอบจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยนะ”
ฉู่หลิวเยว่ดึงสติกลับคืนมาได้แล้ว จากนั้นก็เงยหน้ามองไปโดยรอบ
เมื่อนางมองนางก็รู้สึกถึงความผิดปกติเช่นกัน
…หุบเขาเห็นทั้งสองข้างทาง มีเนินเขาและลวดลายปรากฏขึ้น
ดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์อันใดบางอย่าง และดูเหมือนว่ามันบิดเบี้ยวไปเพราะพลังพิเศษบางประการ
อย่างใดก็ตามมันดูแปลกตาอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถพูดได้ว่าความรู้สึกนี้มันมาจากที่ใด แต่ความรู้สึกที่ไม่ทราบสาเหตุก็ถูกสยบเอาไว้ด้วยแรงอันใดบางอย่าง
ทันใดนั้นเองนางก็หรี่สายตาลง พร้อมสาวเท้าก้าวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“ฉู่เยว่ เป็นอันใดไปหรือ?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงติดตามมาด้วยความประหลาดใจ
ฉู่หลิวเยว่ยืนห่างจากศิลาหนึ่งก้าว
เมื่อมองจากตรงนี้ไปก็เห็นเป็นหน้าผาสูงชันตั้งตระหง่านเป็นมุมฉาก
ซึ่งสามารถมองเห็นริ้วหิมะสีขาวด้านบนได้อีกด้วย
“เจ้ากำลังมองอันใดอยู่หรือ?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงมองตามสายตาของนาง แต่กลับไม่เห็นว่ามันมีอันใดไม่ถูกต้อง
ฉู่หลิวเยว่สาวเท้าขึ้นไปอีกหนึ่งก้าว กวาดทรายแดงที่อยู่ตรงนั้นออก
กระดูกครึ่งชิ้นปรากฏขึ้น
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงชะงักไป
เหมือนว่ากระดูกชิ้นนี้จะถูกฝังที่นี่เป็นเวลานานมากแล้ว เนื่องจากถูกเปิดเผยมาเพียงแค่ส่วนเดียว จึงไม่สามารถเดาได้ว่าลักษณะของมันนั้นเป็นอย่างใด และยิ่งไม่รู้ว่ามันคือกระดูกของสัตว์ชนิดใด
แต่ประเด็นสำคัญเลยก็คือ กระดูกชิ้นนั้นแวววาวประกายแสงเป็นอย่างมาก
หากมองให้ดีๆ จะเห็นประกายแสงที่ส่องสว่างด้านใน
นี่มันไม่ใช่กระดูกธรรมดาแน่นอน
ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้น จับกระดูกชิ้นนั้นแล้วดึงออกมา
แต่กระดูกส่วนที่อยู่ด้านล่างมันอยู่ใต้ศิลาใหญ่ ฉู่หลิวเยว่ลองพยายามหลายครั้งแต่ก็ล้มเหลว
สุดท้าย ฉู่หลิวเยว่จึงต้องล้มเลิกไป
“เดิมทีทุกอย่างควรจะฝังไว้อยู่ที่นี่สิถึงจะถูกต้อง”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นเสียงเบา จากนั้นก็ใช้มือกำทรายแดงขึ้นมา
ทรายเหล่านี้ น่าจะเป็นหินเหล่านี้ที่เปลี่ยนรูปร่างไป
ดังนั้นกระดูกครึ่งหนึ่งจึงถูกเปิดเผยออกมา
เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันคือกระดูกของใครกันแน่ คาดไม่ถึงว่ามันจะถูกฝังเอาไว้อย่างแน่นหนาเช่นนี้
“นี่มันไม่ใช่กระดูกมนุษย์”
อินทรีสามตาพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไป
“ไม่ใช่กระดูกมนุษย์? เช่นนั้นก็เป็น…”
“เป็น…กระดูกมังกร!”