ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1334 คุ้นเคย
ตอนที่ 1334 คุ้นเคย
เหตุการณ์ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันอย่างมาก กว่าพวกเขาทั้งหลายคนรู้สึกตัวก็ถูกขังเอาไว้ในค่ายกลนี้แล้ว
ค่ายกลนี้มีลักษณะเป็นครึ่งวงกลม พวกเขาทั้งหลายคนติดอยู่ตรงกลาง
ด้านบนนั้นมีแสงสีฟ้าส่องประกาย ทำให้ผู้คนรู้สึกสั่นสะท้าน
“นี่ นี่มันอันใดกัน?”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งพึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำ ก่อนจะกวาดสายตามองไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว
“มีคนวางกับดักเอาไว้ที่นี่? แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้พวกเราถึงไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย?”
“ค่ายกลแห่งนี้ถูกวางเอาไว้ที่นี่ก่อนล่วงหน้าแล้ว”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม
“หลังจากที่พวกเราเดินมาแล้ว ค่ายกลนี้ถึงได้ทำงาน”
ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างหรือการสร้างของค่ายกล ต่างต้องใช้เวลาและพลังงานกันทั้งนั้น
ยิ่งค่ายกลมีระดับสูงมากเท่าไร ก็จะใช้เวลาและพลังงานมากขึ้นเท่านั้น
ค่ายกลที่กำลังกักขังพวกเราอยู่ตรงนี้ ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมการเอาไว้ก่อนอยู่แล้ว
“ใครกันที่จะมาวางกับดักในสถานที่เช่นนี้?”
บรรดาเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย มีเพียงแค่ผู้อาวุโสฮวาเฟิงที่เป็นปรมาจารย์ด้านค่ายกล ผู้อาวุโสคนอื่นล้วนเป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้
ดังนั้นในเวลาเช่นนี้ ทุกคนจึงหันมามองเขาเป็นตาเดียว
ทุ่งหิมะกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา
ต่อให้มีคนตั้งใจจะลอบสังหารพวกเขาจริงๆ แต่เหตุใดอีกฝ่ายต้องเลือกสถานที่เช่นนี้ล่ะ?
ถ้าพวกเขาไม่มาที่นี่แล้วละก็?
นั่นไม่เท่ากับว่าเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ?
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงกำตราหยกสีเขียวที่อยู่ในมือแน่น
“ของสิ่งนี้ของปั๋วเหยี่ยน ดูเหมือนว่ามีคนจงใจซ่อนมันเอาไว้ที่นี่เพื่อล่อให้พวกเรามา”
ทันทีที่สิ้นเสียง ผู้อาวุโสทั้งหลายก็เข้าใจในทันที ภายในใจก็มีความกังวลปรากฏขึ้น
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ นั่นหมายความว่าสถานการณ์ทางผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็น่าหวั่นวิตกยิ่งกว่าเดิม
“เรื่องอื่นค่อยว่ากัน ตอนนี้พวกเราต้องหาทางออกจากที่นี่ให้ได้ก่อน”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปทางด้านบนของค่ายกลแห่งนี้
หัวคิ้วของเขาขมวดขึ้นอย่างเชื่องช้า
เรื่องนี้ทำให้คนหลายคนที่ฝากความหวังเอาไว้รู้สึกกังวลอย่างยิ่ง
หลังจากผ่านไปสักพัก ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ถามหยั่งเชิงขึ้นเสียงเบา
“เจ้ามีวิธีทะลวงค่ายกลนี้หรือไม่?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม
“นี่เป็นฝีมือของผู้แข็งแกร่งในด้านค่ายกล”
“อันใดนะ?”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนแปลงไป
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย
เหนือจากปรมาจารย์ค่ายกลระดับเก้า ก็คือปรมาจารย์ค่ายกลระดับราชา
และเหนือยิ่งขึ้นไปกว่านั้นคือปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชา
ตามความเข้าใจของนางที่ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพูดถึงนั้นคือปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชา
หากสูงกว่ามหาราชา…ก็เป็นระดับที่มีความน่ากลัวอย่างยิ่งแล้ว
ทั้งสำนักหลิงเซียว ภายในเวลาหมื่นปี คนที่สามารถไปถึงจุดผู้แข็งแกร่งด้านค่ายกลนั้นมีเพียงแค่หยิบมือ!
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า หากต้องการทะลวงค่ายกลนี้ จะต้องยากอย่างยิ่งแน่นอน!
ต่อให้ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเป็นบุคคลระดับสูงของสำนักหลิงเซียว แต่ก็เกรงว่ามันอาจจะยากพอๆ กับก้าวขึ้นสวรรค์!
“ปรมาจารย์…แล้วแบบนี้พวกเขาก็ออกไปไม่ได้หรือ?”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งพึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำ
นี่เป็นปัญหาที่เขากังวลมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหลับตาลง ท่าทีเคร่งเครียด
“ข้า…เองก็ไม่รู้”
“เจ้าอยู่ห่างจากขั้นนั้นเพียงหนึ่งก้าวไม่ใช่เหรอ อีกเพียงแค่นิดเดียวก็สามารถทะลวงด่านปรมาจารย์ได้” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งยังกอดความหวังสุดท้ายเอาไว้ แล้วถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “น่าจะพอทะลวงด่านได้ละมั้ง?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น
“ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็คือขาด ยิ่งไปกว่านั้นเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ได้ห่างกันแค่หนึ่งก้าว แต่หนึ่งก้าวที่ว่านั้นมันกว้างอย่างยิ่ง!”
ระดับปรมาจารย์ค่ายกลของเขานั้นหยุดนิ่งมาหลายปีแล้ว ได้ชัดว่าหนึ่งก้าวที่ว่านั้นมันลำบากยากเย็นมากแค่ไหน
เมื่อเปรียบเทียบกับปรมาจารย์คนอื่น ฝีมือของเขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าเพียงเล็กน้อย แต่ระยะห่างของปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่มันต่างกันราวกับฟ้ากับเหว
ช่องว่างนั้น จะเติมเต็มอย่างง่ายดายได้อย่างใด?
“ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ข้าทะลวงค่ายกลนี้ออกไปได้ ก็ดูเหมือนว่าจะใช้เวลาไม่น้อย ถ้ามันหลายวันก็ช่างเถอะ แต่อาจจะหนึ่งเดือน? หรือว่าสามเดือนก็ได้?”
พวกเขาไม่สามารถรออยู่ตรงนี้ได้ตลอดไป
ทันใดนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุม เกือบจะทำให้คนหายใจไม่ออก
“ช่างเถอะ ข้าจะลองดูก่อน”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงกัดฟันกรอด
“ถ้ามันไม่ได้พวกเราค่อยหาหนทางใหม่”
เมื่อพูดจบ เขาก็กลั้นหายใจรวบรวมสมาธิ มุ่งความสนใจและศึกษาค่ายกลนั้น
ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าเข้าไปรบกวนเขา จึงรออยู่ด้านข้างด้วยความเงียบ
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นก็ใช้สายตาสำรวจค่ายกลอย่างละเอียด
ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงรู้สึกว่าค่ายกลแห่งนี้ ค่อนข้างคุ้นตาอยู่เล็กน้อย…
นางมั่นใจว่านางไม่เคยเห็นค่ายกลแบบนี้มาก่อน
และอย่างที่ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพูดเอาไว้ ค่ายกลแห่งนี้เป็นฝีมือของยอดปรมาจารย์ และนี่เป็นค่ายกลหนึ่งเดียวที่ลึกลับและซับซ้อนที่สุดที่นางเคยเจอมา
ฉู่หลิวเยว่มีสีหน้าราบเรียบ แต่ในสมองกับคำนวณอย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกที่คุ้นเคย แท้จริงแล้วมันคืออันใดกันแน่…
…
หลังจากนั้นไม่นานหิมะโปรยปรายลงมาจากบนท้องฟ้า
ลมหนาวเสียดกระดูก
เมื่อยืนอยู่ที่เดิมก็สัมผัสถึงความหนาวเหน็บได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ลมหนาวเหล่านั้น เหมือนว่าจะสามารถเจาะทะลุผิวหนังแล้วเข้าไปในกระดูกได้ เหมือนกับเข็มเหล็กแท่งหนึ่ง ทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก
ยังดีที่ฉู่หลิวเยว่มีถวนจื่อ ดังนั้นจึงสามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดเหล่านี้ได้
แต่สำหรับผู้อาวุโสคนอื่นๆ กลับไม่ได้สะดวกสบายอย่างนาง
หากพวกเขาต้องการต้านทานพลังหนาวเย็น จำเป็นจะต้องเผาไหม้พลังดั้งเดิม
ดังนั้นภายนอกที่ดูเหมือนกำลังพักผ่อน ความจริงแล้วทุกนาทีทุกวินาที พลังในร่างกายของพวกเขากลับลดลงอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้สายตาที่พวกเขามองฉู่หลิวเยว่ ก็สับสนมากยิ่งขึ้น
เดิมทีพวกเขาคิดว่าเด็กคนนี้จะเป็นภาระ แต่ใครจะรู้แล้วว่า สุดท้ายคนที่ถ่วงแข้งถ่วงขาก็คือพวกเขาเอง!
หลังจากสัมผัสได้ถึงสายตาของผู้อาวุโสทั้งหลาย ฉู่หลิวเยว่ก็หันกลับไปสบตามอง
เมื่อเห็นใบหน้าและใบหูที่แดงก่ำเพราะความหนาว หัวใจของนางก็สั่นไหว
ถ้าไม่ใช่เพราะนางกังวลเรื่องจะเปิดเผยตัวตนของถวนจื่อ นางก็คงช่วยเหลือพวกเขาไปแล้ว
อีกด้านหนึ่งผู้อาวุโสฮวาเฟิงยังยืนอยู่ที่เดิมเหมือนกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ เขาจ้องไปที่ค่ายกลตรงหน้าตาเขม็ง
ลำแสงสว่างวาบ กระแสลมปราณพวยพุ่ง