ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1317 หงส์ทองคำ
ตอนที่ 1317 หงส์ทองคำ
เสียงก้องดังกังวาน!
แลไพเราะเสนาะยิ่ง!
ทั้งยังน่าเกรงขาม!
กู่ร้องเพียงหนเดียว ก็กึกก้องไปทั่วฟ้าดิน!
ยามสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนที่รอคอยอย่างเงียบๆ อยู่ในบริเวณโดยรอบมาหนึ่งวันเต็มได้ยินประกาศิตนี้ล้วนแล้วแต่รู้สึกสั่นไหวไปถึงจิตวิญญาณ จากนั้นพวกมันทั้งหมดก็พร้อมใจกันส่งเสียงร้องแหลมเสียดหูออกมา!
ในน้ำเสียงที่กู่ร้องออกมามิแสดงให้เห็นถึงความทะนงตัวของอสูรศักดิ์สิทธิ์หรือยลยินถึงกิริยาดุร้ายป่าเถื่อนเลยแม้แต่น้อย หลงเหลือเพียงการเคารพนบนอบและยอมจำนนจากใจจริงเท่านั้น!
จากนั้น สัตว์อสูรเหล่านี้ต่างก็ทยอยคุกเข่ายอบตัวลงบนพื้นทีละตัว!
นอกจากตัวพวกมันจะสั่นสะท้านไปด้วยความกลัวแล้ว ยังมากไปด้วยอาการนอบน้อมและเลื่อมใสจนเต็มเปี่ยม!
อาการเหล่านี้ล้วนมาจากการชื่นชมแลเคารพเทิดทูนสายเลือดที่ทรงเกียรติที่สุดในใต้หล้าทั้งสิ้น!
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ทั่วทั้งร่างของผู้อาวุโสทั้งสองสั่นเทิ้ม สะเทือนลึกเข้าไปถึงจิตใจ
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงถึงกับเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง
“นั่น นั่นมัน…”
ข้อคาดเดาอันบ้าดีเดือดจนน่าหัวร่อข้อหนึ่ง พลันเคลื่อนผ่านวาบเข้ามาในสมองของเขา
ทว่าเป็นเพราะมันออกจะเกินเอื้อมไปหน่อย เขาจึงเอ่ยคำเหล่านั้นออกมาได้ยากนัก
เปลวเพลิงสีทองพิสุทธิ์…
ในโลกหล้านี้ มีเพียงสัตว์อสูรประเภทเดียวเท่านั้นที่ใช้เปลวเพลิงชนิดนี้ได้!
ในส่วนของผู้อาวุโสอวี๋อวี้ แม้ก่อนหน้านี้จะเดาผลลัพธ์ข้อนี้เอาไว้ในใจอยู่แล้ว ทว่าเมื่อได้มาเห็นกับตาก็ยังคงรู้สึกตะลึงพรึงเพริดไม่เปลี่ยน
เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ประหนึ่งว่ารับรู้ได้ถึงกลิ่นไหม้อันเป็นเอกลักษณ์ของเปลวเพลิงโหมกระหน่ำที่ลอยอวลอยู่ในอากาศก็มิปาน
ราวกับทุกสิ่งถูกแผดเผาเสียจนวอดวาย!
“นั่นคือ… อสูรศักดิ์สิทธิ์จากโบราณกาล… หงส์ทองคำ!”
ทุกถ้อยคำล้วนดุจดั่งแฝงเอาไว้ซึ่งน้ำหนักอันมหาศาล ประหนึ่งหินจู่โจมที่ร่วงหล่นไม่ให้รู้ตัว ทำเอาใจคนสั่นสะท้าน!
“เป็น เป็นไปได้…”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงสีหน้าแข็งทื่อนัก เขาเอ่ยพึมพำเสียงเบาด้วยท่าทีมิอยากเชื่อ
“หงส์ทองคำไม่ได้เผยตัวตนบนแผ่นดินใหญ่มาสามพันปีแล้ว บัดนี้มิคาดคิดเลยว่า…”
นั่นจะเป็นสัตว์อสูรในพันธสัญญาของฉู่เยว่!
ความจริงข้อนี้พุ่งเข้าชนในใจของผู้อาวุโสฮวาเฟิงมิหยุด ทำเอาตัวเขาโอนเอนไปมาทั่วทั้งร่าง
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้เงยศีรษะขึ้นมองเงาร่างสีทองพิสุทธิ์บนผืนฟ้าดำสนิทด้วยสายตาสับสน
หากมิได้เห็นฉากทั้งหมดนี้ด้วยตาเนื้อของตน เกรงว่าเขาเองก็คงคิดว่านี่เป็นภาพลวงตาเช่นกัน
“… โดยธรรมชาติของกษายะหางวายุ ก็มีพลังแห่งสายเลือดของหงส์ทองคำไหลเวียนอยู่ในร่างอยู่แล้ว และมันยังเป็นตัวตนเดียวท่ามกลางสัตว์อสูรจำนวนมากมายมหาศาลในใต้หล้านี้ ที่มีโอกาสสามารถบุกทะลวงห่วงพันธนาการ กลายเป็นหงส์ทองคำได้มากที่สุดอีกด้วย! เพียงแต่ว่าการจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญยิ่ง ด้วยการส่งต่อพลังนี้จากรุ่นสู่รุ่น พลังแห่งสายเลือดในตัวของกษายะหางวายุรุ่นปัจจุบันนั้นเบาบางนัก ให้พูดกันตามหลักแล้วความเป็นไปได้มันแทบไม่มีเสียด้วยซ้ำ… แต่…”
แต่สัตว์อสูรในพันธสัญญาของฉู่เยว่กลับทำสำเร็จเสียอย่างนั้น!
นี่จะไม่ให้ตื่นตกใจกันได้อย่างใด!?
“มิน่าเล่า… มิน่าเมื่อครู่สัตว์อสูรพวกนั้นถึงได้เชื่อฟังกันเช่นนี้ ที่แท้… เป็นเพราะคาดเดาได้ถึงการถือกำเนิดของหงส์ทองคำตัวนี้แล้วนี่เอง?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงประหนึ่งว่านึกอันใดบางอย่างขึ้นได้ บนใบหน้าจึงปรากฏแววเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นมาในบัดดล
นอกจากสองอสูรศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่จากบรรพกาลแล้ว ยังมีผู้ใดอีกที่มีพลังการกู่ร้องอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้?
พริบตาต่อมา เงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งก็พุ่งกระโจนขึ้นมาจากด้านล่าง!
เป็นผู้ที่สองผู้อาวุโสรอคอยอยู่เสียนานอย่างฉู่หลิวเยว่นั่นเอง!
ในขณะนั้น เสื้อผ้าบนกายนางต่างเปื้อนเปรอะไปด้วยคราบเลือดเป็นจุดเป็นหย่อม อีกทั้งใบหน้าของนางยังซีดเผือดจนหาคำมาบรรยายมิได้ ดูแล้วกระเซอะกระเซิงยิ่ง
ทว่า มีเพียงนัยน์ตาคู่นั้นที่ยังคงสว่างเรืองรองดุจดวงดารา ทอแสงเจิดจ้าระยิบระยับ!
เมื่อรับรู้ถึงการมาของนาง หงส์ทองคำที่ได้รับการกราบกรานเทิดทูนจากหมู่สัตว์อสูรจำนวนมากบนผืนฟ้าดำสนิทก็หลุบตาลงมามองนาง
หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ ปีกทั้งสองข้างของมันก็ขยับ แล้วพุ่งทะยานเข้าไปหาฉู่หลิวเยว่
บนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ดำสนิทปรากฏเป็นเส้นโค้งสีทองอร่ามสายหนึ่ง
ชั่วพริบตา มันก็บินมาหยุดตรงหน้าฉู่หลิวเยว่แล้ว
หนึ่งมนุษย์ หนึ่งอสูร ยืนเผชิญหน้าเข้าหากัน
เดิมทีฉู่หลิวเยว่เองก็นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีรูปร่างสูงโปร่ง ทว่าเมื่อมาอยู่ตรงข้ามกับหงส์ทองคำแล้วกลับดูตัวเล็กลงไปถนัดตา
ทว่ามิรู้ด้วยเพราะเหตุใด นางที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง อากัปกิริยาทั้งมวลของนางเมื่อเทียบกับหงส์ทองคำแล้วกลับมิได้ด้อยไปกว่ากันเลยแม้แต่นิดเดียว
แม้จะอยู่ตรงข้ามกันเช่นนี้ นางก็ยังคงโดดเด่นเป็นสง่าไม่เปลี่ยน
“ถวนจื่อ”
ฉู่หลิวเยว่มองถวนจื่อที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ทั้งหมดไปโดยสิ้นเชิงตรงหน้า ภายในอกเองก็ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังโถมกระหน่ำ หัวใจเต้นเร็วระรัวราวกับจะกระโจนออกมาก็มิปาน
ก่อนหน้านี้นางคาดเดาถึงการตื่นขึ้นในครานี้ของสายเลือดของถวนจื่อไว้อยู่แล้ว ว่าอาจจะสามารถบุกทะลวงไปได้ ทว่าตัวนางเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะก้าวข้ามเส้นเริ่มต้นมาบุกทะลวงเป็นหงส์ทองคำเช่นนี้!
มิน่าเล่ามันถึงใช้เวลานานปานนั้นกว่าจะปลุกพลังให้ตื่นได้ ที่แท้ก็กลั่นออกมาเป็นก้าวย่างที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้นี่เอง!
ไม่เสียแรงเปล่าเลยจริงๆ ที่นางทุ่มเทแรงกายแรงใจมากถึงปานนั้นเพื่อช่วยเหลือมัน!
นางกวาดสายตามองสำรวจถวนจื่ออย่างละเอียดถี่ถ้วน
รูปร่างภายนอกต่างจากก่อนหน้านี้ไม่มากนัก แต่ขนสีแดงทั่วทั้งร่างบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามตาเรียบร้อย กรงเล็บทั้งสองขาวดั่งหิมะ ดวงตาเองก็เปลี่ยนเป็นสีหมึกเข้มข้นเช่นกัน
จากเท่าที่มองดู แววตาของมันเป็นประกายชุ่มชื้น ทว่าก็ราวกับลึกล้ำไร้ก้นบึ้งที่สิ้นสุด
เพียงปรายตามองไปก็สามารถจับสังเกตได้ถึงประกายแสงแวววาวที่เคลื่อนผ่าน
จากในแววตาคู่นั้น ฉู่หลิวเยว่สามารถมองเห็นเงาสะท้อนของตนได้อย่างชัดเจน
ถวนจื่อก้มศีรษะลงมา ก่อนจะถูเบาๆ เข้ากับใบหน้าของนางอย่างสนิทสนม
ทั่วทั้งร่างของมันลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงสีทองพิสุทธิ์ ทว่ายามฉู่หลิวเยว่สัมผัสเข้ากับเปลวเพลิงเหล่านั้นแล้ว นางกลับมิได้รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย กลับกันนางรู้สึกได้ถึงความเป็นพวกเดียวกัน เข้าหาอยู่รวมกันอย่างเป็นธรรมชาติ
นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้วซี!
นี่คือสัตว์อสูรในพันธสัญญาของนางเชียวนะ!
ยามสัมผัสได้ถึงความร้อนรุ่มจากร่างกายของถวนจื่อ ขนนกอันนุ่มนิ่ม รวมไปถึงการเข้าหาอย่างสนิทสนมแน่นแฟ้น ฉู่หลิวเยว่ก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้าอย่างอดไม่ได้ แล้วใช้สองแขนกอดรอบคอถวนจื่อแน่นไม่ยอมปล่อย
โชคยังดีที่เรื่องทั้งหมดไม่ได้เลยเถิดไปถึงขั้นเจ็บตัว ท้ายที่สุดแล้วถวนจื่อก็กลับมาอยู่ข้างกายนางเสียที!
ยามจ้องมองไปยังหนึ่งมนุษย์ หนึ่งอสูรที่กอดกันกลม บรรดาอสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่อยู่ข้างล่างต่างก็พร้อมใจกันเงียบเสียงลงในบัดดล
สายตาที่มองไปยังฉู่หลิวเยว่นั้น นอกจากจะมีความเคารพนอบน้อมแล้ว ยังแฝงด้วยความรู้สึกเกรงขาม
หากบอกว่าก่อนหน้านี้ที่ถูกนางตีเสียจนหัวหด กล้าขุ่นเคืองแต่มิกล้าปริปาก มาบัดนี้กระทั่งจะเคืองโกรธก็มิคิดกล้าแล้ว
นางผูกพันธะกับหนึ่งในสองอสูรศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่จากบรรพกาลที่เปี่ยมด้วยเกียรติที่สุดในใต้หล้า แทบจะนับได้ว่าอยู่เหนืออสูรทั้งปวงแล้วด้วยซ้ำ!
นี่ยังมีใครกล้ามีปากมีเสียงด้วยอยู่อีกอย่างนั้นหรือ?
ต่อแต่จากนี้ทำได้แค่ต้องเชื่อฟังคำสั่งเป็นเด็กดีเท่านั้น!
“เจ้าเด็กนี่… หลังจากนี้ข้าว่าเขาต้องมีอนาคตไกลแน่!”
อารมณ์ของผู้อาวุโสอวี๋อวี้เองก็ยังคงยากที่จะสงบใจลงได้ ทว่าเมื่อเขายอมรับถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาได้แล้ว ยามมองดูฉู่หลิวเยว่กับถวนจื่อสนิทชิดเชื้อกันปานนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“ก็รู้มาก่อนแล้วละนะว่าเขาเก่งกาจ ทว่าข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าดวงเขาจะดีถึงระดับนี้ด้วย…”
ทั้งโชค ทั้งความสามารถ ล้วนมิขาดตกบกพร่อง!
ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าฉู่เยว่ได้ถือครองกระบี่ชื่อเซียวโดยมิตั้งใจ ในใจของเขาก็ยังคงรู้สึกต่อต้านอยู่ไม่น้อย
ผู้อาวุโสในสำนักมีมากปานนั้น ศิษย์ที่โดดเด่นก็กลาดเกลื่อนเต็มไปหมด ทว่าสุดท้ายกลับกลายเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งเข้าสำนักมาได้ในเวลาไม่นานเสียอย่างนั้น
ไม่ว่าใครได้ยินก็ย่อมไม่มีทางนิ่งเฉยอยู่ได้หรอก
ทว่ามาบัดนี้ เขาถึงเพิ่งได้เข้าใจว่า กะอีแค่กระบี่ชื่อเซียวเล่มหนึ่ง มันนับเป็นอันใดได้?
สัตว์อสูรในพันธสัญญาบุกทะลวงครั้งเดียวก็แปลงร่างกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์จากบรรพกาล สิ่งนี้ต่างหากที่ทำให้คนตะลึงจนพูดไม่ออก!
อย่างใดเสีย ทั่วทั้งผืนแผ่นดินใหญ่นี้ อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋ออย่างกระบี่ชื่อเซียวก็ย่อมมีไม่มากอยู่แล้ว
แต่ว่าใต้หล้าน่ะมีสัตว์อสูรอยู่เท่าไรกัน?
ลำพังแค่ในสำนักหลิงเซียวของพวกเขา หลายปีมานี้เขาก็ได้เห็นกษายะหางวายุมาสี่ห้าตัวแล้ว!
ไม่ต้องไปพูดถึงทั่วทั้งอาณาจักรเสิ่นซวี่เลยด้วยซ้ำ!
นั่นน่ะหากให้พูดกันแล้วย่อมมีเยอะกว่าเห็นๆ!
ทว่ามีเพียงแค่กษายะหางวายุตัวนี้ของฉู่เยว่เท่านั้นที่บุกทะลวงกลายเป็นหงส์ทองคำ!
แล้วจะหาเหตุผลที่ไหนมาแย้งได้อีก?
“ฟู่… เจ้าพูดถูกแล้วล่ะ”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนจะลูบใบหน้าของตนอย่างแรงพลางทอดถอนใจออกมาจากใจจริงว่า
“โชคดีจริงที่ข้าไม่ได้ทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรไว้ มิเช่นนั้นแล้วถ้าได้เห็นฉากนี้เข้า ข้าต้องโกรธจนลมจับแน่”