ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1337 ละทิ้ง
ตอนที่ 1337 ละทิ้ง
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ ดวงตาสีดำขลับมีประกายรอยยิ้มจางๆ
“ต้องขอบคุณความแข็งแกร่งของท่านที่สามารถทะลวงค่ายกลนี้ พวกเราถึงสามารถออกมาได้”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงปัดหิมะที่อยู่บนร่างกายของตนเอง จากนั้นก็หันมองค่ายกลสีฟ้าที่ปิดสนิทลงอีกครั้ง เขายังรู้สึกอกสั่นขวัญหายอยู่เลย
เขาพูดอย่างทอดถอนใจว่า
“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านึกถึงค่ายกลนั้นขึ้นมาได้ เกรงว่าข้าจะต้องอยู่ที่นี่หนึ่งเดือนแล้ว และไม่อาจทะลวงค่ายกลออกไปได้! ไม่ต้องพูดถึงค่ายกลนั้นมันมีประโยชน์อย่างมาก! โดยเฉพาะในจุดที่เจ้าทำผิดพลาดนั้น…”
ลวดลายที่สลับซับซ้อนนั้น กลับเป็นการเตือนสติเขา
เขาลองทำตามเส้นทางนั้นในการทะลวงค่ายกล มันกลับได้ผลจริงๆ!
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าคือดาวนำโชคของพวกเราจริงๆ!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงยอมรับทั้งใจ
เจ้าเด็กคนนี้ไม่เพียงโชคดี แต่เมื่อได้อยู่กับเขา ดวงของพวกเขาก็ไม่เลวเลย
เขาอาจจะเกิดมาเพื่อเป็นดาวนำโชคเลยก็ว่าได้!
เดิมทีพวกเขาต่างยอมแพ้กันไปแล้ว แต่ใครจะคิดแล้วว่าสถานการณ์จะเกิดการพลิกผัน เป็นฟ้าหลังฝน!
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากบางๆ
“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ไม่ว่าอย่างใดถ้าสามารถช่วยท่านได้ก็นับเป็นเรื่องที่ดี”
ผู้อาวุโสทั้งหลายคนก็ต่างถอนหายใจออกมา แววตาที่มองไปยังฉู่หลิวเยว่ก็ดูดีขึ้นหลายส่วนด้วย
“คิดไม่ถึงเลยว่าค่ายกลที่ฉู่เยว่วาดออกมาอย่างส่งๆ จะมีประโยชน์ขนาดนี้! ฉู่เยว่ ครั้งนี้เจ้ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง!”
“ใช่แล้ว! ถ้าหลังจากนี้เจ้าสามารถติดตามผู้อาวุโสฮวาเฟิงเพื่อศึกษาค่ายกลได้ ครั้งหน้าเมื่อเจ้าเจอค่ายกลที่ลึกลับอีก เจ้าก็สามารถทะลวงได้แน่นอน!”
“ข้าก็เห็นเช่นนั้น! ไม่ว่าอย่างใดเจ้าก็มีพรสวรรค์ ห้ามทำให้มันสูญเปล่าโดยเด็ดขาด!”
หลังจากผ่านประสบการณ์ในครั้งนี้ ผู้อาวุโสทั้งหลายก็เปลี่ยนความคิดที่มีต่อฉู่หลิวเยว่ไป
ตอนนี้พวกเขามองออกแล้วว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ตัวถ่วงและไม่ใช่สัตว์ประหลาด อีกทั้งในช่วงเวลาวิกฤตก็ยังสามารถช่วยเหลือได้
อย่างน้อยในครั้งนี้พวกเขาก็เป็นหนี้บุญคุณฉู่เยว่ครึ่งหนึ่งแล้ว
คำพูดของพวกเขาทำให้ผู้อาวุโสฮวาเฟิงมีความสุขอย่างยิ่ง เขาครุ่นคิดกับตัวเองในใจ หลังจากเรื่องของบุพกาลชายแดนเหนือสิ้นสุดลง เมื่อกลับไปเขาจะให้เด็กคนนี้กราบเขาเป็นอาจารย์ให้ได้!
ศิษย์ที่มีทักษะแบบนี้ พลาดไปไม่ได้เด็ดขาด!
หากจะต้องลักพาตัวก็ต้องทำ!
เมื่อเห็นสายตาที่กระตือรือร้นของผู้อาวุโสฮวาเฟิง หนังตาของฉู่หลิวเยว่ก็กระตุกขึ้นมาทันที จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องอย่างเงียบๆ
“ผู้อาวุโสในเมื่อพวกเราทุกคนออกมาได้แล้ว เช่นนั้น…จะไปตามหาผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนอีกหรือไม่?”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมาก็ได้เตือนสติใครหลายคน
“เจ้าพูดได้ถูกต้อง เราไม่สามารถรั้งอยู่ที่นี่ได้นาน พวกเรารีบออกจากที่นี่จะดีที่สุด”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพูดขึ้นจากนั้นก็เหลือบสายตาไปมองค่ายกลนั้นอีกครั้ง
“เพียงแค่ไม่รู้ว่าใครกันแน่เป็นคนทิ้งค่ายกลเอาไว้ที่นี่…”
ในตอนนั้นเอง เสียงดัง “ตู้ม” ตรงกลางของค่ายกลนั้นก็ระเบิดขึ้นในทันที! ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนหายไปท่ามกลางกลุ่มหิมะอย่างรวดเร็ว!
สายตาของผู้อาวุโสฮวาเฟิงเย็นชา ก่อนจะสาวเท้าก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
แต่บนพื้นหิมะกลับไม่มีร่องรอยใดๆ เลย
“เจ้าเล่ห์!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงตำหนิ
แต่เราก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า คนที่เตรียมแผนการนี้เอาไว้ฉลาดมากแค่ไหน
ก่อนอื่นได้เตรียมการโจมตีจุดตายเอาไว้ แต่ถ้าโจมตีไม่สำเร็จก็จะไม่ทิ้งร่องรอยอันใดเอาไว้
เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมการมาเป็นเวลานานแล้ว
“ไม่รู้ว่าปั๋วเหยี่ยนจะเจอปัญหาแบบนี้หรือเปล่า?”
ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังก็ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมา
ความจริงแล้วสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พวกเขากังวลมาตลอด
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงมองตรงไปข้างหน้า
ทุ่งหิมะรกร้าง จะหาพวกเขาเจอได้อย่างใด…
…
ในขณะเดียวกันนั้นเอง สถานที่สักแห่งภายในบุพกาลชายแดนเหนือ
เงาร่างของคนผู้หนึ่งวิ่งผ่านทุ่งหิมะไปด้วยความรวดเร็ว
เขาไม่เหมือนกับคนอื่น ปลายเท้าของเขานั้นห่างจากพื้นหิมะครึ่งนิ้ว ดังนั้นไม่ว่าจะผ่านไปที่ใด พื้นที่มายังคงเรียบสนิทดังเดิม ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เลยสักส่วน
จากนั้นเขาก็หยุดยืนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ฝ่ามือตบลงที่พื้น!
เกล็ดหิมะฟุ้งกระจาย
พื้นดินสีดำขลับที่ถูกแช่แข็งถูกเปิดเผยออกมา
เขาหยิบของออกมาสิ่งหนึ่ง ก่อนจะกระแทกกับพื้นสามครั้งติดต่อกัน
“ตึง ตึง ตึง”!
หลังจากเสียงอู้อี้ดังขึ้นสามครั้ง ทันใดนั้นทางเข้าใต้ดินก็ปรากฏขึ้น!
เขากระโดดลงไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย จากนั้นร่างก็หายลงไปใต้พื้นดินอย่างไร้ร่องรอย!
หลังจากนั้นไม่นาน ลมหนาวสายหนึ่งก็พัดผ่านมา พื้นที่แห่งนี้ก็ถูกฝังกลบอย่างไร้เสียง
…
หลังจากที่เข้าไปในใต้ดินแล้ว ก็มีบันไดทอดยาวลงผ่านไป
สองฝั่งของบันไดนั้นคือกำแพงหนา มีเพียงแสงจากเทียนเท่านั้น
เปลวเพลิงสีซีดทำให้อุโมงค์แห่งนี้ดูมืดและแคบลงไปเรื่อยๆ แทบจะทำให้คนหายใจไม่ออก
แต่เหมือนว่าชายคนนี้เคยชินกับมันแล้ว ฝีเท้าของเขาไม่หยุดชะงัก เดินลงไปตามทางด้านล่าง
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ ในที่สุดเขาก็มาถึงห้องโถงด้านล่าง
ภายในห้องโถงนั้นไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ทุกอย่างว่างเปล่า บริเวณทั้งสี่มุมมีโคมไฟวางเอาไว้อยู่ แสงที่สะท้อนจากโคมไฟสะท้อนผนังและเพดานที่แกะสลักขึ้นมา
ตรงกลางมีกระจกสำริดขนาดใหญ่ตั้งเอาไว้อยู่
ขอบกระจกสำริดมีคราบเลือดห่อหุ้มเอาไว้อยู่หนึ่งชั้น ดูแล้วน่าขยะแขยงเป็นพิเศษ
สถานที่แห่งนี้ทำให้บรรยากาศของห้องโถงนี้หดหู่และดำมืดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ผู้ชายคนนั้นรีบเดินเข้าไปยังกระจกสำริดอย่างรวดเร็ว คุกเข่าหนึ่งข้างลงกับพื้น
“นายท่าน มีคนทำร้ายค่ายกลอเวจีแล้วขอรับ”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ขอบกระจกสำริดก็มีเลือดไหลออกมาอย่างกะทันหัน ก่อนจะไหลไปกองรวมตรงกลาง
หลังจากนั้นไม่นานกระจกสำริดก็ถูกปกคลุมไปด้วยเลือด
แค่มองเพียงแวบแรก เหมือนกับทะเลเลือดที่กำลังเดือดอย่างพลุ่งพล่าน!
น้ำเสียงแหบพร่าดังออกมาจากกระจกนั้น
“อ่า? เขามาแล้วหรือ?”
“นายท่าน เหมือนว่าจะไม่ใช่คนผู้นั้น”
ชายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก้มหน้าลงต่ำมากกว่าเดิม
“เขาคือผู้อาวุโสท่านหนึ่งจากสำนักหลิงเซียว หากข้าไม่ได้เดาผิดไปละก็ ระดับพลังของเขาคือมหาปรมาจารย์ค่ายกลระดับราชา”
“มหาปรมาจารย์ค่ายกลระดับราชา? เขาใช้เวลาเท่าไร?”
“คือว่า…สองชั่วยาม”
ทันทีที่สิ้นเสียงของชายคนนั้น กระจกสำริดท่ามกลางทะเลเลือดก็เดือดพลุ่งพล่านมากยิ่งกว่าเดิม ในตอนนั้นมีเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“มหาปรมาจารย์ค่ายกลระดับราชา สามารถทะลวงค่ายกลอเวจีของข้าได้เร็วขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”
“…สิ่งที่พูดน้อยพูดเป็นความจริงทุกคำ!”
หน้าผากของชายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นมีเหงื่อไหลออกมา
“จับตาดูเอาไว้ก่อน ดูว่าเขามีฝีมือเพียงใด …แล้วคนอื่นๆ เล่า?”
“เรียนนายท่าน นอกจากสิบกว่าคนที่สามารถหนีออกไปได้ สำนักหลิงเซียวคนอื่นๆ ได้ถูกควบคุมตัวเอาไว้ทั้งหมดแล้ว”
ชายที่อยู่ในกระจกชะงักไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอันตราย
“หนีไปได้? สิบกว่าคน?”
ตึง!
ชายที่คุกเข่าอยู่รีบโขกหัวกับพื้นอย่างแรง แล้วพูดขึ้นด้วยความหวาดกลัวว่า
“นายท่าน ปั๋วเหยี่ยนและคนอื่นๆ เจ้าเล่ห์อย่างมาก ผู้น้อยละสายตาไปเพียงแค่ครู่เดียว ทั้งหมดนี้…เป็นเพราะผู้น้อยไม่สามารถจัดการให้ดี นายท่านโปรดลงโทษผู้น้อยด้วย!”
“รีบไปตรวจสอบ! อย่าปล่อยให้คนจากสำนักหลิงเซียวหลุดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”
“ขอรับ!”
ชายผู้นั้นรีบคุกเข่าด้วยความตื่นตระหนกอีกครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นก่อนจะจากไปด้วยความตื่นกลัว
หลังจากที่เพิ่งเดินออกไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลัง
“มู่ชิงเห่อล่ะ?”
ชายคนนั้นชะงักฝีเท้า พร้อมหมุนตัวกลับมาอย่างลังเล ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน
“คือว่า…นายท่าน ก่อนหน้านี้เขาไม่เชื่อฟังคำสั่งของท่าน ยืนหยัดที่จะอยู่ในเทียนลิ่ง ดังนั้นท่านจึงทอดทิ้งเขาไปแล้วไม่ใช่หรือ? ท่าน…”
“เด็กที่ถูกทอดทิ้งก็มีประโยชน์เช่นกัน ในเมื่อเขาไม่ยอมกลับมาเอง เช่นนั้นก็ต้องไป ‘เชิญ’ เขากลับมา”
“…ขอรับ!”
เงาร่างของเขาหายไปแล้ว เลือดที่อยู่บนกระจกสำริดก็ค่อยๆ จางหายไป
หลังจากผ่านไปสักพักทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
…