ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1339 บังเอิญเจอ
อนที่ 1339 บังเอิญเจอ
“รุ่ยเออร์”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพูดแทรกนางขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ชือรุ่ยเออร์หันศีรษะกลับไป
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า
“ได้ยินมาว่าช่วงนี้เฟยซิงเหมินของเจ้าได้รับสัตว์อสูรตัวใหม่มาหรือ?”
เขาเปลี่ยนเรื่องพูดได้อย่างกะทันหัน ทุกคนสามารถมองออกว่าผู้อาวุโสฮวาเฟิงต้องการจะสื่ออันใด
แววตาของชือรุ่ยเออร์สั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้าค่ะ ช่วงนี้ท่านพ่อของข้าเพิ่งล่าอินทรีสามตามาใหม่หนึ่งตัว”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่กระตุกวูบ
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสฮวาเฟิงไม่อยากให้ชือรุ่ยเออร์พูดถึงหรงซิวในปีนั้น
น่าจะเป็นเพราะเรื่องที่เกี่ยวกับนาง
แล้วอีกอย่าง…นางก็คิดไม่ถึงเลยว่า ก็จะมีอินทรีสามตาด้วยเช่นเดียวกัน
นับว่าเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ
“อินทรีสามตามีสายเลือดสูงส่ง ดุร้ายหยิ่งผยอง แทบจะไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์เลย และตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมามันก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาเลย ดูเหมือนว่าครั้งนี้ ท่านพ่อของเจ้าคงจะโชคดีมากแล้ว”
ชือรุ่ยเออร์ยิ้มอย่างสดใส
“ท่านพูดได้ถูกต้อง อินทรีสามตาทำให้เชื่องมันยากมาก ท่านพ่อกว่าจะสร้างความคุ้นเคยกับมันก็ต้องใช้เวลากว่าสามเดือน จนในตอนนี้ถือว่ามันเชื่องมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว”
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็สามารถสัมผัสระลอกคลื่นที่แผ่ออกมาจากร่างกายได้
เหมือนว่าหลังจากที่อินทรีสามตาได้ยินคำพูดนั้น มันก็มีความรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา
ฉู่หลิวเยว่กล่าวปลอบโยนในใจสองสามประโยค จากนั้นมันก็ค่อยๆ สงบลงได้
ท้ายที่สุดแล้วก็เผ่าพันธุ์เดียวกัน…จะไม่ให้สนใจเลยได้อย่างใด?
ยิ่งไปกว่านั้นอินทรีสามตาที่อยู่ภายในร่างของนาง ก็เคยเป็นตำแหน่งหัวหน้าเผ่าอินทรีสามตาด้วย
ทันใดนั้นผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ถามขึ้นมาว่า
“รุ่ยเออร์ ถ้าข้ายังจำไม่ผิดละก็ เหมือนว่าเจ้าจะยังไม่มีสัตว์อสูรในพันธสัญญาใช่หรือไม่?”
ชือรุ่ยเออร์เป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ แต่กลับไม่มีอสูรในพันธสัญญา
หากว่าด้วยพรสวรรค์และฐานะของนางแล้ว สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์สักตัว ก็เหมาะสมกับตำแหน่งของนางอย่างมาก
แต่ตั้งแต่นางออกจากสำนัก นางก็ไม่ได้คัดเลือกสัตว์อสูรตัวใดเพื่อมาทำพันธสัญญาเลย
ชือรุ่ยเออร์เม้มริมฝีปาก
“ตอนนี้มีแล้วเจ้าค่ะ ก่อนที่จะมาที่นี่ ท่านพ่อได้มอบอินทรีสามตาตัวนั้นให้กับข้า”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นๆ แสดงสีหน้าตกใจ แต่หลังจากที่ครุ่นคิดแล้ว ก็คิดว่านี่เป็นเรื่องที่เหมาะสมอย่างมาก
ด้วยฐานะคุณหนูลำดับสองแห่งเฟยซิงเหมิน ชือรุ่ยเออร์ได้รับความรักและเอาใจใส่มากมาย การที่จะได้รับของเช่นนี้เป็นเรื่องปกติแล้ว
“มิน่าล่ะ…ถ้าเช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย จริงสิ ดูเหมือนว่าระดับการฝึกฝนของเจ้าก็เลื่อนขั้นอีกครั้งแล้ว?”
ชือรุ่ยเออร์พยักหน้ายอมรับอย่างใจกว้าง ก่อนจะตอบว่า
“หากไม่เป็นเช่นนี้ ท่านพ่อก็คงไม่มอบอินทรีสามตาตัวนั้นให้กับข้า”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นๆ สบสายตากัน
ดูเหมือนว่าตำแหน่งสืบทอดของชือรุ่ยเออร์จะมั่นคงมากแล้ว
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ทางด้านหน้าก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
“ดูเหมือนว่าจะมีคนวิ่งมาจากทางด้านหน้าของพวกเรา”
ชายชราคิ้วสีขาวที่ยืนอยู่ด้านข้างของชือรุ่ยเออร์ก็พูดขึ้น
สายตาของชายชราคิ้วขาวจ้องเขม็ง จากนั้นก็พยักหน้า
“คนเดียว”
เช่นนั้นก็แปลกแล้ว
ในสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้ ทุกคนต่างร่วมกันเป็นกลุ่มก้อน อย่างน้อยต้องมีสามถึงห้าคน ไม่มีทางเดินมาคนเดียวเด็ดขาด
แบบนี้มันต่างจากรนหาที่ตายอย่างใด?
“เหมือนว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้หญิง และน่าจะอยู่คนเดียว”
ผู้ชายชราคิ้วขาวหันไปสอบถามชือรุ่ยเออร์
“คุณหนูรอง คนผู้นี้…พวกเราจะช่วยหรือว่าไม่ช่วย?”
ความจริงแล้วเขายังเอนเอียงไปทางไม่ช่วย
ใครจะรู้เล่าว่าอีกฝ่ายนั้นมีที่มาที่ไปเป็นอย่างใด?
หากช่วยนางมาได้แล้ว แต่สุดท้ายกลับโดนทำร้ายเสียเองล่ะ?
ภายในบุพกาลชายแดนเหนือ ชีวิตของทุกคนล้วนแขวนอยู่บนเส้นด้าย ไม่มีเรื่องอันใดที่ทำไม่ได้?
ชือรุ่ยเออร์ครุ่นคิด แล้วส่ายหน้า
“ไม่ต้องไปสนใจ”
หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็พูดขึ้นอีกว่า
“หากนางเข้ามาใกล้ ก็จัดการได้เลย”
“ขอรับ!”
น้ำเสียงของนางนั้นเย็นชาเป็นอย่างมาก เหมือนกับกำลังพูดว่าวันนี้อากาศไม่ดี แต่ทว่าประโยคนี้ได้กำหนดความเป็นความตายของคนๆ หนึ่ง
แต่ว่าไม่มีใครออกความเห็นค้านเรื่องนี้เลยสักคน
ไม่ว่าใครก็เข้าใจว่า “ใจดี” ในเวลาแบบนี้ อาจจะสามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
เหลือบสายตามองชือรุ่ยเออร์อีกครู่หนึ่งอย่างอดไม่ได้
คุณหนูลำดับสองแห่งเฟยซิงเหมินผู้นี้มีข่าวลือว่าจะได้เป็นทายาทตัวจริง นางช่างเป็นคนที่ตัดสินใจอันใดได้เด็ดขาดและรวดเร็วอย่างมาก
ขณะที่พวกเขากำลังตัดสินใจว่าจะเดินอ้อมไปอีกฝั่ง ก็เหมือนว่าแม่นางคนนั้นกลับมองเห็นพวกเราแล้ว
นางนิ่งค้างไปสักพัก ก่อนจะรีบวิ่งมาทางนี้ด้วยความรวดเร็ว
ชายชราคิ้วขาวสาวเท้าไปด้านหน้า ตอนที่กำลังจะขวางนางเอาไว้ กลับได้ยินแม่นางคนนั้นตะโกนขึ้นมาอย่างรีบร้อน
“ผู้อาวุโสฮวาเฟิง! ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ!”
แม่นางคนนั้นชะงักฝีเท้าลง
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงขมวดคิ้วแน่นแล้วหันกลับไปมอง
เสียงนี้…รู้สึกคุ้นหูเป็นอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วมองอีกฝ่ายด้วยความสนใจ
ช่างบังเอิญเสียจริง…
คิดไม่ถึงเลยว่าคนแรกที่ได้เจอในบุพกาลชายแดนเหนือ จะเป็นเจียงจื่อหยวน?
ในตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสคนอื่นก็เหมือนจะจดจำนางได้
“ฮวาเฟิง เสียงนี้มัน…เหมือนว่าจะเป็นเจียงจื่อหยวน?”
“ข้าฟังดูก็รู้สึกว่าคล้าย น่าจะเป็นนางละมั้ง?”
“แต่เหตุใดใบหน้านี้ดูไม่ค่อยคุ้นเคย…”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงสาวเท้าก้าวเข้าไปด้านหน้า ชือรุ่ยเออร์พูดสมทบอีกหนึ่งคำ
“ผู้อาวุโส ระวังตัวด้วย”
บนพื้นดินที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและทุ่งหิมะ เมื่อมีอันใดบางอย่างปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน ก็น่าสงสัยทั้งนั้น
ต่อให้จะเป็นเจียงจื่อหยวนจริงๆ ก็ไม่น่าเชื่อเลย
เจียงจื่อหยวนที่มองฉากนั้นก็อดกัดริมฝีปากไม่ได้ นางเบนสายตาไปมองชือรุ่ยเออร์ด้วยความรวดเร็ว ในแววตามีประกายเคียดแค้น
“ไม่เป็นไร ข้าจะเข้าไปดูเอง”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงรู้ว่าชือรุ่ยเออร์หวังดี แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเดินเข้าไป
ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นศิษย์ของสำนักตน จะให้นิ่งดูดายได้อย่างใด
ยิ่งไปกว่านั้น เจียงจื่อหยวนก็เป็นคนที่ติดตามมากับผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนในทัพใหญ่ด้วย ไม่แน่ว่านางอาจจะรู้อันใดบางอย่างก็ได้
ชือรุ่ยเออร์จึงพูดเพียงแค่ว่า
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็จะไปกับท่านด้วย”
ขณะที่พูดนางก็ขยิบตาให้กับชายชราคิ้วสีขาวและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้าง
ทุกคนรีบเดินตามไปทันที
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“รุ่ยเออร์ เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เจ้าก็ยังเป็นคนที่ระมัดระวังเช่นเดิม”
มุมปากของชือรุ่ยเออร์โค้งขึ้นมาเป็นรอยยิ้ม
“สุขุมรอบคอบจึงสามารถคุมเรือได้หมื่นปี”
ขณะที่พูด ในที่สุดคนกลุ่มนี้ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของเจียงจื่อหยวนแล้ว
เจียงจื่อหยวนมองไปทางผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นๆ ด้วยสายตาตื่นเต้น ดวงตาทั้งสองข้างของนางแดงก่ำ
“ผู้อาวุโสท่านจะต้องช่วยข้านะเจ้าคะ!”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยทุกคนก็ชะงักไปเล็กน้อย
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงชี้ไปที่ใบหน้าของนางแล้วถามว่า
“เจียงจื่อหยวน? ใบหน้าของเจ้า…”
เจียงจื่อหยวนถึงได้นึกอันใดบางอย่างขึ้น จากนั้นก็รีบอธิบายว่า
“อ๋อ นี่คือหน้ากาก ข้าใช้มันเพื่อปกปิด…”
ขณะที่พูดมือข้างหนึ่งของนางก็ลูบบริเวณปลายคาง จากนั้นก็ค่อยๆ ดึงหน้ากากที่บางราวกับปีกจักจั่นออกมา
ภายใต้หน้ากากนั้น เป็นเจียงจื่อหยวนจริงๆ
เพียงแต่ในเวลานี้ ไม่รู้ว่าเหตุใด บริเวณแก้มข้างซ้ายของนางถึงมีรอยแผลขนาดยาวปรากฏขึ้น
เหมือนกับเกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้ และโดนคนเอาของมีคมมากรีดที่หน้า
ใบหน้าที่งดงามถูกทำลายด้วยรอยแผลเป็นนี้ ทำให้มันดูน่ากลัวไปสักเล็กน้อย
กอปรกับใบหน้าที่ดูร้อนใจของนาง ริมฝีปากแห้งและซีดขาว ทำให้ดูน่าตกใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เมื่อเห็นสายตาของคนรอบข้าง เจียงจื่อหยวนถึงได้นึกออกว่า ตนเองมีรอยแผลเป็นอยู่บนใบหน้า ดังนั้นจึงรีบเอามือมาปิด
แต่เมื่อมือสัมผัสกับรอยแผลเป็นสดๆ ก็ทำให้หัวใจของนางสั่นสะท้าน และรู้สึกเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงขมวดคิ้วแน่นเป็นปม
“เจียงจื่อหยวน นี่เกิดอันใดขึ้นกันแน่? เจ้ามาพร้อมกับผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”