ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 947 พลังภูตผี (1)
เครื่องบินบินอยู่ราวห้าหกชั่วโมง ลู่เซิ่งหลับไปตื่นหนึ่งก็ถึงที่หมาย
ตอนเครื่องบินลงจอด ด้านนอกเป็นเวลากลางดึก แสงไฟเป็นกลุ่มๆ เหมือนทะเลแห่งแสงที่หนาแน่น ดูตระการตา
หลังจากเสียงประกาศอันไพเราะ ผู้โดยสารก็รีบลงเครื่อง
จางฉีซวนให้ลู่เซิ่งช่วยเหลืออย่างระมัดระวัง ลากกระเป๋าเดินทางลงจากช่องใส่สัมภาระ มีเพื่อนสนิทหลายคนมาขอให้เธอช่วยพอดี
“ซวนซวน ว่างไหม ช่วยฉันขนของได้รึเปล่า กระเป๋าฉันเยอะไปหน่อย ก็เลยติดน่ะ”
“ทางฉันก็เหมือนกัน รีบมาช่วยหน่อย!”
คำขอของเพื่อนสนิทคนหนึ่งในนี้ทำให้จางฉีซวนหวั่นไหว เพื่อนสนิทสองคนนี้เป็นประเภทที่เงื่อนไขดีมาก ครั้งนี้ที่ออกมาเที่ยว ครอบครัวของเพื่อนสนิทคนหนึ่งให้เงินซื้อของมาไม่น้อย
เธออยากได้ของบางส่วน แต่บนตัวอาจไม่มีเงินมากพอ อาจจะขอยืมจากคนอื่นได้
ความจริงเธอชักหน้าไม่ถึงหลังเพราะต้องบำรุงรูปร่างหน้าตาที่เปล่งปลั่งงดงาม ถ้าไม่ใช่ว่าทำอาชีพเสริมเป็นนางแบบโฆษณา เกรงว่าจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายระดับนี้ไม่ได้
“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันให้น้องชายขนให้พวกเธอ ไม่ต้องห่วง” เธอเหลือบเห็นลู่เซิ่งที่เพิ่งวางกระเป๋าของตัวเองลงแล้วรีบพูด
“แต่ตอนพวกเราไปถึงโรงแรมยังต้องขนอีกนะ…” มีเด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยอย่างลังเล
“ไม่ต้องห่วงน่า ไว้ใจฉันเถอะ อีกเดี๋ยวฉันจะให้น้องชายขนไปให้พวกเธอที่ห้อง พวกเธอบอกหมายเลขห้องกับฉันก่อนก็พอ” จางฉีซวนกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างใจกว้าง
“เขาคนเดียวไม่ไหวมั้ง” เด็กสาวคนหนึ่งมองลู่เซิ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไปอย่างสงสัยเล็กน้อย
“พวกผู้ชายก็มีประโยชน์ตอนนี้ไม่ใช่หรือ ได้ช่วยขนของให้คนสวยๆ อย่างพวกเธอ ความจริงน้องชายฉันก็ดีใจเหมือนกันนั่นแหละ เอาล่ะๆ ให้เขาจัดการเถอะ ไม่ต้องห่วง” จางฉีซวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ลูกผู้น้องหวังตงเชื่อฟังคำสั่งมาโดยตลอด ตนให้เขาทำอะไรก็ทำ ครั้งนี้มีกระเป๋าแค่ไม่กี่ใบ สำหรับเขาแล้วก็แค่ต้องวิ่งเพิ่มหลายรอบเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่
“งั้นก็ขอบคุณด้วยนะ อีกเดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” สำหรับกระเป๋าเดินทางหนักอึ้ง พวกผู้หญิงต่างก็รู้สึกเป็นปัญหาทั้งนั้น นึกไม่ถึงจางฉีซวนจะอาสาเอาไปหมด พลันรู้สึกว่าเธอช่างมีน้ำใจจริงๆ
จางฉีซวนหัวเราะพลางโบกมือ บอกไม่เป็นไร เป็นเรื่องเล็ก
เวลานี้กลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้าเริ่มลงเครื่องแล้ว กลุ่มคนที่ต่อแถวเริ่มเดินตามห้องโดยสารไปยังทางออกอย่างช้าๆ
ผู้นำกลุ่มสวี่ฟานโบกธงเล็กในมือ คล้ายกับเปลี่ยนมาใส่รองเท้าเพิ่มความสูงขนาดใหญ่ จึงดูสูงกว่าหนึ่งเมตรห้าสิบเซนติเมตร เดินนำอยู่หน้า คอยดูแลนักเรียนที่อยู่ด้านหลัง
จางฉีซวนกลับเบียดมาจากด้านหน้า ตบแขนลู่เซิ่ง
“ตงตง อีกเดี๋ยวช่วยพวกพี่สาวหิ้วกระเป๋าทีนะ”
ลู่เซิ่งมองเธออย่างสับสน เวลานี้กายเนื้อของเขายังอยู่ในระดับคนธรรมดา ย่อมไม่ได้ยินคำพูดของลูกผู้พี่ผู้นี้ตอนอยู่ด้านหน้า
เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนขมวดคิ้ว
“ทำไมต้องช่วยขนให้พวกเธอด้วยล่ะ” เดิมทีเขาไม่อยากจะพูดอะไร แต่พอนึกถึงนิสัยของหวังตง การเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเกินไปจะแสดงถึงปัญหาอย่างชัดเจน
เขายังไม่ทันทำความเข้าใจโลกใบนี้ ดังนั้นจึงไม่อยากเปิดเผยตัวเองเร็วเกินไป
ในเมื่อแม้แต่โลกอย่างโลกเทพนอกรีตและโลกจักรพรรดิวาต่างดำรงอยู่ ใครก็บอกไม่ได้ว่าจะไปเจอโลกที่มีปัญหาอะไรไหม
“ฉันเป็นพี่นาย นายไม่เชื่อฟังฉันใช่ไหม” จางฉีซวนหน้าบึ้ง น้ำเสียงขุ่นขึ้นเล็กน้อย
ตามนิสัยของหวังตงเมื่อก่อนหน้านี้ ปกติเขาในตอนนี้จะหน้าแดง ก้มหน้าไม่กล้ามองเธอ จากนั้นก็ตอบรับอย่างง่ายดายโดยไม่หือไม่อือ
แต่ลู่เซิ่งในตอนนี้กลับมองเธออย่างงุนงง
จากนั้นก็เดินเอื่อยๆ ผ่านไปโดยไม่สนใจเธออีก
จางฉีซวนอึ้งไป คล้ายกับนึกไม่ถึงว่าลู่เซิ่งจะเมินเธออย่างนี้ หน้าจึงแดงก่ำขึ้นช้าๆ
เมื่อครู่เธอโม้กับเพื่อนสนิทไว้เยอะ ถ้าตอนนี้หาคนช่วยไม่ได้ ก็จะลำบากจริงๆ แล้ว
เพื่อนนักเรียนชายก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่นี่เกี่ยวกับหน้าตาและศักดิ์ศรี
“หวังเสี่ยวตง นายกล้าหือกับฉันเหรอ!?” เธอคว้าบ่าของลู่เซิ่งไว้
ลู่เซิ่งสะบัดเบาๆ ก่อนหันมาเหลือบมองเธอ
“ซื่อบื้อ”
จากนั้นก็เดินไปด้านหน้าต่อโดยไม่สนใจเธอ
จางฉีซวนยังคิดจะลงมือ แต่พอได้ยินประโยคนี้ ร่างกายก็แข็งทื่อ
ลูกผู้น้องที่อยู่ในโอวาทมาโดยตลอดกล้าเถียงแล้ว!? ทั้งยังด่าเธอว่าซื่อบื้อต่อหน้าคนเยอะแยะแบบนี้อีก
“หวังเสี่ยวตง! คิดว่าตัวเองแน่นักหรือไง!?” เธอหน้าแดง เบียดเข้าไปใช้สองมือกดไหล่ของลู่เซิ่งไว้ แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“ถ้าไม่เชื่อฟังกัน กลับไปฉันจะบอกเรื่องที่นายแอบลูบก้นฉันกับพ่อแม่!”
ลู่เซิ่งอึ้งงัน
ก่อนจะรีบพลิกหาในความทรงจำของหวังตง
ก่อนหน้านี้เขาไม่สนใจข้อมูลที่ไร้ความสำคัญพวกนี้ พอจางฉีซวนพูดถึง ลู่เซิ่งก็เห็นท่าไม่ดี ตรวจหาอย่างละเอียดทันที
ตอนไม่ตรวจสอบยังพอว่า พอตรวจสอบก็ตกใจทันที
หวังเสี่ยวตงไม่เพียงแอบลูบก้นลูกผู้พี่ตอนเธอนอนหลับเท่านั้น ยังแอบเอาถุงน่องกับชุดชั้นในของลูกผู้พี่มาแอบทำมิดีมิร้ายตัวเองด้วย
ความทรงจำเหล่านี้เหมือนฟ้าผ่าใส่ลู่เซิ่งจนกรอบนอกนุ่มใน ถอนตัวไม่ขึ้น
ตัวเขาถึงได้รู้ว่าทำไมหวังเสี่ยวตงคนเดิมถึงได้เชื่อฟังลูกผู้พี่คนนี้นัก สาเหตุที่แท้จริงคงอยู่ตรงนี้สินะ
ลู่เซิ่งหันกลับไปมองใบหน้าของจางฉีซวนอย่างไร้อารมณ์ ถ้าไม่ใช่รอบๆ มีคนเยอะเกินไป ตอนนี้เขาคิดจะใช้วิชาจิตโน้มนำ ทำให้จางฉีซวนลืมความทรงจำอันเจ็บปวดก่อนหน้านี้
แม้จะเข้าใจว่าช่วงหนุ่มสาวมีความลับที่ยากจะเอ่ยปากแบบนั้นได้ แต่…เวลาทำอะไรก็อย่าให้จับได้สิ!
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเสียใจที่จุติมายังร่างนี้ น่าขายหน้าเหลือเกิน!
“ได้ยินหรือยัง!” จางฉีซวนรู้สึกว่าพวกเพื่อนสนิทเหมือนจะค้นพบปัญหาทางนี้แล้ว จึงรู้สึกเสียหน้า รีบกระตุ้นลู่เซิ่ง
“ก็ได้…” ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจ วางแผนไว้ว่าจะจัดการลูกผู้พี่คนนี้ตอนมีคนน้อยๆ
รอยด่างพร้อยที่ทำให้คนหมดคำพูดนี้อย่าเหลือไว้จะดีกว่า
จากนั้นเขาก็ไปขนสัมภาระกับจางฉีซวน ลูกผู้พี่คนนี้เห็นว่าช้าเกิน จึงหานักเรียนชายอีกคนมาช่วย
ทั้งสองลากกระเป๋าสัมภาระของนักเรียนหญิงสามคน ตามจางฉีซวนอย่างเนิบนาบ
พอลงจากเครื่องบิน ก็ขึ้นรถชัตเติ้ลบัส ไปถึงสถานที่รับกระเป๋าในสนามบิน ลู่เซิ่งกับนักเรียนชายคนนั้นจึงได้กระเป๋าใบใหญ่เพิ่มมาอีกสองใบ
ระหว่างทางหยวนซวงซวงวิ่งมาถามลู่เซิ่งว่าอยากให้ช่วยไหม ก่อนถูกลู่เซิ่งปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม
จากนั้นก็เดินทางถึงโรงแรมซิลเวอร์โกลด์เพลซอย่างราบรื่น กระเป๋ากองใหญ่ก็ถูกพวกนักเรียนหญิงนำไป
จักวรรดิเกาส์ถูกเรียกว่าประเทศสามดาว เป็นเพราะบนธงประเทศของพวกเขามีดาวสีขาวที่สะดุดตาอยู่สามดวง
และเขตโพโตย่าที่ตั้งอยู่ในประเทศก็เต็มไปด้วยสถานที่โด่งดังที่มีประวัติศาสตร์ รวมถึงปูชนียสถานอันเลื่องลือ
ที่นี่ไม่เพียงมีภูเขาไฟมีชีวิตแห่งแรกของโลกเท่านั้น ยังมีสถานที่อีกมากมายที่คนมีชื่อเสียงระดับโลกเคยใช้ชีวิตอยู่ด้วย
เมืองเล็กๆ สักเมืองของที่นี่อาจจะเป็นตำแหน่งที่บุคคลสำคัญคนหนึ่งเคยอาศัยอยู่เมื่อนานมาแล้ว
ผู้นำกลุ่มสวี่ฟานแนะนำสถานที่คร่าวๆ และแจกไวไฟติดตัวให้ทุกๆ ไว้ตอนเข้าเช็คอินที่โรงแรม
บนโลกใบนี้ เหมือนว่าเทคโนโลยีทางดิจิทัลจะพัฒนากว่าโลกเดิมไม่น้อย ทั้งนี้ระดับความร่ำรวยของโรงเรียนก็ทำให้ลู่เซิ่งประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน
ถ้าอยู่บนโลกใบเดิม คงมีโรงเรียนมัธยมไม่กี่แห่งที่พานักเรียนมาเที่ยวต่างประเทศ และมอบไวไฟให้ทุกคนแบบฟรีๆ อย่างนี้
ลู่เซิ่งพกไวไฟ พร้อมกับไปซื้อของกินจำพวกขนมปังที่ร้านสะดวกซื้อด้านหน้าทางเข้าโรงแรม ก่อนจะเดินอย่างเนิบช้าไปยังห้องของตัวเอง
เขาถือบัตรเปิดประตูที่ได้รับแจกพร้อมกับขึ้นลิฟต์
ในลิฟต์มีคนท้องถิ่นสองสามคน กำลังคุยกันด้วยภาษาของที่นี่
ภาษาหลักของจักรวรรดิเกาส์คือภาษาลีตัว
ภาษานี้ขึ้นชื่อในเรื่องการออกเสียงอันแสนลำบาก เสียงไม่น้อยอ่านได้ยากสุดขีด ถือเป็นหนึ่งในภาษาที่ยากที่สุดในโลก
ลู่เซิ่งฟังการสนทนาของพวกเขา พร้อมทั้งจดจำเอาไว้ เริ่มถอดรหัสภาษาท้องถิ่นของที่นี่
สำหรับเขาที่จุติไปยังโลกต่างๆ มาไม่น้อย ภาษาอื่นเป็นเพียงเครื่องมือ เขาที่เรียนภาษามานับไม่ถ้วนเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์ด้านภาษา
ระหว่างอยู่บนลิฟต์ เขาได้ทำความเข้าใจศัพท์ง่ายๆ ที่ใช้ในขั้นพื้นฐานบางส่วน
การเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องของอัคคีจิตหงส์เพลิงเกิดผลแล้วบางส่วน เขาในตอนนี้มีพลังกาย ความอดทน ความจำ และความเร็วในการตอบสนองทางความคิดดีกว่าตอนเพิ่งมาไม่น้อย
ถือได้ว่าเป็นระดับอัจฉริยะในหมู่มนุษย์
ไม่นาน ตอนลิฟต์ขึ้นถึงชั้นสิบสาม ลู่เซิ่งก็ฟังเนื้อหาการสนทนาของคนพวกนั้นออกคร่าวๆ แล้ว
นอกจากศัพท์ที่มีความเฉพาะมากไปบางส่วน อย่างอื่นก็ไม่ยากอะไรนัก
ประตูลิฟต์สีทองอ่อนค่อยๆ เปิดออกด้านหน้าเขา ลู่เซิ่งหิ้วของเดินออกจากลิฟต์อย่างช้าๆ
เขาเหยียบลงบนพรมแดงที่อ่อนนุ่ม มุ่งหน้าไปตามระเบียงล้ำลึก
ยามรองเท้าเหยียบบนพรมกลับไม่ส่งเสียงใดๆ พรมหนาดูดซับเสียงกระทบทั้งหมดไปจนหมด
“1315…” ลู่เซิ่งหาสัญลักษณ์หมายเลขบนผนัง ค้นหาห้องที่ตัวเองได้รับการจัดสรรให้
ตอนที่เดินถึงหัวมุม เขาก็เลื่อนสายตาจากหน้าต่างตรงมุมโค้งไปด้านนอก
เวลากลางดึก ในเงามืดไกลออกไปตรงกับตำแหน่งของหน้าต่าง มีคนสองคนยืนอยู่
นักเรียนชายคนหนึ่งยืนพิงกำแพง คล้ายกำลังพูดบางอย่าง ส่วนนักเรียนหญิงอีกคนถืออะไรสักอย่างไว้ในมือ ยืนห่างจากนักเรียนชายไม่ไกล
ทั้งสองอยู่ห่างกันราวสองเมตร ไม่ไกลไม่ใกล้ ดูพิลึกเล็กน้อย
ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า ถ้าเป็นหวังตงคนเดิม เวลายืนห่างออกมาสามร้อยกว่าเมตรแบบนี้ จะต้องมองไม่เห็นสองคนในเงานั้นแน่
ทว่าเขาในตอนนี้ไม่เหมือนกัน ร่างกายที่ได้รับการเสริมแกร่ง ทำให้ง่ายในการจดจำตัวตนสองคนนั้นในระยะไกล
จ้าวจ้งจวินกับหวงย่า
เพราะอยู่ไกลเกินไปหน่อย ลู่เซิ่งเลยไม่ได้ยินว่าพวกเขาคุยอะไรกัน เพียงแต่รู้สึกว่าบรรยากาศของคนทั้งสองเย็นเยียบกว่าตอนอยู่บนเครื่องบิน เหมือนกับพร้อมจะสู้กันตลอดเวลา
“น่าสนใจ…นักเรียนมัธยมสองคน จะมีความลับยิ่งใหญ่อะไรได้กัน” เขาตวัดมุมปาก ในใจนึกฉงนเล็กน้อย
แต่ตอนนี้ไม่ได้หยุดดูนาน ลู่เซิ่งหิ้วของเดินไปยังห้องตัวเองต่อ
อัคคีจิตหงส์เพลิงกำลังยกระดับความแข็งแกร่งทางกายเนื้อของตนตลอดเวลา การยกระดับนี้อาจจะอ่อนแอถึงขีดสุดต่อเผ่าปีศาจบนโลกบรรพกาล ทว่าสำหรับมนุษย์ในโลกใบนี้ กล่าวได้ว่าค่อนข้างน่าตกตะลึงแล้ว
ต่อให้เผ่าหงส์เพลิงจะไม่ขจัดกายเนื้อ และไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ แต่ว่านั่นคือการเอาไปเทียบกับตัวประหลาดมากมายในโลกบรรพกาลเท่านั้น
ในหมู่มนุษยที่ธรรมดาอ่อนแอ การเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อของอัคคีจิตหงส์เพลิงราวกับปาฏิหาริย์
ใช้เวลาแค่ครึ่งวันก็เพิ่มได้เกือบเท่าตัวแล้ว
คุณสมบัติทุกด้านของลู่เซิ่งในปัจจุบันพุ่งไปยังขีดจำกัดของมนุษย์อย่างรวดเร็วเหมือนเปิดสูตรโกง
……………………………………….