ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1332 การเคลื่อนไหว
ตอนที่ 1332 การเคลื่อนไหว
“ใกล้จะถึงแล้ว”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพูดขึ้น สีหน้าดูจริงจังขึ้นหลายส่วน
ผู้อาวุโสทั้งหลายลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียง แล้วสบสายตากัน ก่อนจะลงมือพร้อมกัน!
ความดำมืดที่อยู่ด้านหน้า ก็ปรากฏค่ายกลที่สว่างไสวขึ้นมาหนึ่งอัน!
หลังจากนั้นไม่นาน ตรงกลางของค่ายกลก็เปิดออก แหวกเป็นสองข้าง
แสงสว่างสีขาวส่องรอดออกมาจากภายนอก
“ไป!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงออกคำสั่ง จากนั้นก็ลุยไปด้านหน้า!
ฉู่หลิวเยว่และผู้อาวุโสอีกหลายคนก็ติดตามมาอย่างใกล้ชิด!
…
หนาว
หนาวมาก
นี่เป็นความรู้สึกแรกหลังจากที่ฉู่หลิวเยว่ออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายแล้ว
เมื่อมองไปด้านหน้า ทิวทัศน์เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน
นอกจากหิมะแล้วไม่มีสิ่งอื่นหลงเหลืออยู่เลย
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ราวกับเพิ่งมีหิมะตกหนักไป
ถวนจื่อที่อยู่ภายในตันเถียนก็เริ่มเคลื่อนไหว เพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายของนางในทันที
ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว
“ซี๊ด…เหตุใดที่แห่งนี้ถึงหนาวขนาดนี้!”
หลังจากนั้นผู้อาวุโสคนหนึ่งก็อดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้ เขาพูดไปพลาง พร้อมวางค่ายกลรอบตนเองด้วยความรวดเร็ว
“เคยได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าบุพกาลชายแดนเหนือมีสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะน่ากลัวขนาดนี้!”
พวกเขาล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพ ความร้อนและเย็นในระดับธรรมดาไม่สามารถส่งผลกระทบต่อพวกเขาได้
สามารถทำให้เขามีปฏิกิริยาขนาดนี้ได้ นั่นหมายความว่าที่แห่งนี้หนาวกว่าที่คนอื่นจะจินตนาการได้
“ฉู่เยว่ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสอีกคนที่เห็นว่าฉู่หลิวเยว่มีสีหน้าปกติ เขาจึงถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ แล้วตอบว่า
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เป็นห่วง แต่สัตว์อสูรในพันธสัญญาของข้าคือกษายะหางวายุ ดังนั้นซึ่งไม่เป็นไร”
“มิน่าล่ะ”
ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีระดับต่ำกว่าเทพ ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นาน
ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นห่วงที่จะต้องพาฉู่หลิวเยว่มาที่นี่ด้วย แต่เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว เหมือนว่าจะไม่ต้องเป็นห่วงเด็กคนนี้จริงๆ
เรื่องนี้ทำให้ผู้อาวุโสหลายคนมองฉู่หลิวเยว่เปลี่ยนไป สายตาที่มองนางนั้นก็อ่อนโยนมากยิ่งขึ้น
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเหลือบสายตามองอย่างเงียบๆ
อื้อ…
หงส์ทองคำ…
ไม่เลวเลยทีเดียว มันเพิ่งทะลวงด่านจากกษายะหางวายุ…
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่ปกติอย่างยิ่ง
ผู้อาวุโสคนหนึ่งกวาดสายตามองไปโดยรอบ แล้วถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า
“ตอนนี้ปั๋วเหยี่ยนอยู่ที่ใด? ที่แห่งนี้เป็นทุ่งหิมะขาวโพลน การตามหาพวกเขาให้เจอโดยเร็วนั้นเกรงว่าจะเป็นเรื่องยาก”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหยิบตราหยกสีเขียวของตนเองออกมา
ดวงไฟสองจุดกะพริบอยู่บนนั้น
หนึ่งในนั้นคือตำแหน่งของพวกเขา และแน่นอนว่าอีกตำแหน่งคือผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน
เขามองไปสักพัก สุดท้ายก็กำหนดทิศทางขวา
“น่าจะอยู่ทางนี้ แต่มองไปแล้วเหมือนหนทางยังอีกยาวไกล แม้ว่าพวกเขาจะเร่งความเร็วไปจนสุดทาง แต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วยาม”
ขณะที่พูดเขาก็เงยหน้ามองท้องฟ้า
“เพียงแต่หิมะหนามาก…เกรงว่าความเร็วในการเดินทางจะต้องลดลงครึ่งหนึ่ง”
“นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ การเดินทางบนอากาศของที่นี่ ก็เหมือนกับเป้าเคลื่อนที่ได้ พวกเราไม่รู้ว่าที่นี่มีใครอยู่บ้าง ดังนั้นจึงต้องระวังตัวเอาไว้ก่อน”
ต่อให้การเดินทางจะช้าลง ก็ไม่สามารถล้อเล่นกับชีวิตของตนเองได้
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพยักหน้า
“ไปกันเถอะ!”
…
คนจำนวนหนึ่งก็เดินทางข้ามหิมะด้วยประการฉะนี้
การเดินแต่ละก้าวสร้างหลุมหิมะลึกตามหลังฝีเท้าของพวกเขา
หลังจากเดินไปสักระยะหนึ่ง ร่างกายของฉู่หลิวเยว่ก็เริ่มร้อนขึ้นมา
นางค่อยๆ ขมวดคิ้ว และรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
ใช่ว่านางจะไม่เคยเดินบนหิมะมาก่อน นางรู้ว่าการเดินแบบนี้มันจะสูญเสียพลังอย่างมาก
แต่ครั้งนี้เหมือนว่ามันจะมากเกินไปหน่อย…
เหมือนกับว่ามีของอันใดบางอย่างอยู่ใต้ฝ่าเท้า ติดกับเท้าทั้งสองข้างของนาง แต่ละก้าวจึงกินพลังอย่างมาก
นางก้มลงไปมองอย่างอดไม่ได้ แต่กลับไม่พบอันใดเลย
นอกจากหิมะที่ขาวดุจผลึกใส ก็ไม่มีสิ่งอื่นอยู่อีก
หลังจากที่นางลังเลอยู่สักพัก และระงับความคิดเหล่านั้นลงไป
หลังจากผ่านไปสักระยะหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสหลายคนก็มีทีท่าจะทนรับไม่ไหว
“สถานที่แห่งนี้มีอันใดแปลกไปหรือไม่? พื้นหิมะที่งดงาม แต่เดินแล้วเหตุใดมันถึงกินแรงเช่นนี้!”
“ข้าก็คิดว่ามันมีปัญหาเช่นกัน ตามหลักการแล้วพวกเราเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพ และนี่เพิ่งเดินทางได้ครึ่งชั่วยามเท่านั้น เหตุใดมันถึงใช้พลังงานมากขนาดนี้?”
“ฮวาเฟิง เจ้าคิดว่าอย่างใด?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงที่กำลังเดินอยู่ด้านหน้าก็หยุดฝีเท้า จากนั้นก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
“พวกเจ้าพูดได้ถูกต้อง สถานที่แห่งนี้…มีบางอย่างหลบซ่อนอยู่”
ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างหยุดฝีเท้าลงเช่นกัน
ฉู่หลิวเยว่เองก็หยุดยืนนิ่งๆ
ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างมองนางด้วยความประหลาดใจ ฉู่หลิวเยว่เดินตามพวกเขามาตั้งนาน คาดไม่ถึงว่านางจะไม่ได้เดินรั้งท้าย อีกทั้งดูจากสีหน้าแล้วก็เหมือนไม่ได้รับผลกระทบอันใดมากนัก จึงทำให้พวกเขาอดตกใจไม่ได้
หรือว่าก่อนหน้านี้พวกเขาประเมินฝีมือของเด็กคนนี้ต่ำเกินไป?
ความจริงแล้ว ที่ฉู่หลิวเยว่สามารถเดินตามได้นานขนาดนี้อีกทั้งยังมีท่าทีที่ผ่อนคลาย หนึ่งเป็นเพราะ
ถวนจื่อ ส่วนอีกด้านหนึ่ง…เพราะการอบรมของพี่เป่า ดังนั้นความสามารถในการต่อสู้ของนางจึงอยู่เหนือระดับพลังที่แสดงเอาไว้
นางมองดูฝ่าเท้าของตนเองอีกครั้ง
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงสวบสาบดังขึ้นที่ข้างหู
นางหันกลับไปมอง
กวางหน้าเทาตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากกองหิมะ ชะโงกหัวเยี่ยมๆ มองๆ ไปโดยรอบ
เมื่อมันสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาของนาง กวางหน้าเทาก็หันไปสบสายตากับฉู่หลิวเยว่ สายตาทั้งสี่ประสานกัน
มันรีบมุดศีรษะลงไปอย่างระแวดระวัง
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วมุ่น และรู้สึกว่ามีอันใดบางอย่างไม่ถูกต้อง
“ด้านล่างของหิมะจะมีอันใดผิดปกติหรือไม่?”
ผู้อาวุโสถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ว่า…หิมะหนาขนาดนี้ พวกเราจะตรวจสอบดูได้อย่างใด? คงไม่สามารถขุดดินไปสามฉื่อเพียงตรวจดูละมั้ง”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงแบมือออกทั้งสองข้างอย่างจนปัญญา
ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างมองหน้ากัน
ต่อให้พื้นดินข้างล่างมีปัญหาจริงๆ แต่ลำพังด้วยกำลังของพวกเราไม่กี่คน เกรงว่าจะไม่สามารถจัดการได้ในเวลาอันรวดเร็ว
“ช่างเถอะ ไม่สนใจเรื่องพวกนี้แล้ว รีบไปตามหาปั๋วเหยี่ยนกันเถอะ และรวมตัวกับพวกเขากัน!”
ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งแนะนำ
ฉู่หลิวเยว่มองไปโดยรอบแล้วถามขึ้นมาว่า
“ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนบอกว่าหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ปรากฏกายที่นี่ไม่ใช่หรือ เหตุใดถึง…ไม่มีการเคลื่อนไหวอันใดเลยล่ะ?”