ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 942 ความลับ (2)
“แน่นอน...ในเมื่อวังจักรพรรดิวาถ่ายทอดโองการลงมา แต่ยังไม่ถึงเวลา พวกเราย่อมต้องรักษาตำแหน่งตามธรรมเนียมของอุทยานปีศาจหรืออุทยานสวรรค์ต่อไป” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หากยึดตามกฎของโลกบรรพกาล เขาในฐานะประมุขแห่งอุทยานสวรรค์ของเผ่าปีศาจ ตำแหน่งนี้เป็นที่ที่ดีที่สุดในการทดลองการคาดเดาทางความคิดของตัวเอง
อำนาจล้นฟ้า ทุกการกระทำส่งผลต่อสรรพสิ่งในฟ้าดิน
“แต่ว่า…” ซังหยางยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่ลู่เซิ่งยกมือขึ้นปราม
“เริ่มเลย พวกเรามีเวลาไม่มาก ทัพปีศาจต้องการขวัญกำลังใจ แยกส่วนแล้วประกอบใหม่ ยังมีเรื่องอีกมากมายต้องจัดการ” ลู่เซิ่งเริ่มสงบจิตใจลง
เรื่องราวต่างๆ ในโลกมารสวรรค์ได้จบลงแล้ว ปัจจุบันนอกจากการกำจัดมารดาแห่งปรภพ ก็คือการตามหาครอบครัวของตนและลู่หนิงผู้เป็นบุตรชาย
ความจริงเรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่โลกมารสวรรค์อีก ด้วยพลังของเขา หลังจากปรับตัวเข้ากับกฎเกณฑ์จักรวาลได้ จะใช้ชีวิตในจักรวาลใดๆ อย่างสบายก็ได้ทั้งนั้น
เหมือนกับสำนักนทีครามเคลื่อนย้ายไปยังจักรวาลขนาดเล็ก โลกมารสวรรค์ไม่ใช่ตัวเลือกเดียวของพวกเขา
เขากำลังพิจารณาอยู่ว่าควรกลับไป หรือตามหาครอบครัวตามเบาะแสต่อไปดี
ปัจจุบันมหาเทพตงหวงพาตี้ซวินที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลบหนี ทางซีเหอไม่มีอะไรน่ากลัว แม้จะควบคุมต้นชบายักษ์ที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด แต่นางไม่ใช่ประเภทถนัดการต่อสู้ อย่างมากก็เป็นผู้สนับสนุนเท่านั้น
คนที่ตึงมืออย่างแท้จริงคือมหาเทพตงหวง
แต่ดูจากท่าทีของมหาเทพ คล้ายกับเขาไม่สนใจตำแหน่งจักรพรรดิปีศาจของตัวเอง เขาที่มีระฆังโกลาหลคอยคุ้มกัน จะเป็นจักรพรรดิปีศาจหรือไม่ ไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรต่อเขานัก โดยเฉพาะหลังจากค่ายกลดาราสวรรค์ไม่มีเทพปีศาจผู้กางค่ายกลคอยช่วยเหลือ
ค่ายกลจึงกลายเป็นของไร้ค่า แทนที่จะรอให้ลู่เซิ่งพาเทพปีศาจใต้สังกัดครอบครองค่ายกลดาราสวรรค์ แล้วกางค่ายกลรุมฆ่าตน มิสู้พาอีกสองคนหลบหนีไปตั้งแต่แรกดีกว่า
“เตรียมเก็บของกลับวัง” ในห้วงสมองของลู่เซิ่งเกิดความคิดมากมาย จากนั้นก็หมุนตัวมุ่งหน้าไปยังวังเทพดวงอาทิตย์แห่งใหม่
ที่นั่นเป็นที่อยู่ของมหาเทพ และเป็นตำแหน่งที่มีการป้องกันแข็งแกร่งที่สุดของอุทยานปีศาจ ควบคุมส่วนหลักของค่ายกลดาราสวรรค์
“ลู่เซิ่ง!” เสียงสตรีกระจ่างใสพลันลอยมาจากกลางทัพปีศาจ
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว ทราบว่าเป็นใคร
เขาหันกลับไปเห็นอวี่ซวนพาเผ่าหงส์เพลิงเดินออกมาจากทัพปีศาจ ยังไม่ต้องไปสนใจสีหน้าของเผ่าหงส์เพลิง สีหน้าสายตาของอวี่ซวนในเวลานี้ฉายแววซับซ้อน สั่นสะท้าน แปลกหน้า และกังวลไว้อย่างชัดเจน
“ท่านกำลังกังวลอะไร บันทึกที่ข้าทิ้งไว้ที่เผ่าหงส์เพลิงได้บ่งบอกแล้วว่า ข้าคือร่างอิรยะหงส์เพลิงที่บริสุทธิ์” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
“และพวกท่านที่เป็นครอบครัว ไม่เพียงจะได้มีชีวิตสุขสบายกว่าเดิมเท่านั้น ยังจะได้ใช้ทรัพยากรการฝึกฝนและค่ายกลของอุทยานปีศาจมากกว่านี้อีกด้วย”
“ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น!” อวี่ซวนพูดเสียงดังขึ้น “เจ้า…ลู่เซิ่งเจ้า…เหตุใดต้องทำแบบนี้ด้วย!?”
“เหตุใดหรือ” ลู่เซิ่งยิ้มจาง
“ยังต้องถามอีกหรือ” เขากางแขนออก “เห็นทัพปีศาจทั้งหมดแล้วหรือยัง พวกเขาคือแขนขาของข้า เรื่องที่ข้าอยากทำ ต้องการพลังของพวกเขา ต้องการพลังทั้งหมด”
“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น!” อวี่ซวนตะโกน
“ท่านพูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่มีความหมาย ท่านแค่ต้องจดจำไว้ว่า ข้าคือราชาหงส์เพลิง เป็นราชาหงส์เพลิงแดนทักษิณ เป็นผู้ปกครองที่จะทำให้เผ่าหงส์เพลิงรุ่งเรืองอีกครั้ง” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ว่าแล้วเขาก็มองไปยังเผ่าหงส์เพลิงที่เหลือ
“มากับข้าเถอะ อัคคีเทพทักษิณของเผ่าหงส์เพลิงคืออัคคีที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ที่เหลือล้วนเป็นขยะ จะติดตามอวี่ซวน หรือติดตามข้า จงเลือกเอาเอง”
พอสิ้นเสียง เหล่าหญิงสาวเผ่าหงส์เพลิงที่รอไม่ไหวมาแต่แรกพากันผละจากอวี่ซวน เดินมาถึงด้านหลังเขา
สำหรับหญิงสาวส่วนใหญ่ การติดตามลู่เซิ่งที่แข็งแกร่งและอาจหาญ เป็นอนาคตที่สว่างไสวที่สุดของเผ่าหงส์เพลิง
ส่วนอวี่ซวน เพียงแค่อาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวกับซีเหอมารักษาตำแหน่งและทรัพยากรของเผ่าหงส์เพลิงในอุทยานปีศาจไว้เท่านั้น
ใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอ มองแวบเดียวก็กระจ่างแจ้ง
แต่ต่อให้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังมีคนในเผ่าที่สนิทสนมกับอวี่ซวนรั้งอยู่ทางนั้น
ในนี้มีเสี่ยวหนิงอยู่ด้วย
ลู่เซิ่งยิ้มๆ ก่อนจะหมุนตัวผละไป เหล่าเทพปีศาจที่อยู่ด้านหลังตามไปติดๆ
…
อุทยานปีศาจเกิดภัยพิบัติ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดในโลกบรรพกาลต่างเห็นสภาพของมัน
ผู้มีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่บางส่วนเช่นเจิ้นหยวนจื่อกับหงอวิ๋น มองทะลุทะเลเมฆาซึ่งลุกไหม้ด้วยไฟสงคราม ไปเห็นราชาหงส์เพลิงสีขาวที่มีร่างใหญ่โตมโหฬาร
บารมีของราชาหงส์เพลิงสีขาวลือลั่นไปทั่วโลกบรรพกาลในพริบตา เผ่าหงส์เพลิงที่เดิมไร้สิทธิ์ไร้เสียง เหมือนกลายเป็นเผ่าพัน์ที่มีชื่อเสียงในเวลาชั่วข้ามคืน เผ่าปีศาจที่มีสายเลือดหงส์เพลิงอยู่เล็กน้อย ถูกขุมกำลังมากมายดึงไปศึกษาสายเลือด
เผ่าหงส์เพลิงที่อยู่บนพื้นดินถูกลู่เซิ่งรับเข้ากองกำลัง หลังจากฝังกาฝากแล้ว พวกเขาก็กลายเป็นขุมกำลังใหญ่ของเขา
ในฐานะหงส์เพลิง เผ่าหงส์เพลิงพวกนี้จึงปรับตัวเข้ากับพลังของลู่เซิ่งได้ดีถึงขีดสุด
นี่ทำให้เขาใช้อัคคีเทพหงส์เพลิงสีขาวที่มีไม่หมดไม่สิ้นของตัวเอง ยกระดับคนในเผ่าพวกนี้ได้อย่างสะดวกสบาย
หลังจากได้รับความสามารถกาฝากแล้ว พลังฟื้นฟูกับความแข็งแกร่งทางกายเนื้อของเผ่าหงส์เพลิงก็ได้รับการยกระดับอย่างใหญ่หลวง ทั้งยังรองรับการเผาไหม้จากอัคคีเทพหงส์เพลิงได้
เทียบกับเทพปีศาจตนอื่น พวกเขาควบคุมอัคคีเทพหงส์เพลิงสีขาวได้เหมือนกับเป็นสัญชาตญาณ
ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นหนึ่งในขุมกำลังอันร้ายกาจของลู่เซิ่ง
ทางพวกมหาเทพตงหวง ลู่เซิ่งไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เขาเพียงส่งข่าวให้เผ่าเวท พวกจู๋จิ่วอินก็นำบรรพชนเวทหลายคนไล่ล่าด้วยตัวเอง
ทั้งสามที่เดิมทียังรักษาอาการบาดเจ็บให้ตี้ซวิน ถูกไล่ล่าติดต่อกันจนซีเหอได้รับบาดเจ็บหนัก เหลือแค่มหาเทพที่ผลาญปราณกำลังอย่างมหาศาล อาศัยระฆังโกลาหลหนีไปจากที่เดิม
ความแค้นระหว่างมหาเทพกับเผ่าเวทแทบจะสูงเทียมฟ้า เดิมทีเผ่าอีกาทองก็มีความสามารถสืบพันธุ์ต่ำอยู่แล้ว ยังมาถูกเผ่าเวทกำจัดหลานไปเสียเก้าคน เหลือตนสุดท้ายไม่ทราบเป็นตายร้ายดี เรียกได้ว่าความแค้นล้ำลึกดั่งทะเลโลหิต
เผ่าเวทเองก็ถูกมหาเทพใช้แผนการของไป๋เจ๋อ ยุให้จู้หรงกับเทพธาราตกตายร่วมกัน
พึงทราบว่าจู้หรงกับเทพธาราเป็นสองคนที่แกร่งที่สุดในเผ่าเวทนอกจากจู๋จิ่วอิน น่าเสียดายที่ตายไปทั้งๆ อย่างนี้
ตอนนี้มหาเทพไม่มีค่ายกลกับเทพปีศาจคอยคุ้มครอง จู๋จิ่วอินตอบสนองทันที โอกาสมาถึงแล้ว!
จากนั้นเขาก็พาคนไปรุมสังหาร
และในเวลานี้ทางลู่เซิ่งก็เตรียมเข้าไปอยู่ในวังเทพดวงอาทิตย์ เรื่องแรกที่เขาต้องทำคือต้องลูบต้องคลำมันให้ทั่ว
…
วังเทพดวงอาทิต์ เป็นวังดวงดาวแห่งหนึ่งที่อยู่กลางดวงอาทิตย์อันเป็นดวงดาวโบราณ วัสดุบนกำแพงวังทั้งหมดของที่นี่ประกอบขึ้นจากกิ่งของต้นชบายักษ์หลังจากทำให้แห้ง
ระหว่างฟ้าดินมีแต่ต้นชบายักษ์จากหุบเขาน้ำแกงเท่านั้น ถึงจะรองรับการเผาไหม้จากแหล่งกำเนิดอัคคีอาทิตย์ได้
และบางทีในสายตาของคนอื่นๆ วังแห่งนี้อาจจะเป็นแค่วังดวงดาวที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ทว่าในสายตาของลู่เซิ่ง นี่คือสมบัติที่มีพลังอาวรณ์อยู่นับไม่ถ้วนอย่างแท้จริง!
กลุ่มตำหนักแห่งอื่นๆ ของอุทยานปีศาจมีพลังอาวรณ์อยู่ไม่มากก็น้อย แต่จำนวนนั้นน้อยมากๆ อย่างไรเผ่าปีศาจก็ใหญ่เหลือเกิน ต่อให้มีเผ่าปีศาจโลกบรรพกาลจำนวนมากฝากฝังไว้ ก็มีไม่เยอะเกินไป
แต่วังเทพดวงอาทิตย์แตกต่างออกไป ทุกๆ วันจะมีสิ่งมีชีวิตเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ กราบกรานฝากจิตใจแก่ดวงอาทิตย์เหนือหัว
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ นี่เป็นสถานที่ที่ซีเหอกับอีกาทองสิบตัวอยู่มาโดยตลอด หนำซ้ำเมื่อคำนวณประวัติศาสตร์ของอุทยานปีศาจดู มันได้ถูกสร้างขึ้นหลังสงครามมังกรหงส์ด้วย
จนกระทั่งบัดนี้จึงมีอายุหลายร้อยล้านปีแล้ว
หลายร้อยล้านปี! นั่นหมายถึงอะไร
ลู่เซิ่งแทบจะย้ายเข้าวังเทพอาทิตย์อย่างอดรนทนไม่ไหว
ครืนๆๆ…
ประตูใหญ่สีน้ำตาลอมแดงอันหนักอึ้งค่อยๆ เลื่อนออกไปสองฟากข้างตามการผลักของลู่เซิ่ง
ประตูใหญ่ตรงหน้าเขาคือค่ายกลข้ามมิติที่เชื่อมเข้ากับดวงอาทิตย์
“นอกจากมหาเทพตงหวง ตี้ซวิน ซีเหอ และเผ่าอีกาทองแล้ว ที่เหลือก็มีเทพปีศาจที่มีพลังแข็งแกร่งถึงขีดสุดไม่กี่ตน กับเทพปีศาจที่ควบคุมอัคคีอย่างอวี่ซวนเท่านั้น ถึงจะเข้าออกดวงอาทิตย์ได้อย่างปลอดภัย” ซังหยางกับเฟยเหลียนติดตามอยู่ด้านหลังลู่เซิ่ง อธิบายอย่างละเอียด
“เวลาหลายร้อยล้านปี พลังปีศาจของมหาเทพยังมีเพียงเท่านั้น แทบไม่เพิ่มขึ้นเลย ว่ากันว่าเขาคิดจะทะลวงขอบเขตจอมอริยะ บรรลุธรรมด้วยพลัง แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ” เฟยเหลียนว่าพลางหัวเราะ
ลู่เซิ่งพยักหน้า เขามีลางสังหรณ์ที่อธิบายไม่ได้อย่างหนึ่ง มหาเทพตงหวงยอมทิ้งอุทยานปีศาจ และพาคนหนีไปอย่างเด็ดขาดขนาดนี้ เกรงว่าจะยังมีสาเหตุในระดับที่ลึกกว่านี้อยู่อีก
ตอนนี้พอหวนนึกถึงตอนที่สู้กับตี้ซวิน แม้มหาเทพตงหวงกับซีเหอจะลงมือรุมเขาเหมือนกัน แต่พวกเขาไร้ตัวตนอย่างสิ้นเชิง นอกจากจะปล่อยของวิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองสุดกำลัง ก็ไม่ใช้ความสามารถอย่างอื่นอีก
ตัวตนอันแข็งแกร่งที่อยู่มามากกว่าร้อยล้านปีจะถูกตนเอาชนะง่ายๆ แบบนี้หรือ ลู่เซิ่งพลันเกิดความเคลือบแคลง
เขารู้สึกอย่างเลือนรางว่า มหาเทพเหมือนจงใจหลีกทางให้ตนรับช่วงอุทยานปีศาจต่อ
“ไม่ว่าอย่างไร เดี๋ยวเข้าไปดูก็รู้เอง” หวนนึกถึงหนี่ว์วาที่โผล่มาสั่งให้เขาสร้างอุทยานปีศาจขึ้นใหม่อย่างอดรนทนไม่ไหว ความรู้สึกแปลกใจบางอย่างในใจลู่เซิ่งก็ชัดแจ้งกว่าเดิม
เขาสาวเท้าเดินเข้าประตูใหญ่ ก่อนจะโบกมือไปด้านหลังโดยไม่หันกลับ
“ซางหยางกับกุ่ยเชอปรึกษาการสร้างความมั่นคงให้แก่อำนาจทหารของอุทยานปีศาจเสีย ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ”
“ขอรับ” เสียงขานรับอย่างนอบน้อมของซังหยางกับกุ่ยเชอดังมาจากด้านหลัง
ทันทีที่ลู่เซิ่งเข้าประตูใหญ่ ความรู้สึกประหลาดเหมือนกับตนถูกแยกส่วนก็ส่งไปทั่วสรรพางค์
ราวกับผ่านไปแค่อึดใจเดียว พอเขาลืมตาขึ้น ด้านหน้าก็เป็นป่างดงามสีเขียวชอุ่มผืนหนึ่ง
ป่าโอบล้อมตำหนักสีขาวเก่าแก่ขนาดมหึมาไว้ตรงกลาง มองไปไกลๆ บนประตูใหญ่ของตำหนักมีป้ายแผ่นหนึ่งลอยอยู่ เขียนเอาไว้ว่า วังดวงอาทิตย์
ภาษาที่ใช้เป็นอักษรมังกรที่บรรพบุรุษมังกรเคยใช้
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองรอบๆ ที่นี่เหมือนจะเป็นมิติเล็กๆ ที่ปิดอย่างมิดชิด รอบๆ เต็มไปด้วยสีทอง
ควันขาวจางๆ ลอยเอื่อยอยู่กลางอากาศ เปี่ยมชีวิตชีวาเหมือนกับลำธารกระจ่างใส
“เพียงแต่ทั้งหมดนี้เป็นแค่ภาพหลอน...” ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า อุณหภูมิของที่นี่สูงถึงหลายแสนองศาอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน
ภายใต้อุณหภูมิระดับนี้ ป่าและตำหนักบนพื้นไม่มีร่องรอยการหลอมละลายแม้แต่นิดเดียว แสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่ของธรรมดา
ลู่เซิ่งยกมือขึ้น อัคคีเทพหงส์เพลิงบนตัวก็ปรากฏโดยอัตโนมัติ ค่อยๆ กลายเป็นชั้นความร้อนสูงบนผิว ตัดขาดเชื้ออัคคีทั้งหมดที่มาจากภายนอก
“อย่างไรก็เป็นบ้านเก่าของอัคคีอาทิตย์ ทั้งยังเป็นฐานทัพใหญ่ที่ให้กำเนิดอีกาทองก่อนกำเนิดสามตัว…ระดับความเข้มข้นของอัคคีอาทิตย์นี่…” ลู่เซิ่งยังรู้สึกว่าตัวเองร้อนอยู่บ้าง อย่าว่าแต่ตัวตนอื่นๆ เลย
เขาสงบจิตใจ ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปวังดวงอาทิตย์กลางป่าที่ไกลออกไป
ขนาดมีป่ากั้นอยู่ เขาก็ได้กลิ่นอายพลังอาวรณ์อันมหาศาลที่แผ่ตลบออกมาจากในวังดวงอาทิตย์
ปัจจุบันร่างหลักหลอมรวมกับร่างอริยะหงส์เพลิง และภายใต้ผลของปฐมพลังของโลกเทพนอกรีต พวกมันจึงรวมเป็นหนึ่งอย่างกลมกลืน ทวีพลังขึ้นมาก
แต่ยังคงไม่อาจหลุดจากระดับขอบเขตผู้ปกครองอนธการ ถ้าหากคำนวณอย่างละเอียด เขาควรจะอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งจนประหลาดพิสดารท่ามกลางอนธการ
ลู่เซิ่งไม่พอใจในเรื่องนี้ โดยเฉพาะหลังจากทราบว่าเหนืออนธการยังมีระดับดาวมรณะอยู่อีก เขาจึงปรารถนาใคร่ยกระดับตัวเอง
และถ้าจะยกระดับ ก็ขาดพลังอาวรณ์ไปไม่ได้
……………………………………….