ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 935 ทดสอบ (1)
กลิ่นไหม้ของอัคคีลอยฟุ้งในอากาศ ควันดำหลายสายแผ่พุ่งออกมาจากพื้นดินเป็นระยะ
ที่ก้นของหลุมขนาดมหึมาซึ่งเดิมเป็นทะเลสาบ ตวนฟางค่อยๆ ยอบตัวลง ก่อนจะยื่นมือไปหยิบดินโคลนขึ้นมากำหนึ่ง
เขาเอาดินโคลนใส่ปากแล้วเคี้ยว
“อัคคีชนิดนี้…กลิ่นอายประหลาดมาก”
“ประหลาดแบบไหนหรือ” ไป๋เจ๋อยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ส่งเสียงถามเบาๆ เขาทราบว่าตวนฟางผู้เป็นลูกชายของฝูเฟิงจื่อเชี่ยวชาญกว่าตัวเอง ดังนั้นเรื่องการสะกดรอยจึงมอบให้เขาได้โดยไม่มีปัญหา
“ข้าไม่เคยสัมผัสเปลวไฟที่มีกลิ่นอายแบบนี้มาก่อน ข้าเคยลองกลิ่นอายหลงเหลือของไฟเก้าชนิดในสิบชนิดระหว่างฟ้าดินมาแล้ว แต่ชนิดนี้…ไม่มีความทรงจำ” ตวนฟางกล่าวอย่างสงสัย
“หรือว่าจะเป็นประเภทสุดท้าย”
“เป็นไปไม่ได้ ประเภทสุดท้ายเป็นอัคคีอาทิตย์บริสุทธิ์ที่มีความเข้มข้นสูง ข้าไม่เคยชิมมาก่อน แต่ต่อให้จะเป็นซากของมัน อานุภาพของอัคคีอาทิตย์ก็ทำลิ้นข้าไหม้ได้” ตวนฟางส่ายหน้า
เขาลุกขึ้นแล้วเหลียวมองรอบข้าง
“ดูจากร่องรอยที่เหลือ ท่านอาอิงเจาน่าจะมาที่นี่ และต่อสู้บนทะเลสาบผืนนี้ สุดท้ายอีกฝ่ายไม่อาจรั้งตัวท่านอาอิงเจาไว้ได้ ปล่อยให้เขาหนีพ้นจากกับดัก”
“เป็นเช่นนี้จริงๆ” ไป๋เจ๋อพยักหน้า ดูจากร่องรอยหลงเหลือ ตวนฟางสัญนิษฐานอย่างเดียวกับเซียนปีศาจสะกดรอยเมื่อก่อนหน้า
“แต่ว่า” ตวนฟางขมวดคิ้วนิ่วหน้า “หลังจากท่านอาอิงเจาหลุดจากกับดักแล้ว น่าจะหลบหนีไปได้สำเร็จ อย่างนั้นด้วยขอบเขตพลังของเขา จะมีของวิเศษใดทำให้ตำแหน่งที่อยู่ไกลขนาดนั้นมัน…”
เขาไม่เข้าใจ
ไป๋เจ๋อนึกทบทวนอย่างเงียบๆ
“บางทีอาจมีจอมอริยะระดับสุดยอดไม่กี่คนที่ทำได้ ที่เหลือก็คือเหล่าผู้วิเศษที่สูงส่ง แต่เวลาผู้วิเศษทำสิ่งใด ทุกๆ การกระทำจะโด่งดังทั่วหล้า ยังมีผู้วิเศษคนอื่นพร้อมให้ความสนใจ ดังนั้นจึงไม่มีทางเป็นผู้วิเศษไปได้ ถ้าเป็นจอมอริยะล่ะก็…ข้ารู้ว่ามีคนหนึ่งที่ทำเรื่องนี้ได้ง่ายดายยิ่ง”
“ผู้เฒ่าหมิงเหอใช่หรือไม่” ตวนฟางตอบสนองทันที “แต่ผู้เฒ่าหมิงเหอไม่มีทางครอบครองเปลวอัคคีความร้อนสูงระดับนี้ ดังนั้นไม่น่าใช่เขา”
“เจ้ายังพบอะไรอีกไหม” ไป๋เจ๋อถามต่อ
การหายตัวของอิงเจาในครั้งนี้ แม้แต่เศษซากก็หาไม่เจอ จักรพรรดิสวรรค์ยืนยันแล้วว่าอิงเจาเสียชีวิตแล้ว แม้แต่จิตปฐมก็สาบสูญไปด้วย
ไป๋เจ๋อที่โกรธเกรี้ยวพาตวนฟางที่มีความสามารถสะกดร้อยไร้เทียมทานในใต้หล้ามาที่นี่ทันที ตอนนี้ขื้นอยู่กับฝีมือของตวนฟางแล้ว
“ยังมีอีกจุดหนึ่ง ข้าจำกลิ่นอายของไฟประหลาดนี้ไว้แล้ว ถ้าไม่เหนือความคาดหมาย ครั้งต่อไป ไม่ว่าใครจะปลอมแปลง ข้าจะจำได้ทันที” ตวนฟางเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
“เช่นนั้นก็ดี” ไป๋เจ๋อพยักหน้า “ไปเถอะ กลับกันก่อน เรื่องของที่นี่ต้องค่อยๆ วางแผน”
…
ลู่เซิ่งเดินอยู่บนท้องฟ้าเหนือผืนดินบรรพกาล
ทะเลป่าไร้ที่สิ้นสุดกว้างใหญ่ไพศาลกับต้นไม้สูงใหญ่ที่โผล่ออกมาตลอดเวลา ทำให้เขารับรู้ได้อย่างแจ่มชัดว่า ตนเองไม่ได้อยู่ในโลกใบอื่นๆ เหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว
หากแต่อยู่ในโลกบรรพกาลที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นสุดขีด
เวลานี้เขายืนอยู่กลางท้องฟ้าที่ห่างจากพื้นดินกว่าสามพันหมี่ ก้มหน้ามองด้านล่าง ผืนดินดุจจานทราย ต้นไม้กับหน้าผาบนภูเขานั้นเหมือนกับของเล่นประกอบที่งดงามที่สุด
หลังจากเขากำจัดอิงเจา ลู่เซิ่งก็มุ่งหน้ามายังตำแหน่งที่เจอดวงตาแห่งความเลวทรามก่อนหน้านี้
ผู้วิเศษหนี่ว์วาซ่อมแซมฟ้าใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ท้องฟ้าเหลือแค่ร่องแยกเล็กกระจ้อยร่อยเป็นจุดๆ เท่านั้น
สิ่งที่เหลืออยู่คือตัดขาสี่ข้างของตะพาบเทียมสวรรค์มาค้ำยันสี่เสาสวรรค์
แต่ตอนนี้ลู่เซิ่งไม่มีเวลาไปดู เขาเสียเวลามานานมากแล้ว จะต้องจัดการเรื่องดวงตาแห่งความเลวทรามก่อนที่สงครามใหญ่บรรพกาลจะอุบัติขึ้น
ฉวยจังหวะที่เขาหลอมเปลี่ยนปฐมพลังของโลกเกือบสองหน่วยเข้าจิตปฐม รีบมาทดลองจัดการเรื่องนี้ได้พอดี
สิ่งที่ปฐมพลังของโลกมอบให้เขาหลังจากหลอมรวมเข้ากับร่างกาย คือการเปลี่ยนแปลงพิเศษที่เหนือจินตนาการเมื่อก่อนหน้านี้ การเปลี่ยนแปลงนี้รุนแรงยิ่งนัก ไม่มีเหตุผลแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นลู่เซิ่ง ก็ไม่อยากใช้พลังแห่งโลกยกระดับตัวเองโดยที่อธิบายอะไรไม่ได้
เป็นเพราะหลังจากผสมปฐมพลังของโลกเข้ากับจิตปฐม เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า การเชื่อมต่อระหว่างตนเองกับโลกเทพนอกรีตล้ำลึกแน่นแฟ้นกว่าเดิม และนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
ฟ้าว!
เหนือท้องฟ้า นกยักษ์ที่มีปีกยาวถึงสามสิบหมี่ตัวหนึ่ง พุ่งผ่านลู่เซิ่งไป
นกยักษ์มีเส้นขนอ่อนนุ่มสีขาวบริสุทธิ์ เหมือนกับนกนางนวลทะเลฉบับขยายส่วน เพียงแต่มีลูกตาประหลาดสองดวงเพิ่มมาบนใบหน้าเท่านั้น
นกนางนวลทะเลสี่ตาตัวนี้บินเฉียดผ่านไป ทำให้ลู่เซิ่งตื่นจากภวังค์
เขาได้สติกลับมา แล้วกดมือลงบนส่วนหางของนกนางนวลทะเลสี่ตาอย่างมั่นคง
กลิ่นอายเทพปีศาจที่แข็งแกร่งกระจายเข้าไปตามเส้นขนของนกนางนวลทะเลสี่ตา นกยักษ์ตัวนี้พลันร้องโหยหวน หลังจากบินออกไปไม่ไกล ก็เลี้ยวกลับมาอีก
ลู่เซิ่งกระโดดไปบนหลังนกยักษ์อย่างแผ่วเบา ยื่นมือชี้ทิศทางคร่าวๆ นกยักษ์ส่งเสียงร้อง แล้วกระพือปีกบินไปยังทิศทางนั้น
แม้จะไม่ใช่หงส์อมตะราชาแห่งวิหค แต่เผ่าหงส์เพลิงก็ได้รับความเคารพและยำเกรงจากนกระดับต่ำไม่น้อย เพราะสายเลือดที่สูงส่งเช่นกัน
กอปรกับพลังฝึกปรือระดับจอมอริยะอันแข็งแกร่งของลู่เซิ่ง การควบคุมปีศาจระดับต่ำอย่างนกยักษ์ตัวนี้จึงไม่นับว่าลำบากมากนัก
นกนางนวลทะเลสี่ตาเร็วสุดขีด แม้จะสู้ลู่เซิ่งไม่ได้ แต่ก็เหนือกว่านกธรรมดา
ลู่เซิ่งมอบหนวดเส้นหนึ่งให้มัน หนวดพลังเทพนอกรีตขยายพันธุ์ในตัวมันเป็นจำนวนมาก เพิ่มความทนทานและพลังฟื้นฟูที่แข็งกล้ากว่าเดิมให้กับมัน
นกยักษ์บินด้วยความเร็วสูงขึ้นเรื่อยๆ การบินสุดกำลังด้วยความเร็วสูงสุดนี้ ในสภาพปกติจะดำเนินได้อย่างมากสุดหนึ่งชั่วยาม แต่หลังจากถูกฝังกาฝาก นกยักษ์ก็บินติดต่อกันกว่าสามชั่วยาม โดยไม่แสดงถึงความอิดโรยแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งยืนเงียบๆ อยู่บนหลังนกยักษ์ เขาเก็บกลิ่นอายของเทพปีศาจทั้งหมดบนตัว เพื่อป้องกันไม่ให้ไปกระตุ้นปัญหาหรือเรื่องเหนือความคาดหมายอะไรเข้าระหว่างทาง
นกยักษ์ลดความสูงลงเรื่อยๆ ภายใต้การควบคุมของเขา ยิ่งเห็นผืนดินแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากบินด้วยความเร็วสูงเป็นเวลาหลายชั่วยาม ผืนดินที่ก่อนหน้านี้เคยเขียวขจี กลายเป็นต้นไม้แห้งผืนใหญ่สีเทา
ต้นไม้แห้งนับไม่ถ้วนเหมือนกับซากโบราณสถานหลังถูกเพลิงเผา เถ้าธุลีจำนวนมากปกคลุมความดำเกรียมไว้ด้านใน
มองไปจากที่สูง เหมือนกับโปรยรังแคไปทั่วโคลนดำผืนหนึ่ง ต้นไม้แห้งสีดำแยกเขี้ยวกางเล็บยืดกิ่งที่บิดเบี้ยวแหลมคมออกมา บนพื้นคือดินดำที่แห้งผากและแตกระแหง
ลู่เซิ่งหยิบไข่มุกสีดำขนาดเท่าเล็บออกมาจากในอกเสื้อ ลูบไล้เบาๆ
ไข่มุกส่องแสงสีเหลืองอ่อนโยน แสงนี้หลุดจากไข่มุกเหมือนกับหมอกควัน แล้วรวมตัวกันบนไข่มุก พร้อมกับชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“ทางนี้” ลู่เซิ่งควบคุมนกยักษ์ใต้ฝ่าเท้าบินไปยังทางนั้น ลดระดับความสูงต่อ
ผ่านไปอีกราวสองชั่วยาม
นกนางนวลสี่ตาร่อนลงหน้าต้นไม้แห้งสีดำสนิทขนาดมหึมาต้นหนึ่ง
ต้นไม้ยักษ์ต้นนี้แตกต่างกับต้นไม้แห้งต้นอื่น ข้างใต้มันมีประตูไม้สีขาวหยาบกระด้างบานหนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่ามันถูกสร้างขึ้นมาทีหลัง
บานประตูสีขาวซีดหนาแน่นถึงขีดสุด เพียงแต่บานประตูปกคลุมความมืดล้ำลึกที่ซึมออกมาจากร่องแยกไว้
ตุบ
ลู่เซิ่งกระโดดลงจากหลังนกยักษ์อย่างแผ่วเบา แล้วยืนมั่นบนพื้นดิน
เขาจัดเสื้อคลุม เดินไปหาประตูใหญ่
เดินไปถึงหน้าประตู เขาเห็นข้อความแถวหนึ่งที่สลักอยู่บนสุด เป็นอักษรที่มีอายุเก่าแก่ เพียงแต่ตัวอักษรกับลักษณะการวาดพิลึกอยู่บ้าง แต่ก็พอจะเข้าใจความหมายได้คร่าวๆ
“ถ้ำวิมานดาวใต้”
ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู ละสายตาที่มองตัวอักษรกลับมาบนประตูใหญ่ที่ปิดบังบางสิ่ง
เขาสืบเท้าขึ้นหน้า พลังที่ไร้รูปร่างผลักประตูแง้มออกครึ่งหนึ่ง
เอี๊ยด…
เสียงเสียดหูเพิ่งดังขึ้น ก็ถูกลู่เซิ่งใช้สนามพลังไร้รูปร่างตัดขาดอย่างระมัดระวัง เพียงมีเสียงเบาๆ ดังออกมาเลือนราง จากนั้นก็หายไป
ลู่เซิ่งเดินผ่านประตูที่แง้มออกครึ่งหนึ่งเข้าไป
ด้านในคือโพรงต้นไม้ที่ไม่นับว่าใหญ่โตอะไรนัก
ผนังด้านในดำทะมึน ขวานหินหยาบๆ หลายเล่มกระจายอยู่เต็มพื้น เกาทัณฑ์ไม้สั้นแขวนอยู่บนกำแพง ยังมีโคมไฟที่มองไปเหมือนใช้ส่องแสงอีกสองอัน
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว เข้าไปใกล้ เอื้อมปลดโคมไฟลงมา
“ไม่เหมือนรูปแบบของยุคสมัยนี้เลย…”
โคมไฟเหมือนโคมม้าอยู่บ้าง ด้านบนมีที่ให้จับ แม้ตัวงานจะหยาบมาก แต่ก็มองออกได้ว่าด้านในมีเค้าโครงของโคมน้ำมัน
ลู่เซิ่งเจอร่องรอยของมนุษย์ที่เคยมีชีวิตมาในโพรงต้นไม้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เหมือนจะเป็นเรื่องที่ผ่านมานานนมแล้ว ร่องรอยที่ใหม่ที่สุดซึ่งเหลืออยู่ในโพรงต้นไม้ มีฝุ่นจับอยู่ไม่น้อย
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งสนใจอยู่บ้างก็คือ ตรงมุมหนึ่งของโพรงต้นไม้มีของที่เหมือนเสื้อแขนสั้นอยู่ชิ้นหนึ่ง
ลู่เซิ่งยื่นมือกวักออกไป เสื้อตัวนั้นพลันลอยเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งคว้าเสื้อไว้ดังหมับ พิเคราะห์อย่างละเอียด บนเสื้อผ้ายังมียี่ห้ออยู่อีกด้วย
“นี่ไง!” ลู่เซิ่งตกตะลึง
ถ้าที่นี่เป็นสถานที่ที่ตระกูลลู่เคยอยู่ อย่างนั้นก็หมายความว่า อาจจะมีคนในครอบครัวร่อนเร่อยู่ในโลกใบนี้
ลู่เซิ่งวางเสื้อลง แล้วเดินวนโพรงต้นไม้รอบหนึ่ง นอกจากเสื้อผ้าแล้วก็ไม่มีของที่มีค่าอีก
ดวงตาแห่งความเลวทรามยังคงไม่เจอที่อยู่ใดๆ ลู่เซิ่งเพียงสัมผัสกลิ่นอายหลงเหลือที่น่าสงสัยของของสิ่งนี้บนโต๊ะในโพรงต้นไม้เท่านั้น
เมื่อไม่เจอดวงตาแห่งความเลวทราม เขาเริ่มกระจายขอบเขตการค้นหาออกไป
ส่วนทางอุทยานปีศาจ ยังคงดำเนินการต่อไปตามแผนเดิม…
…
เขาเซี่ยชิว
“ที่นี่นี่เอง ถ้าข้าแยกแยะไม่ผิด ตามการวิเคราะห์ผลลัพธ์ ผู้ที่เป็นไปได้ที่สุดว่าจะถูกซุ่มโจมตีก็คือผู้อาวุโสซู่หนิง” ระหว่างป่าเขา ตวนฟางกำชับกับตวนลี่ผู้เป็นน้องสาวเบาๆ
“อาลี่ เจ้าจงจำไว้ว่า หากเจอปัญหาอะไรเข้า จงบีบศิลาหยกให้แตกทันที ห้ามลังเลเด็ดขาด”
“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ” อาลี่พยักหน้าหนักแน่น
ความจริงการศึกของเผ่าเวทและเผ่าปีศาจในหลายวันมานี้ดุเดือดยิ่งกว่าเดิม ไป๋เจ๋อไม่อาจปลีกตัวมาได้ จึงให้ทั้งสองหยุดพักก่อน รอเขากลับมา ค่อยดำเนินการตรวจสอบครั้งใหม่ต่อ
แต่ผ่านไปหลายวัน ไป๋เจ๋อยังไม่กลับมา นี่ทำให้ตวนฟางร้อนใจ ดังนั้นจึงใช้ความร้ายกาจด้านการพรางตัวของตน พาน้องสาวมาตรวจสอบอย่างลับๆ
ตอนนี้พวกเขากำลังแอบตรวจสอบตำแหน่งที่หก
ตามการแยกแยะของตวนฟาง ตำแหน่งเหล่านี้เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่จะเป็นตำแหน่งที่คนหลังฉากเคยลงมือ
ตำแหน่งเหล่านี้มีจุดร่วมเดียวกัน นั่นก็คือเร้นลับถึงขีดสุด ทั้งยังสะดวกต่อการปิดบังกลิ่นอาย และอำพรางร่องรอยการต่อสู้
เนื่องด้วยท่านอาไป๋เจ๋อไม่มาสักที ตวนฟางจึงพาน้องสาวมายังโลกเบื้องล่าง เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจก่อน ถือเป็นการประหยัดเวลา
……………………………………….