ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1326 คำถาม
ตอนที่ 1326 คำถาม
ตึง!
ฉู่หลิวเยว่ปักกระบี่ชื่อเซียวลงบนพื้น
“เขาหนีไปได้อีกแล้ว!”
“วางใจเถอะ จิตวิญญาณของเขาเสียหาย ต่อให้เขาไม่ตาย พลังปราณตั้งต้นก็ได้รับความเสียหายอย่างมาก”
องค์ไท่จู่พูดเกลี้ยกล่อม
“วันนี้เจ้าสามารถฆ่าเขากลับได้หนึ่งครั้ง ถือว่าเป็นการระบายความแค้นไปก่อน”
ฉู่หลิวเยว่จึงสามารถสงบสติอารมณ์ได้ นางเรียกหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์กลับมา ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดว่า
“ขอบคุณองค์ไท่จู่มาก เรื่องนี้ข้าเข้าใจแล้ว”
ความจริงแล้ววันนี้ก็เป็นเรื่องยากยิ่งที่นางจะสามารถเอาชนะได้
อีกฝ่ายมีฝีมือสูงส่งกว่านางมาก น่าเสียดายที่ไม่มีกายเนื้อ จึงทำได้เพียงอยู่ในร่างของคนอื่นเท่านั้น
แต่หากเป็นเช่นนี้ก็ส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของเขาอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่อยู่ในกายเนื้อ ก็ไม่ใช่จิตวิญญาณของเขาเพียงอย่างเดียว
“เหมือนว่าคนผู้นี้จะมีการกระทำที่รอบคอบอย่างยิ่ง เขาลองหยั่งเชิงอยู่หลายครั้ง และมีความอดทนที่สูงมาก!”
ฉู่หลิวเยว่แค่นหัวเราะเสียงเย็น
“ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่เลว ให้เขามาสักหลายครั้งหน่อย ให้ข้าขุดรากถอนโคนได้ทีละน้อย”
องค์ปฐมกษัตริย์หรือว่านางโกรธมาก
ไม่ว่าใครที่ได้เจอเรื่องราวเช่นนี้ ก็ไม่สามารถอดทนต่อไปได้
“นังหนู เจ้าอย่าเพิ่งกังวลเรื่องพวกนั้น การต่อสู้เมื่อครู่นี้ ทำให้เจ้าสูญเสียพลังไปมาก เจ้าโคจรลมปราณให้ดีก่อน กลับไปแล้วค่อยคิดหาวิธีจัดการก็ยังไม่สาย”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
นางออกมาจากเมืองฝางโจวสักระยะหนึ่ง ไม่แน่ว่าจัวเซิงกำลังตามหานางอยู่
แม้ว่าเมื่อครู่นี้นางจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ความจริงแล้วนางก็สูญเสียพลังไปเป็นจำนวนมาก
ถ้าหากพวกเขาเห็นสภาพของนางในตอนนี้ เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายแล้ว
ฉู่หลิวเยว่เก็บกระบี่ชื่อเซียวลง ก่อนจะกลืนยาอายุวัฒนะไปสองเม็ด และนั่งลงทำสมาธิ
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเค่อ พลังในร่างกายของนางก็กลับคืนมาเล็กน้อยแล้ว ใบหน้าก็ไม่ได้ซีดขาวขนาดนั้นแล้ว
จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืน แล้วครุ่นคิด ก่อนที่จะเดินไปข้างศพของคนผู้นั้น พร้อมกับหยิบขวดหยกออกมา ของบางอย่างก็ถูกเทออก
ของเหลวสีใสไหลริน และหยดไปที่ร่างของชายผู้นั้น
ร่างกายของชายผู้นั้นกลายเป็นแอ่งเลือดแอ่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว และซึมลงไปที่พื้น ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
นอกจากคราบเลือดที่อยู่บนพื้นแล้ว ก็มองไม่เห็นสิ่งอื่นอีก
อีกทั้งเพราะว่าพื้นนี้เป็นสีดำอมน้ำตาล หากไม่มองให้ดีๆ ก็จะมองไม่เห็นคราบเลือดเหล่านี้
ดินแดนรกร้างในอาณาจักรเสิ่นซวี่ มักจะเกิดการต่อสู้ทุกรูปแบบได้ทุกที่ทุกเวลา
คราบเลือดกลุ่มหนึ่ง บางทีก็ไม่ดึงดูดความสนใจของใครอยู่แล้ว
แต่ฉู่หลิวเยว่คิดแล้วคิดอีก จากนั้นนางก็โบกมือขึ้น ก่อนจะใช้เปลวเพลิงทำความสะอาดคราบเลือดเสียจนหมดจด
นางหยิบป้ายไม้แผ่นนั้นออกมา ในตอนที่กำลังจะบดขยี้มัน ทันใดนั้นนางก็ชะงักไป และเก็บมันเอาไว้
“ไท่จู่ ท่านรู้หรือไม่ว่าสำนักปีศาจทมิฬอยู่ที่ใด?”
องค์ปฐมกษัตริย์ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ให้คำตอบนางว่า
“ตำแหน่งคร่าวๆ ข้าพอจะทราบอยู่ แต่นั่นมันเรื่องพันปีก่อน ตอนนี้มันผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าสำนักของพวกเขายังอยู่ตรงนั้นหรือไม่”
“เรื่องนี้ง่ายมาก แค่ไปสืบเอาก็ได้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้มากนัก
องค์ปฐมกษัตริย์ลังเลเล็กน้อยแล้วพูดออกมา
“เยว่เออร์ เจ้าอยากจะไปสำนักปีศาจทมิฬ เดิมทีแล้วมันก็ไม่เป็นไร แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ เกรงว่า…”
“ไท่จู่วางใจเถอะ หากไม่ใช่เรื่องที่ข้ามั่นใจ ข้าไม่มีทางหุนหันพลันแล่นอย่างเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้น…ชายคนนั้นก็พูดแล้วไม่ใช่หรือว่า เขาไม่ใช่คนของสำนักปีศาจทมิฬอีกต่อไปแล้ว ไม่แน่ว่าเราอาจจะมีวิธีอื่นที่สามารถตามหาเบาะแสได้เช่นกัน”
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่มีหนทางที่ชัดเจน จิตใจสงบ องค์ปฐมกษัตริย์ถึงได้วางใจ
“หากเจ้ามีแผนอยู่แล้วก็ดี”
ฉู่หลิวเยว่หมุนตัวแล้วเดินจากไป
…
หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง ฉู่หลิวเยว่ก็กลับเข้ามาในเมืองเพียงลำพัง นางทำเหมือนไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ก่อนจะเดินทางไปยังสถานที่พวกเขานัดหมายกับจัวเซิงเอาไว้
ทันทีที่นางเดินเลี้ยวผ่านมุมถนน นางก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น
“ฉู่เยว่?”
นางหันกลับไปมอง และเห็นว่าเป็นหลัวเยี่ยนหมิง
“ฉู่เยว่ เมื่อครู่นี้เจ้าไปที่ไหนมา?”
หลัวเยี่ยนหมิงรีบพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองไปรอบๆ ของฉู่หลิวเยว่อย่างเป็นกังวล
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมาอย่างไม่มีทางเลือก
“เรื่องนี้มันค่อนข้างยาวน่ะ”
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่มีท่าทางเหนื่อยล้าอย่างมาก หลัวเยี่ยนหมิงที่อยากจะถามหลายสิ่ง ก็สะกดกั้นคำถามเหล่านั้นลงไป
“เจ้ากลับไปกับข้า ข้าจะไปแจ้งข่าวให้จัวเซิงและท่านผู้อาวุโสทราบ”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่กระตุกวูบ
“ผู้อาวุโส?”
“ใช่แล้ว! หลังจากที่รู้ว่าเจ้าหายตัวไป ข้ากับจัวเซิงตามหาเจ้าอยู่ตั้งนาน ก็ยังหาไม่พบ ด้วยความร้อนรน ข้าจึงไปขอร้องท่านผู้อาวุโสให้ช่วยเหลือ ตอนนี้พวกเขากำลังตามหาเจ้าทั่วทุกที่แล้ว”
ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่มีประกายความรู้สึกผิด
“ข้าขอโทษจริงๆ ทำให้พวกเจ้าต้องลำบากแล้ว เรื่องนี้คงไม่มีคนอื่นรู้ใช่หรือไม่?”
“ไม่มี นอกจากข้ากับจัวเซิงแล้ว ก็มีเพียงผู้อาวุโสสองท่านที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่เท่านั้น เดิมทีพวกเรายังบอกว่า หากฟ้ามืดแล้วเจ้ายังไม่กลับ ก็จะส่งคนไปตามหาเพิ่มเติม”
ภายในเมืองฝางโจว มีศิษย์ของสำนักหลิงเซียวอยู่จำนวนไม่น้อย
ตราบใดที่ผู้อาวุโสออกคำสั่งไป พวกเขาก็จะเคลื่อนพลในทันที
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจออกมา
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เป็นเช่นนั้นก็ดี…หากมีคนมาลำบากเพราะข้ามากกว่านี้ ข้าจะยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ แล้วท่านผู้อาวุโสอยู่ที่ไหน ข้าจะไปขอโทษพวกเขาด้วยตนเอง”
หลัวเยี่ยนหมิงพาฉู่หลิวเยว่ไปยังจุดรวมพลที่นัดกับจัวเซิงเอาไว้
…
ความจริงแล้วหลัวเยี่ยนหมิงมีเรื่องอยากถามมากมาย แต่บนถนนนั้นมีคนเดินผ่านไปผ่านมาพลุกพล่าน ก็ไม่ได้พูดอันใด เพียงแต่เหลือบสายตามองฉู่หลิวเยว่เป็นครั้งคราวเท่านั้น
ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ สงสัย สับสน และไม่เข้าใจ
ฉู่หลิวเยว่ทำได้เพียงแกล้งมองไม่เห็น
โชคดีที่เมื่อผ่านไปสักพัก พวกเขาก็ได้พบกับจัวเซิงและผู้อาวุโสที่กำลังตามหานางอย่างร้อนรนอยู่
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่กลับมาแล้ว พวกเขาก็ทั้งรู้สึกตกใจระคนยินดี จากนั้นก็รู้สึกว่ามีคำถามมากมายเต็มไปหมด
พวกเขาทั้งหลายรีบกลับไปยังสำนักในทันที
แต่หลังจากที่กลับมาถึงห้องแล้ว จัวเซิงก็ถามขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ได้
“ฉู่เยว่ นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”