ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1316 บุกทะลวง
ตอนที่ 1316 บุกทะลวง
ชั่วพริบตาที่สีทองอร่ามอันเป็นประกายระยับที่ซึ่งไร้สิ่งใดเปรียบปรากฏขึ้น มันก็แผ่แสงสว่างเรืองรองไปทั่วทั้งโพรงถ้ำในทันใด!
แรงกดดันที่มหาศาลเสียจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ถูกแผ่ขยายออกมาจากตัวมัน!
ใจของฉู่หลิวเยว่สั่นระรัว ไข่มุกธาราภายในร่างเองก็โคจรขึ้นเร็วกว่าเดิมโดยที่นางมิทันรู้ตัว!
พลังปราณดั้งเดิมภายในกายนางเริ่มโคจรด้วยความเร็วที่ผิดธรรมดาขึ้นเรื่อยๆ!
“อือ อือ…”
เสียงสะอื้นต่ำทุ้มที่แว่วดังขึ้นแท้จริงแล้วเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นที่ล้วนแล้วแต่ค้อมกายลงต่ำ ตาก็มองไปยังเปลวเพลิงที่กำลังแผดเผาเต้นเร่าอย่างมีชีวิตชีวาพลางตัวสั่นระริก
นั่นคือแรงกดดันอันยิ่งใหญ่ที่มาจากสายเลือดมิผิดแน่! มันบดขยี้ทุกสิ่งอย่างเลยทีเดียว!
กระทั่งอาฉยงยังหยัดกายขึ้นมาได้อย่างยากลำบาก ก่อนจะพาเทาเทาถอยหลังออกไปหลายก้าว
ภายในโพรงถ้ำถูกเปลวเพลิงสาดแสงสว่างเรืองรองดุจเวลากลางวันก็มิปาน
ณ ตำแหน่งตรงกลางถ้ำ เหลือเพียงหนึ่งมนุษย์ หนึ่งอสูร
ฉู่หลิวเยว่จ้องเขม็งไปยังสีทองอร่ามที่อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีแดงฉาน
ขณะที่เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆ เปลวเพลิงสีแดงฉานที่ตีวงล้อมรอบเองก็ดูราวกับว่าค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีทองขึ้นทีละนิด
ประกายแสงยิ่งทวีความเรืองรองเจิดจ้าขึ้นไปอีก!
ฉู่หลิวเยว่พลันเอ่ยขึ้นมาว่า
“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อนเถอะ”
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น บรรดาสัตว์อสูรจำนวนมากต่างก็ผงกศีรษะอย่างลนลานประหนึ่งกระเทียมที่ถูกทุบแล้วทยอยจากไป
“อาฉยง เจ้ากับเทาเทาเองก็ออกไปเฝ้าคุ้มกันข้างนอกก่อน”
อาฉยงมองนางอย่างลังเล ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็เลือกเชื่อฟังคำสั่งนาง ก่อนจะหิ้วเทาเทาแล้วหมุนกายปลีกตัวออกไป
บาดแผลบนร่างของมันค่อนข้างสาหัส เนื้อหนังฉีกขาด เลือดสดไหลหลั่ง บาดแผลจำนวนมากล้วนมีสภาพย่ำแย่ทั้งสิ้น
เห็นชัดเลยว่าเมื่อครู่มันต้องทนรับการโจมตีจากกระแสพลังอันน่าหวาดผวาเช่นใด
ทุกที่ที่มันย่างกรายผ่านก็จะทิ้งคราบเลือดสีเข้มเปรอะไว้บนพื้นดินเป็นหย่อมๆ ด้วย
รอจนพวกมันทั้งหมดจากไปกันเรียบร้อยแล้ว ฉู่หลิวเยว่จึงได้เบนสายตากลับมามองไปยังถวนจื่อ
ราวกับว่ารับรู้ได้ถึงสายตาของนาง เปลือกตาของถวนจื่อพลันกระตุก
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยแกมหัวเราะเสียงต่ำว่า
“หนี้ที่เจ้าติดไว้น่ะ หลังออกไปแล้วต้องคืนให้หมดเสียเล่า”
ถวนจื่อมิได้เอ่ยตอบ มีเพียงเปลวเพลิงบนร่างของมันที่แผดเผาให้ร้อนระอุยิ่งขึ้นไปอีก
…
ผู้อาวุโสทั้งสองจดจ้องไปยังยอดเขาด้วยจิตที่ตึงเครียด
อสูรศักดิ์สิทธิ์ต่างทยอยออกมาจากยอดเขาเรื่อยๆ ทว่าหลังจากพวกมันลงมาถึงตีนเขาแล้วกลับมิได้จากไปไหน ทว่ากลับหยุดนิ่งแล้วหันมองไปยังตำแหน่งบริเวณไหล่เขาเป็นตาเดียว ประหนึ่งว่ากำลังรอคอยอันใดบางอย่างก็มิปาน
“นี่พวกมันกำลังทำอันใดกัน?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงมองดูด้วยท่าทีจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ก่อนหน้านี้พวกมันก็แยกย้ายกันไปแล้วนี่ เหตุใดมาครานี้ถึงออกมาออกันไม่กลับถิ่นตนเล่า?”
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้มิได้เอ่ยอันใด ทว่าสีหน้ากลับยิ่งแข็งทื่อ
บางทีสิ่งที่เขาคาดคิดเอาไว้ในใจอาจเป็นจริงขึ้นมาแล้วจริงๆ…
รอยแตกบนยอดเขายิ่งแผ่ขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
ต้นไม้ใหญ่เริ่มล้มระเนระนาด ก้อนหินร่วงกลิ้งหล่น พลังแห่งสวรรค์และโลกที่อยู่ในละแวกนี้เริ่มพวยพุ่งตรงเข้ามายังบริเวณนั้นอย่างบ้าคลั่ง
ท้ายที่สุดแล้วพวกมันทั้งหมดก็มาประกอบรวมกันเป็นวังน้ำวนกระแสพลังขนาดมหึมา ดูไปแล้วน่าหวาดหวั่นยิ่ง
เมฆดำก่อตัว พายุโหมคำรามคลั่ง
ไม่ว่าใครก็ล้วนดูออกว่าเขาลูกนี้ยืนหยัดไว้ไม่อยู่แล้ว
อีกอย่าง…
ย่อมต้องมีเรื่องที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่านี้เกิดขึ้นเป็นแน่!
บรรยากาศก่อนพายุจะถาโถมเข้ามาชวนตึงเครียดนัก
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเองก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาอยู่บ้าง จึงเม้มริมฝีปากของตนแน่น มิได้เอ่ยพูดคุยอันใดขึ้นมาอีก
บริเวณโดยรอบพลันเงียบสงบลง
ประหนึ่งว่าคลื่นใต้น้ำที่กำลังถาโถมอยู่ใต้พื้นผิวจะปะทุกระแสน้ำมหาศาลออกมาได้ทุกเมื่อ!
…
เวลาหนึ่งวันเคลื่อนผ่านไปไวนัก พริบตาเดียวก็ได้เวลาพลบค่ำแล้ว
ยามมองดูผืนฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง จัวเซิงกำลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงประตูห้องด้วยสีหน้าวิตกกังวล
หลัวเยี่ยนหมิงที่นั่งอยู่ในห้องเอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ในท้ายที่สุด
“จัวเซิง เจ้าเอาแต่เดินส่ายไปส่ายมาจนข้าเวียนหัวไปหมด นั่งรอนิ่งๆ ไม่ได้หรือไร?”
“ก็ข้านั่งไม่ลงนี่!”
จัวเซิงเกาศีรษะแกรกๆ ด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“เจ้าว่าฉู่เยว่กับผู้อาวุโสฮวาเฟิงพากันไปถึงไหนกันแน่? นี่ไปกันเป็นวันแล้ว ยังไม่เห็นแม้แต่เงาคนครึ่งร่าง! เฮ้อ ถ้าตอนนั้นพวกเราตามไปทันก็ดีน่ะสิ!”
หลัวเยี่ยนหมิงมองเขาอย่างฉงน
“นี่เจ้าประเมินความสามารถของตัวเองผิดไป หรือประเมินตัวข้าสูงไปกันแน่ คิดจริงหรือว่าพวกเราสองคนจะไล่ตามอาจารย์ข้าไปได้ทัน?”
ตอนนั้นสถานการณ์เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน หลังฉู่เยว่ออกมาจากเขาจิ่วเหิงแล้ว ร่องรอยการมีอยู่ของเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงตามหลังเขาไปติดๆ กระทั่งที่ว่ายังเอ่ยคำทักทายไม่จบก็ตามเขาไปก่อนเสียแล้ว
เดิมทีพวกจัวเซิงทั้งสองเองก็คิดจะตามไปเช่นเดียวกัน ทว่าตามไปไม่นานก็ถูกสลัดหลุด
ในเมื่อทำอันใดไปมากกว่านี้ไม่ได้ คนทั้งสองจึงทำได้แค่เลือกมุ่งหน้ากลับไปก่อน คิดเอาไว้ว่ารอให้พวกผู้อาวุโสฮวาเฟิงกลับมาเสียก่อนค่อยสืบสาวราวเรื่องอย่างละเอียดว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
แม้จะเป็นห่วงฉู่เยว่ ทว่าอย่างใดเสียผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็เป็นผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมสูงส่งและเป็นที่นับหน้าถือตาในสำนัก มีเขาอยู่ พวกเขาเองก็พอวางใจไปได้เปราะหนึ่ง
ใครจะรู้ว่าการรอครั้งนี้ต้องรอแทบจะทั้งวัน
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงและฉู่เยว่ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาเลยแม้แต่นิดเดียว
พวกเขาทั้งสองเองก็มิกล้าออกไปสืบข่าวข้างนอกตามใจชอบ จึงทำได้เพียงรั้งรอคอยดูด้วยความวิตกถึงขีดสุดเช่นนี้ต่อ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จัวเซิงพลันรู้สึกขวัญเสียขึ้นมาอยู่บ้าง
“เช่นนั้นก็แปลกแล้ว! เจ้าบอกว่าผู้อาวุโสฮวาเฟิงความสามารถแกร่งกล้า พวกเราตามเขาไม่ทันเป็นเรื่องปกติ แต่เหตุใดความเร็วของฉู่เยว่ถึงได้เร็วปานนั้นเหมือนกันเล่า?”
ตอนนั้นเขายังไม่ทันเห็นอันใดชัดเจนดีด้วยซ้ำ พริบตาเดียวคนก็หายตัวไปแล้ว!
“บัดนี้เขาเป็นเซียนหมอระดับเก้าก็จริง แต่ระดับจอมยุทธ์ไม่ได้สูงไปกว่าข้าเลยสักนิด เหตุใดถึงได้เร็วกว่าข้าขนาดนั้นกัน?”
จัวเซิงไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“อีกอย่าง ไม่รู้ว่าข้าคิดไปเองหรือเปล่า ตอนที่เขาพุ่งเข้ามาจากทางด้านข้าง ข้ารู้สึกมาตลอดเลยว่าลมปราณของเขามันเหมือนจะ… เหมือนจะห่างกว่าข้าไม่เท่าไรเอง…”
คำพูดนี้ของเขาค่อนข้างสงวนท่าทีไว้ทีเดียว
ความจริงแล้ว เขามานึกขึ้นได้ในภายหลัง กระทั่งรู้สึกว่าตัวเองนั้นด้อยกว่าอีกฝ่ายอยู่หน่อยหนึ่งด้วยซ้ำ
ทว่าไม่นานมานี้ฉู่เยว่ยังเป็นแค่จอมยุทธ์ระดับเจ็ดเท่านั้น นี่ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นตากันดี
ต่อให้เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ในระยะเวลาที่สั้นขนาดนี้ก็ไม่มีทางที่จะบุกทะลวงได้มากเพียงนี้หรอกกระมัง?
“นี่มีอันใดแปลกหรือ”
เมื่อเทียบกับอาการตื่นตะลึงปนสงสัยของจัวเซิงแล้ว หลัวเยี่ยนหมิงกลับมีทีท่าเรียบเฉยกว่ามาก
เขาหัวเราะออกมาเสียงดังสนั่น
“หรือว่าเจ้าคิดจริงๆ ว่าเขามีพรสวรรค์แค่ในด้านเคล็ดวิชาเซียนหมอ?”
มุมปากของจัวเซิงกระตุกกึก
“เจ้า… เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างใดกัน?”
หลัวเยี่ยนหมิงเผยอริมฝีปาก สุดท้ายแล้วก็กล่าวมาแค่ว่า
“คนที่ทำให้ศิษย์พี่หรงซิวให้ความสำคัญถึงเพียงนั้นได้ จะเป็นแค่คนธรรมดาสามัญได้อย่างใดกัน? ข้าแค่รู้สึกว่าสิ่งที่เขาแสดงออกมาให้เห็นในตอนนี้ยังไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริงของเขาเสียด้วยซ้ำ”
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก เจ้าหนูฉู่เยว่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครเดาทางเขาออก เรื่องที่ปิดบังไว้ก็เก็บซ่อนมิดชิด”
จัวเซิงผงกศีรษะเป็นเชิงเห็นด้วย แล้วกล่าวต่อว่า
“แต่ว่า ข้าก็ยังหวังว่าคราวนี้จะไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเขา ขอแค่อยู่รอดปลอดภัยก็เป็นอันใช้ได้แล้ว”
“รอดูเถอะ”
หลัวเยี่ยนหมิงเอ่ยตอบ
…
ในคืนนั้นเอง
ณ สวนอสูร
พวกผู้อาวุโสฮวาเฟิงทั้งสองยังคงรั้งรออยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
พื้นที่โดยรอบมืดลงแล้ว มีเพียงบนยอดเขาลูกนั้นที่ยังคงแผ่แสงสว่างเรืองรองออกมาจากโพรงถ้ำ
นอกจากนี้ ขณะที่เวลากำลังเดินเคลื่อนไป ประกายแสงนั่นก็ยิ่งทวีความเปล่งปลั่งเจิดจ้า
ทันใดนั้นเอง วังน้ำวนกระแสพลังอันมหาศาลพลันหยุดหมุนวน จากนั้นมันก็กวาดเอาเมฆดำทั้งหมดที่กระจายอยู่เต็มท้องฟ้าสลายหายไป!
แกร๊ก!
เสียงแตกตัวออกจากกันของก้อนหินภูเขาที่ฟังแล้วดังกังวานพลันดังแว่วมา
ท่ามกลางความเงียบสงัดในป่าเขา เสียงนั้นจึงฟังดูชัดเจนเป็นพิเศษ!
ผู้อาวุโสทั้งสองสบตากัน ทั้งคู่ต่างก็มองเห็นแววกระวนกระวายในนัยน์ตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
ตูม!
ก่อนที่ยอดเขาซึ่งได้รับแรงสะเทือนอยู่นานแล้วจะถูกขุมพลังอันน่าหวั่นเกรงระเบิดปะทุออกมาจากภายใน!
เปลวเพลิงสีแดงแกมทองที่ผสานตัวเข้าหากันอย่างอัดแน่นพวยพุ่งขึ้นสู่ผืนฟ้า!
จากด้านในนั้นเอง ลมปราณอันน่าตื่นตะลึงที่ดูราวกับว่าถูกกักเก็บไว้มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ก็ทำการแผ่กระจายมวลพลังอันมหาศาลไปทั่วทั้งผืนฟ้า!
ฟึ่บ!
ปีกขนาดมหึมาคู่หนึ่งพลันกางออก!
กี๊!