ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1319 ซักไซ้ไล่เลียง
ตอนที่ 1319 ซักไซ้ไล่เลียง
กษายะหางวายุครองไว้ซึ่งพลังแห่งสายเลือดของหงส์ทองคำเป็นเรื่องจริง แต่การคิดจะก้าวข้ามห่วงพันธนาการนี้ไปมิใช่เรื่องง่ายดายปานนั้น
หลายปีมานี้ผู้อาวุโสอวี๋อวี้ได้พบเจอกษายะหางวายุมาก็ไม่น้อย ดังนั้นเมื่อพบเจอเข้ากับสถานการณ์เช่นนี้จึงรู้สึกประหลาดใจเป็นพิเศษ
“คงเพราะมีจุดเปลี่ยนบางอย่างกระมัง?”
สองแขนของผู้อาวุโสอวี๋อวี้กอดอกพลางใช้นิ้วมือเคาะลงบนแขนเบาๆ
“แต่ว่ากันตามตรง ต่อให้ภายในร่างของมันจะมีพลังแห่งสายเลือดไหลเวียนอยู่ในปริมาณที่เข้มข้น หากคิดจะกระตุ้นมันก็จำเป็นต้องลงแรงไปมหาศาล”
อีกทั้งในจุดนี้ ย่อมมิใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนที่เป็นจอมยุทธ์ระดับแปดสามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียวแน่
ใจของฉู่หลิวเยว่พลันกระตุกกึก ทว่าเพียงพริบตาก็สามารถเก็บซ่อนเอาความผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่างไร้ร่องรอยได้
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้สมกับที่คอยดูแลสวนอสูรมานานหลายปี ประสบการณ์มากล้น อีกทั้งยังมีความชำนาญและเข้าใจในด้านนี้อย่างลึกซึ้ง
มิเช่นนั้นแล้วย่อมไม่มีทางถามคำถามเช่นนี้ออกมาแน่นอน
“นั่นสิ! ฉู่เยว่ ที่มาของสัตว์อสูรตัวนี้ของเจ้าคงจะไม่ธรรมดาน่าดูเลยสิ? หรือว่าเป็นเพราะไปพบกับโชคดีอันใดเข้าอีก?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเองก็เอ่ยปากแทรกถามขึ้นสองประโยค
เขาที่ได้เผชิญมาอันใดมากมายไปพร้อมกับฉู่หลิวเยว่ ขนาดมองไปที่สัตว์อสูรในพันธสัญญาของนางก็ยังรู้สึกว่านางคือบุตรที่ถูกเลือกจากสวรรค์โดยแท้ ดวงดีมีโชคล้นอย่างยิ่ง
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มบางเบา
“ถวนจื่อเป็นสัตว์อสูรที่ข้าบังเอิญไปทำพันธสัญญาด้วยเมื่อนานมาแล้ว เท่าที่ข้ารู้ก็ไม่น่ามีที่มาที่น่าตื่นตาตื่นใจอันใด ก็เป็นเพียงกษายะหางวายุธรรมดาทั่วไป ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดครานี้มันถึงบุกทะลวงไปได้นั้น…”
นางกะพริบตาปริบๆ สีหน้าฉายแววไม่มีทางเลือก
“ศิษย์เองก็ไม่รู้แน่ชัดนัก แต่ว่าระยะหลังมานี้มันเอาแต่นอนหลับมาโดยตลอด ปลุกยังไงก็ไม่ยอมตื่น มาวันนี้จู่ๆ ก็ตื่นขึ้น ศิษย์ถึงเพิ่งรู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงรีบพามันมาที่นี่ขอรับ”
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
“นั่นย่อมถูกต้องแล้วละ เหตุผลที่มันตกเข้าสู่ห้วงนิทราเป็นเวลานานก็คงเป็นเพราะกำลังกระตุ้นพลังแห่งสายเลือดในตัว พลังถึงได้ปะทุออกมาพร้อมๆ กับการบุกทะลวงก้าวข้ามขีดจำกัดไป ฉู่เยว่ ดวงเรื่องโชคดีของเจ้าไม่มีใครสู้ได้เลยจริงๆ!”
สิ่งนี้ทำให้คนอื่นแทบไม่มีแรงจะไปอิจฉาเสียด้วยซ้ำ
สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ
บางคนพยายามไขว่คว้าแทบตายทว่าคว้าน้ำเหลว ในขณะที่บางคนได้รับโอกาสอันเหมาะสมเพราะอยู่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ
แน่นอนว่า จากมุมมองของผู้อาวุโสอวี๋อวี้แล้ว ที่ฉู่หลิวเยว่มีทุกอย่างในวันนี้ได้ก็มิได้พึ่งโชคดีเพียงอย่างเดียว
หากลองให้ผู้อื่นมาเผชิญกับวิกฤติที่นางต้องพบเจอ เกรงว่าคงถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้ว กระทั่งชีวิตยังรักษาไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
สามารถคว้าเอาโชคดีไว้ได้ เดิมทีนี่ก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งเช่นกัน
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะร่า
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงที่คอยอยู่ด้านข้างเห็นสีหน้าซีดเผือดของนางไม่ดีขึ้นพลันรู้สึกปวดใจอยู่บ้าง
“พอแล้ว พอแล้ว มีอันใดก็ไว้ค่อยพูดพรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย ฉู่เยว่ วันนี้เจ้าเองก็เหนื่อยไม่น้อย กลับไปพักฟื้นร่างกายกับข้าก่อนเถอะ”
ยามมองมาที่ร่างเล็ก ก็ได้แต่ขอว่าอย่าทิ้งผลกระทบข้างเคียงอันใดเอาไว้เลย
ฉู่หลิวเยว่พลันรู้สึกอุ่นวาบในใจ
“ขอรับ!”
…
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพาฉู่หลิวเยว่กลับมาส่งที่เขาจิ่วเหิงด้วยตัวเอง
หลังจากแน่ใจแล้วว่าร่างกายของนางไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดมากจริงๆ ก็เอ่ยกำชับอีกสองสามประโยคให้นางวางใจ ก่อนจะปลีกตัวจากไป
เขาไม่ได้ซักไซ้ไต่ถามอันใดต่อให้มากความเหมือนอย่างที่สัญญาเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้
หลังจากมองส่งผู้อาวุโสฮวาเฟิงไปจนลับสายตาแล้ว ฉู่หลิวเยว่จึงกลับห้องของตน ในนัยน์ตาพลันปรากฏแววครุ่นคิด
ทว่าในใจของพวกเขาแล้วอาจไม่แน่ว่าจะไม่สงสัยหรือระแวงในตัวนาง
หลังจากกลับไปแล้ว ขอเพียงพวกเขาลองหวนนึกกลับไปอย่างละเอียดถี่ถ้วน ย่อมต้องนึกจุดที่ไม่สมเหตุสมผลออกหลายจุดอย่างแน่นอน
อย่างเช่นว่าเหตุใดพอเจอเข้ากับปัญหา สถานที่แรกที่นางไปถึงเป็นสวนอสูร
หรือไม่ก็ยามนางเผชิญอันตราย เหตุใดถึงสามารถเรียกสัตว์อสูรจำนวนมากถึงเพียงนั้นให้มาหาได้
ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องที่ถวนจื่อบุกทะลวงขึ้นมากะทันหันเช่นนี้เลยด้วยซ้ำ
วันนี้อาจจะยังมองอันใดไม่ออก ทว่าบนโลกใบนี้หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง ใครก็ยากจะหลีกเลี่ยงได้ สักวันหนึ่งเรื่องที่ถวนจื่ออาศัยพลังจากทัณฑ์สวรรค์ภายในตาน้ำพุของเขาหมื่นเมรัยเพื่อบุกทะลวงกลายเป็นหงส์ทองคำก็อาจถูกเปิดเผยขึ้นมาได้ในอนาคต
ตอนนี้นางยังพอตอบคำถามพวกนี้แบบขอไปทีได้ แต่ว่า… ต่อไปข้างหน้าเล่า?
ฉู่หลิวเยว่ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถปิดบังเช่นนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง
ทว่าวันนี้ที่พาถวนจื่อตรงดิ่งไปยังสวนอสูร นั่นก็เพราะจำเป็นต้องทำจริงๆ
ภายใต้สถานการณ์ในตอนนั้น นางจำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนอื่นจึงจะสามารถแก้วิกฤตครั้งนี้ไปได้
ภายหลังความจริงก็ถูกพิสูจน์แล้วว่าหากนางพึ่งแต่ความช่วยเหลือจากอินทรีสามตาจริง ก็คงอดทนเอาไว้ไม่ไหวเป็นแน่
แบบนี้นี่แหละที่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะ ก่อนจะข่มความคิดที่ส่งเสียงอื้ออึงลงไป แล้วจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนของตนออกเสีย จากนั้นก็ลงไปแช่กายในน้ำร้อนแบบที่ไม่ค่อยได้ทำนัก
นางยังนำสมุนไพรบางส่วนมาลอยน้ำเพื่อรักษาอาการบาดแผลของตนอีกด้วย
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม นางก็ทำความสะอาดร่างกายเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจัดการผลัดเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน นี่ค่อยทำให้คนดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย
ยังดีที่บาดแผลพวกนี้บนร่างกายไม่สาหัสมากนัก ฉู่หลิวเยว่ใส่ยาให้ตัวเอง ผ่านไปสักพักแผลก็ฟื้นฟูตัวเองเรียบร้อย
ถวนจื่อที่รอนางออกมาอยู่นาน ก็กระโจนตรงเข้าหานางอย่างอดรนทนไม่ไหว
ทว่าครานี้ ฉู่หลิวเยว่กลับยกมือขึ้นคว้ามันเอาไว้ได้
นางคว้าเอาปีกของถวนจื่อเอาไว้ ก่อนจะหิ้วปีกมันขึ้นมา
หนึ่งมนุษย์ หนึ่งอสูร ดวงตาทั้งสี่สบประสานเข้าหากัน
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วพลางคลี่ยิ้ม
“ถวนจื่อ”
รอยยิ้มนี้ทำเอาถวนจื่อสั่นสะท้านโดยมิรู้ตัว ในตอนนั้นเองที่บังเกิดแรงดลใจให้อยากหนีออกไปจากตรงนี้ได้โดยเร็ว
น่าเสียดายที่ฉู่หลิวเยว่คว้าเอาปีกของมันไว้ มันจึงขยับไปไหนมาไหนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ดังนั้น มันจึงทำได้แค่จ้องฉู่หลิวเยว่ตาปริบๆ
“ถวนจื่อ ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้าหลายอย่างทีเดียว เจ้าต้องสารภาพมาด้วยความสัตย์จริง เข้าใจหรือไม่?”
ถวนจื่อกะพริบตาปริบๆ พลางพยักหน้าหงึกหงัก
ฉู่หลิวเยว่พึงพอใจกับปฏิกิริยาเช่นนี้ของมันอยู่บ้างทีเดียว จึงเอ่ยปากถามตรงๆ ว่า
“เรื่องราวก่อนหน้านี้ เจ้าจำได้มากน้อยเพียงใด?”
ถวนจื่อตะลึงไปพักหนึ่ง
รอยยิ้มที่มุมปากของฉู่หลิวเยว่กดลึกขึ้น นางเอ่ยสะกิดใจมันว่า
“ฟังให้ดี ‘ก่อนหน้านี้’ ที่ข้าหมายถึง คือตอนที่มาอาณาจักรเสิ่นซวี่คราวที่แล้ว”
“หากข้าจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ ในตอนนั้นเจ้าก็มากับข้านี่นา หือ?”