ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 948 พลังภูตผี (2)
แกร๊ก
ลู่เซิ่งชักบัตรเปิดประตูกลับ แล้วผลักประตูเดินเข้าห้องตัวเอง
ในห้องมีคนอยู่แล้ว ในห้องน้ำมีเสียงชะล้าง แสดงให้เห็นว่ามีคนกำลังอาบน้ำอยู่
ลู่เซิ่งวางของกินไว้บนโต๊ะ หมุนตัวไปนั่งพิงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เก้าอี้หันเข้าหากระจกแต่งตัว จึงสะท้อนสภาพเขาในตอนนี้ได้
เขาหันไปมองตัวเองในกระจก
สีหน้าอึมครึมของหวังตงคนเดิมได้กลายเป็นใบหน้าที่เย็นชานิ่งสงบ องคาพยพที่ก่อนหน้านี้ยังอยู่ในระดับธรรมดา เวลานี้คล้ายมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเหมือนกับแต่งหน้า ผิวดีกว่าก่อนหน้า
“เป็นอย่างที่คาด ผลความงามของอัคคีจิตหงส์เพลิงแกร่งไปหน่อยจริงๆ…” ลู่เซิ่งลูบหน้า รู้สึกว่าเรียบเนียนกว่าเดิมไม่น้อย
ขณะนั่งเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกาย ลู่เซิ่งก็หยิบเอาโทรศัพท์ออกมาเปิดไวไฟเพื่อตอบข้อความ
ในนี้มีคำทักทายที่พ่อแม่ของหวังตงเจ้าของร่างส่งมา ยังมีคำทักทายจากครอบครัวอีกหลายคนที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวอย่างลูกพี่ลูกน้อง
นอกจากนี้แล้ว ก็ไม่มีใครทักทายอีก
วงสังคมของร่างกายร่างนี้แคบจนน่าสงสาร
หลังจากตอบว่ามาถึงอย่างปลอดภัย ลู่เซิ่งก็รีบเปิดบราวเซอร์ เข้าอินเทอร์เน็ต เพื่อตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ของโลกใบนี้
ระดับอารยธรรม ระบบของประเทศ การกระจายตัวทางเชื้อชาติ ขีดจำกัดพลังต่อสู้ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ลู่เซิ่งให้ความสำคัญที่สุด
ตรวจสอบข้อมูลได้ครึ่งหนึ่ง ประตูห้องอาบน้ำก็เปิดออก
หยวนซวงซวงสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นและกางเกงขาสั้นเดินออกมา กำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมอยู่
“อ้าว พวกเราอยู่ห้องเดียวกันหรอกเหรอ” เด็กสาวเห็นลู่เซิ่งก็ประหลาดใจเล็กน้อย “แต่ก็ปกติ เขาจัดให้คนที่นั่งด้วยกันบนเครื่องบินอยู่ห้องเดียวกัน”
ลู่เซิ่งเห็นหยวนซวงซวงก็งุนงงเล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกตัว สาธารณรัฐหลันเก๋อหลั่งหนีที่หวังตงอยู่แบ่งเส้นแบ่งระหว่างชายหญิงไม่ค่อยละเอียดนัก
และความจริงห้องที่พวกเขาอยู่ก็เป็นห้องชุด ด้านในแบ่งเป็นห้องเดี่ยวอีกสองห้อง
ไม่ได้หลับนอนห้องเดียวกันจริงๆ
“เครื่องมือเครื่องใช้ของที่นี่ไม่ค่อยดีเท่าไร ตกแต่งไม่เลว แต่จำกัดเวลาบริการน้ำอุ่น เธอรีบไปอาบเถอะ พรุ่งนี้ผู้นำกลุ่มบอกว่าให้ตื่นหกโมง” หยวนซวงซวงมีนิสัยเปิดเผย ปล่อยผมยาวลง พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ได้” ลู่เซิ่งพยักหน้า ลุกขึ้นหาของสำหรับอาบน้ำจากในกระเป๋า จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนเข้าห้องน้ำ
หยวนซวงซวงเป่าผมสักพัก ขณะกำลังจะเข้าไปดูโทรศัพท์ในห้องนั่นเอง
ก๊อกๆๆ
ใครบางคนเคาะประตูจนเสียงดัง
“ใครคะ” หยวนซวงซวงรีบลากรองเท้าไป เพิ่งจะจับลูกบิดประตู ก็เห็นจางฉีซวนพานักเรียนหญิงคนหนึ่งถลันเข้ามา
“หวังตงน้องชายฉันเขาไม่ค่อยเล่นโทรศัพท์ เอาของเขาให้เธอใช้ก่อนก็แล้วกัน ไม่ต้องห่วง อีกเดี๋ยวเจอตัวค่อยคืนให้ฉันก็ได้” จางฉีซวนเดินเข้ามาพร้อมกับหันไปคุยกับนักเรียนหญิงคนนั้น
“นี่มันไม่ถูกนะ…” เด็กสาวคนนั้นเขินอายเล็กน้อย แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
“ไม่มีอะไรไม่ถูกหรอก เวลาอยู่ด้านนอกต้องช่วยกันอยู่แล้ว เอาตามนี้เถอะ” จางฉีซวนกวาดตามอง แล้วเจอกระเป๋าเดินทางของหวังตงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปค้นหาไวไฟติดตัวออกมาจากในกระเป๋าโดยใช้เวลาไม่นาน
“เรียบร้อย ไปเถอะ” เธอถือไวไฟหมุนตัวออกประตู
“ไม่บอกน้องชายเธอหน่อยเหรอ” นักเรียนหญิงคนนั้นงุนงงเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร เขาไม่เล่นโทรศัพท์อยู่แล้ว ถือไว้ก็ไม่ใช้อยู่ดี” จางฉีซวนลากนักเรียนหญิงคนนั้นผละไป
ตุบ ประตูปิดลง
หยวนซวงซวงคงยืนอยู่ด้านข้าง ยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สองคนนั้นก็เสร็จธุระแล้ว
เสียงอาบน้ำดังมาจากห้องน้ำ หยวนซวงซวงผุดสีหน้างุนงง ไม่ทราบว่าจะบอกกับลู่เซิ่งอย่างไรดี
เธอปิดประตู ก่อนมองกระเป๋าสัมภาระที่เละเทะ คิดว่าตนต้องบอกกับลู่เซิ่งให้เข้าใจ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าตนเป็นคนค้นก็ได้
ลู่เซิ่งอาบน้ำไปพลาง ฟังความเคลื่อนไหว้ด้านนอกไปพลาง หลังจากประสาทสัมผัสของเขาได้รับการเสริมความแข็งแกร่ง ระยะห่างเท่านี้ยังคงได้ยินชัด
เพียงแต่บนตัวไม่มีเสื้อผ้า เลยออกไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้
ไวไฟหายไปแล้ว เล่นอินเตอร์เน็ตไม่ได้อีก ภาพประทับใจที่มีต่อจางฉีซวนพลอยแย่กว่าเดิมลงไปด้วย
แม้จะเป็นแค่เด็ก แต่พอส่งผลถึงแผนการปกติของเขา เขาย่อมไม่พอใจ
ลู่เซิ่งเช็ดผมจนแห้ง ก่อนเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นหยวนซวงซวงที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“เธอไปนอนเถอะ ฉันได้ยินหมดแล้ว”
หยวนซวงซวงระบายลมหายใจ
“นั่นพี่เธอเหรอ” เธอถาม
“ใช่”
“งั้นเหรอ” หยวนซวงซวงไม่รู้จะพูดอะไร เพียงรู้สึกว่าลูกผู้พี่คนนี้ช่าง…
“นอนเถอะ” ลู่เซิ่งปิดกระเป๋าเดินทาง รูดซิป แล้วหิ้วเข้าไปในห้องของตัวเอง
…
กลางดึก เมฆที่เคลื่อนไหวอำพรางแสงจันทร์ จากนั้นก็ลอยผ่านไป
สิ่งก่อสร้างและป่าเขาผืนใหญ่ด้านล่างถูกเงาดำบดบังและปรากฏอย่างรวดเร็วเป็นพักๆ
ใต้ตึกร้างซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมซิลเวอร์โกลด์เพลซออกมาทางเหนือหลายร้อยเมตร
ในเงาดำมืด จ้าวจ้งจวินปิดไกปืนของปืนพกสีทองบนมือ สองด้านของตัวกระบอกปืนมีลวดลายทางศาสนาที่ลึกลับงดงาม ด้านหลังกระบอกปืนมีปีกเหมือนทูตสวรรค์ค่อยๆ ปล่อยทรายแสงสีทองออกมา
ตัวปืนเต็มไปด้วยเกล็ด เหมือนกับงูสีทองที่ถูกทำเป็นตัวอย่าง อ้าปากเผยเขี้ยวพิษ และพุ่งขย้ำ
“บอกแล้วไงว่าอย่ามาหาเรื่อง!” จ้าวจ้งจวินมองพื้นว่างด้านหน้าด้วยสายตาเย็นเยียบ
แสงจันทร์เคลื่อนผ่าน ส่องใส่ที่ว่างผืนนั้น เผยให้เห็นร่างที่สูงชะลูดและเย็นเฉียบของหวงย่า
เธอมองจ้าวจ้งจวินด้วยสีหน้าราบเรียบ ถือมีดยาวที่โค้งงอเล่มหนึ่ง
ตัวดาบเป็นสีน้ำเงินเข้มอันแปลกประหลาด บางและเรียวยาว ตรงด้ามมีลูกบาศก์สีขาวที่เหมือนกับก้อนน้ำแข็งกองรวมกัน กำลังปล่อยไอความเย็นสีขาวออกมา
“เมฆสายฟ้าสีทองอยู่ในมือนายจริงๆ ด้วย ถ้าไม่มีความจำเป็น ฉันก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับนายหรอกนะ แต่นายดันมาทำร้ายน้องชายของฉัน ทำลายอาวุธภูตผีของเขา!” หวงย่าเอ่ยเสียงเย็น ควงมีดยาวในมือเบาๆ มันสะท้อนแสงสีน้ำเงินพิสดารที่ล้ำลึกออกมาใต้แสงจันทร์
“น้องชายเธอหวงเฮ่าน่ะเหรอ” จ้าวจ้งจวินขมวดคิ้ว “ฉันบอกแล้วว่าไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันแค่ไล่เขาไป ไม่ได้ลงมือ”
“แต่บาดแผลบนตัวเขามีแต่ร่องรอยอาวุธภูตผีของนาย! อย่ามาหลอกกันซะให้ยาก” หวงย่าค่อยๆ เดินเข้าหาจ้าวจ้งจวิน
“ต่อสู้ระยะประชิด ฉันไม่อยากเสียพลังภูตผีไปเปล่าๆ เธออย่าบังคับฉันนะ” จ้าวจ้งจวินมีน้ำโหแล้วเช่นกัน
เขาบอกไม่ใช่ก็ต้องไม่ใช่ อีกฝ่ายยังสงสัยอยู่อีก นี่ดูถูกเขาหรือ
“ทุกคนต่างเป็นทูตภูตผีระดับเงิน นายคิดว่ามีเมฆสายฟ้าสีทองเพิ่มมาแล้วจะเอาชนะฉันได้เหรอ” หวงย่าหัวเราะเสียงเย็น
แกร๊ก
จ้าวจงจวินค่อยๆ ยกกระบอกปืนสีทองขึ้น ปืนขึ้นลำกล้องส่งเสียงกลไกลเคลื่อนที่ดังเบาๆ ปีกสีทองด้านหลังกระบอกเริ่มเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า
“อย่างนั้นก็มาดูกันว่าใครแข็งแกร่งกว่า!” เขาชี้ปากกระบอกปืนไปที่หวงย่า
ต่อให้เป็นเพื่อนร่วมห้อง ในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่มีทางออมมือ ทูตภูตผีระดับสำริดและระดับเหล็กดำยังออมมือได้ แต่ระดับเงินไม่ไหว อาวุธภูตผีระดับนี้มีอานุภาพเพิ่มขึ้นมาก พลังภูตผีที่อยู่ด้านในก็คล่องแคล่วเกรี้ยวกราดขึ้นเช่นกัน
หากไม่ระวังนิดเดียว ผลลัพธ์ของการลงมือก็คือไม่เหลือแม้แต่ศพ
“นาย…” หวงย่ายกมีดขึ้น กำลังจะลงมือ อยู่ๆ ด้านหลังก็มีเงาดำสายหนึ่งลอยมาด้วยความเร็วสูง
ฟ้าว!
แสงสีฟ้ากะพริบ ทิ้งรอยมีดไว้กลางอากาศ
กลางอากาศยามราตรี เงาคนสีดำที่เหมือนผ้าขี้ริ้วสายหนึ่งถูกแยกออกเป็นสองส่วน ก่อนกลายเป็นควันดำสลายไป
จ้าวจ้งจวินที่อยู่ด้านหน้าผุดสีหน้าเย็นชา หมุนตัวไปยิง ปัง ปัง ปัง สามนัด
เงาคนเหมือนผ้าขี้ริ้วสีดำอีกสามสายกลางอากาศไกลออกไปกำลังลอยมายังด้านหลังเขา ถูกกระสุนสีทองสามนัดยิงจนกลายเป็นชิ้นส่วนสีทองแล้วระเบิดออก
“มารมายาอีกแล้ว! ทำไมที่นี่มันถึงได้มีเยอะนัก” จ้าวจงจวินกลิ้งตัวหลบเงาคนสีดำที่พุ่งมาจากด้านข้าง
เงาคนที่เหมือนผ้าขี้ริ้วพวกนี้ลากควันดำสายยาว เคลื่อนไหวกลางอากาศได้อย่างอิสระ ใบหน้าของมันห่อหุ้มด้วยผ้าสกปรกหนา ใช้เพียงเบ้าตาดำสนิทจ้องมองทั้งสอง คล้ายต้องการลากพวกเขาเข้าสู่ขุมนรก
“จัดการมารมายาก่อนค่อยว่ากัน!” หวงย่าเอ่ยเสียงเย็น
“ได้!” จ้าวจงจวินชะงักไป แล้วพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
…
“หือ ความรู้สึกนี้…” ลู่เซิ่งชะงักร่าง
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งสัมผัสพลังแห่งความว่างเปล่าอันแปลกประหลาดในโลกบรรพกาลมา เกรงว่าตอนนี้คงสัมผัสพลังงานลึกลับที่เบาบางถึงขีดสุดชนิดนี้ไม่ได้
เดิมทีเขากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง รู้สึกผิดปกติ จึงค่อยๆ ลุกขึ้น
“นึกไม่ถึงว่าโลกนี้จะมีของอย่างนี้ด้วย…” แม้จะจางมากๆ แต่ลู่เซิ่งยังคงสัมผัสได้ว่า นี่คือพลังแห่งความว่างเปล่าที่หงจวินพูดถึง
บางทีก่อนหน้านี้เขาอาจเคยเจอมาก่อน แต่จำไม่ได้
“อย่าเพิ่งไปคิดอะไรมาก เพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเองก่อนค่อยว่ากัน ที่นี่ยังหาระบบเหนือธรรมชาติอย่างอื่นไม่เจอ เพิ่มความแข็งแกร่งให้กายเนื้อก่อน” ลู่เซิ่งใคร่ครวญ “กายเนื้อบวกอาวุธเย็น น่าจะรับมือการต่อสู้ที่มีความดุเดือดต่ำในสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้”
หลังจากกำหนดเป้าหมาย เขาก็ใช้อัคคีจิตหงส์เพลิงสั่นสะเทือนเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายต่อไป อีกสามวัน จะใช้ปราณปฐพีเพิ่มความแข็งแกร่งร่วมด้วยได้ เวลานั้นจะเร็วขึ้นเยอะ
ตอนนี้อดทนไปก่อน
ลู่เซิ่งควบคุมจิตเทพหงส์เพลิงให้เพิ่มความแข็งแกร่งแก่ร่างกายไปพลาง พลิกหนังสือบนมือไปพลาง แม้จะเป็นแค่นิตยสารแนะนำการท่องเที่ยว แต่ก็ยังคงทำให้เขารวบรวมกลุ่มคำได้มากพอ เพื่อใช้ศึกษาภาษาท้องถิ่นของจักรวรรดิเกาส์
ส่วนความแปรปรวนของพลังแห่งเทพนอกรีตที่ส่งมาเป็นระลอกในอากาศ ความแปรปรวนชนิดนี้อ่อนแอเกินไป ถ้าไม่ใช่ลู่เซิ่งเพิ่งสัมผัสพลังแห่งความว่างเปล่าจากโลกบรรพกาลมา เกรงว่าจะแยกแยะไม่ได้ด้วยซ้ำ
พลังแห่งความว่างเปล่าในความแปรปรวนนั้นเพียงยึดครองอนุภาคหย่อมเดียวเท่านั้น รอบนอกยังมีพลังงานระดับต่ำประหลาดๆ ที่ซ้อนทับกันห่อหุ้มอยู่
คล้ายกับใช้พลังแห่งความว่างเปล่าเป็นแกนกลาง
ถ้าหากพลังแห่งความว่างเปล่าที่สัมผัสในค่ายกลดาราสวรรค์เป็นหนึ่งหมื่นหน่วย อย่างนั้นพลังแห่งความว่างเปล่าในความแปรปรวนของที่นี่ก็มีอย่างมากสุดหนึ่งในพันส่วนเท่านั้น มิหนำซ้ำลู่เซิ่งยังรู้สึกด้วยว่า หนึ่งในพันส่วนนี้เหมือนจะผ่านการเจือจางมาก่อน
หนึ่งคืนผ่านไปโดยไม่เกิดอะไรขึ้น เช้าตรู่วันต่อมา นักเรียนในชั้นเรียนทั้งหมดก็มารวมตัวกันที่โถงใหญ่ของโรงแรม
หลังเจอเรื่องเมื่อคืน ลู่เซิ่งคิดจะหาโอกาสจัดการปัญหาของจางฉีซวน
แม้ตอนนี้วิชาจิตโน้มนำจะไม่มีปราณปฐพีกับพลังจิตวิญญาณที่มากพอคอยสนับสนุน อย่างไรการเพิ่มความแข็งแกร่งก็ไม่นับว่าเยอะ
แต่รับมือนักเรียนมัธยมเพียงคนเดียวได้อย่างเหลือเฟือ
ยังมีเรื่องเกี่ยวกับภาษาอื่นอีก เขาใช้ภาษาของที่นี่ได้อย่างสมบูรณ์ผ่านนิตยสารกับรายการทีวีแล้ว
นอกจากนี้คือความแห้งแล้งในกระเป๋าสตางค์ เวลากินข้าวได้แต่กินอาหารทั่วไป แต่สำหรับลู่เซิ่งที่กำลังเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายแล้ว อาหารพื้นฐานมื้อหนึ่งยังไม่พอถึงสามส่วนด้วยซ้ำ
จึงกินไม่อิ่ม
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจะไปหาเงิน
ส่วนจะหาเงินอย่างไร เขาเจอเบอร์โทรศัพท์ขอสินเชื่อแบบไม่มีใบอนุญาตไม่น้อยจากรอบๆ โรงแรมแล้ว สามารถช่วยนักเรียนมัธยมที่กินอาหารไม่อิ่มอย่างเขาได้พอดี
เขายังจำได้ว่าคนของบริษัทแบบนี้คุยง่ายทีเดียว ยืมเงินไม่หักตังค์ ใจกว้าง ทันเวลา กระตือรือร้น
นี่ทำให้เขาประทับใจถึงขีดสุด เวลาอยู่ข้างนอกต้องอาศัยคนมีน้ำใจแบบนี้นี่เอง
……………………………………….