ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 927 เลื่อนระดับ (1)
พรึ่บ!
เปลวไฟสีขาวอมแดงลุกไหม้ขึ้นรอบตัวลู่เซิ่ง วนเวียนรอบตัวเขาเหมือนตะเกียงไฟ
พอออกจากตำหนักหงส์เพลิง เขาก็มาถึงวิมานถ้ำเทพปีศาจแห่งหนึ่งที่ตนควบคุมอยู่ทันที
วิมานเทพแห่งนี้ตั้งอยู่ดินแดนแห่งบรรพตประกายแสง ซึ่งอยู่บนผืนดิน ดูเหมือนบรรพตประกายแสงจะไม่ต่างอะไรไปกับเทือกเขาอื่นๆ เขาเขียวน้ำใส เขียวชอุ่ม วิหคร้องเจี้ยวจ้าวบุปผาหอมกรุ่น สัตว์ประหลาดหมอบคืบคลาน
แต่ความจริงนี่เป็นเพียงเปลือกนอกเท่นั้น เผ่าปีศาจที่อยู่ที่นี่เปลือกนอกอ่อนโยนสงบสุข แต่หากเกิดเข้าใกล้เมื่อไร จะบ้าคลั่งกลายเป็นสัตว์ป่าประหลาดที่ดุร้ายอัปลักษณ์ กัดทึ้งสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เข้าใกล้ทันที
ในวิมานถ้ำทั้งหมดของเทพปีศาจใต้สังกัดลู่เซิ่ง ที่นี่เป็นสถานที่ที่เร้นลับที่สุด พรางตัวได้มากที่สุด
วิมานถ้ำอยู่ในส่วนลึกของภูเขา รอบข้างมีเทพปีศาจวางค่ายกลคุ้มกันเสริมแกร่งอายุมากกว่าหมื่นปีไว้ ด้านนอกยังมีค่ายกลลวงตาสำหรับใช้หลบซ่อน และมีกับดักอาคมจำนวนมากอีกด้วย
ลึกเข้าไปในถ้ำ ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิ ร่างกายมีเงาหงส์เพลิงสีแดงอมทองปรากฏช้าๆ อยู่ในสภาวะระหว่างร่างเดิมและร่างมนุษย์จำแลง
เขากำลังฟื้นฟูอัคคีเทพหงส์เพลิงของตัวเอง ก่อนหน้านี้โดนหมิงเหอลอบโจมตี ตอนนี้ใช้เวลาไปมากมาย กว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้ ไฟที่แข็งแกร่งอย่างอัคคีเทพหงส์เพลิงไม่อาจเปลี่ยนจากโลกภายนอกอย่างรวดเร็วได้ จะต้องค่อยๆ หลั่งออกมาด้วยร่างปีศาจดั้งเดิมของตัวเอง
เรียกได้ว่าใช้หนึ่งส่วนก็เสียไปหนึ่งส่วน
“ดีที่ฟื้นฟูเรียบร้อยแล้ว” ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจยาว มีแต่สภาพสมบูรณ์ที่สุดเท่านั้นถึงจะทำให้การยกระดับในครั้งนี้สำเร็จสมบูรณ์แบบได้
เขาประเมินสภาพในปัจจุบันของตนเองดูคร่าวๆ
เผ่าหงส์เพลิงมีอักขระโดยกำเนิดคล้ายกับเผ่าหงส์อมตะ หงส์อมตะมีคำมงคลสี่คำ ส่วนหงส์เพลิงก็มีเช่นกัน
เหมือนกับคำว่าเสน่ห์กระจายทั่วทิศของลู่เซิ่งเมื่อก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ไม่ได้เกี่ยวกับหลังกำเนิด
พลังอิทธิฤทธิ์ที่แท้จริงของหงส์เพลิงมาจากสี่คำนี้นั่นเอง
พวกเขาแลกเปลี่ยนและติดต่อกับธรรมชาติจักรวาลผ่านอักขระบนตัว ในการกระตุ้นกฎเกณฑ์เพื่อสร้างอิทธิฤทธิ์
และร่างมนุษย์ก็เป็นหนึ่งในสภาพที่ติดต่อกับจักรวาลได้ง่ายที่สุด ดังนั้นลู่เซิ่งจึงอยู่ระหว่างร่างมนุษย์กับร่างเดิม เพื่อให้มีข้อได้เปรียบจากสองสภาพ
“ดีปบลู” เขานึกในใจ
อินเตอร์เฟซดีปบลูปรากฏตรงหน้าเขา มีกรอบหลายกรอบเด้งออกมา ทั้งหมดคือวิชาอิทธิฤทธิ์ที่เขาได้จากจักรวาลแห่งนี้
นอกจากบันทึกทักษิณอายุวัฒนะ ยังมีเคล็ดจักรพรรดิชาดผนึกดาว แต่ว่าเขาไม่ได้ฝึกฝนเคล็ดจักรพรรดิชาดผนึกดาวมากมายเท่าไร
ในตอนนี้ ลู่เซิ่งมองไปที่บันทึกทักษิณอายุวัฒนะ
“บันทึกทักษิณอายุวัฒนะ: วัฏจักรที่เจ็ดสิบเอ็ด (อิทธิฤทธิ์:จิตแห่งไฟระดับสูง เปลวเพลิงระดับสูงกลายสภาพ เปลวเพลิงระดับสูงแข็งแกร่งขึ้น สะกดเผ่าพันธุ์สายอัคคีระดับสูง อัคคีเทพทักษิณระดับเจ็ด)
“ยังมีพลังอาวรณ์ห้าพันล้านหน่วย ลองดูว่าจะยกได้กี่ระดับ” ลู่เซิ่งสั่งความคิด ให้เครื่องมือปรับเปลี่ยนยกระดับวิชาหนึ่งวัฏจักร
กรอบของบันทึกทักษิณอายุวัฒนะพลันพร่ามัว
พลังอาวรณ์จำนวนมากทะลักออกจากทรวงอกของเขา กระจายไปทั่วทุกทิศเหมือกระแสคลื่น กระแสความร้อนที่แผดเผากว่าเดิมเติมเต็มทั่วร่างลู่เซิ่ง
เขาหลับตา ความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่คุ้นเคยดี เขาสัมผัสได้ว่ากระแสความร้อนไหลพรูเข้าไปในเนื้อเยื่อนับไม่ถ้วน วิชาของบันทึกทักษิณอายุวัฒนะไหลเวียนเองด้วยความเร็วสูง
บันทึกอายุวัฒนะที่เดิมต้องฝึกหลายหมื่นปีถึงจะเลื่อนระดับได้ กำลังลอกคราบด้วยความเร็วที่อลังการถึงขีดสุด
ยิ่งวิชาการสืบทอดของเผ่าหงส์เพลิงช่วงหลังๆ การฝึกฝนเพื่อเลื่อนระดับก็ยิ่งยากลำบาก หงส์เพลิงทั่วไปฝึกถึงวัฏจักรที่สามสิบได้ ก็ถือว่ามีพรสวรรค์ล้ำเลิศ และใช้เวลาไปหลายปีแล้ว หากคิดจะไปต่อ ก็ต้องพิจารณาปัญหาของขีดจำกัดอายุขัยด้วย
ร่างกายของลู่เซิ่งไม่ได้มีพรสวรรค์อะไรนัก แต่เขามีดีปบลู ดีปบลูใช้พลังอาวรณ์ยกระดับพลังวิชาของเขาถึงวัฏจักรที่เจ็ดสิบเอ็ด นี่เทียบเท่ากับพลังยุทธ์หลายหมื่นปีของหงส์เพลิงตนอื่น
หากยึดตามวิธีการคำนวณในโลกบรรพกาล ที่นี่ใช้คำว่าบรรจบกาลและอุบัติกาลเป็นหน่วย หนึ่งบรรจบกาลคือหนึ่งหมื่นแปดพันปี หนึ่งอุบัติกาลคือสองบรรจบกาล รวมทั้งหมดสองแสนเก้าพันหกร้อยปี
พลังฝึกปรือของลู่เซิ่งในตอนนี้เทียบได้กับการสั่งสมสิบกว่าอุบัติกาล หรือก็คือพลังฝึกปรือมากกว่าล้านปี
หงส์เพลิงที่อยู่บนโลกใบนี้มามากกว่าล้านปี ก็คือหัวหน้าเผ่าหงส์เพลิงอย่างอวี่ซวน
ยังมีสุดยอดเทพปีศาจส่วนน้อยของอุทยานปีศาจ ก็มีพลังยุทธ์ระดับนี้เช่นกัน
“คำนวณดูแล้วร้ายกาจมาก แต่ความจริงในโลกบรรพกาล แม้แต่หมิงเหอก็สู้ไม่ได้” ลู่เซิ่งส่ายหน้าน้อยๆ
หมิงเหอเป็นสัตว์ประหลาดที่อยู่มาตั้งแต่หลังเบิกฟ้า ร่างแปลงเทียบเคียงได้กับเขา หากเอาร่างจริงออกมา จะหมดวิธีจริงๆ แล้ว
“แต่ว่าจักรวาลนี้มีเวลาไร้ขีดจำกัด ผู้ยิ่งใหญ่อย่างหมิงเหอไปถึงขีดจำกัดของตัวเองแต่แรก เทพปีศาจระดับสุดยอดจำนวนมากก็บรรลุขีดจำกัดก่อนกำเนิดมานานแล้ว ไม่อาจไปต่อได้อีก ต่อให้จะเป็นสุดยอดเทพปีศาจไม่กี่ตนในอุทยานปีศาจ ก็ไม่อาจพัฒนาได้อีก ติดอยู่ตรงคอขวด พวกที่ได้รับการหล่อเลี้ยงจากค่ายกลดาราสวรรค์อย่างแท้จริงมีแต่เทพปีศาจระดับต่ำเท่านั้น”
ลู่เซิ่งขบคิดคำนวณ
ไม่นานนัก อินเตอร์เฟซดีปบลูก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
“[บันทึกทักษิณอายุวัฒนา: วัฏจักรที่เจ็ดสิบสอง ขั้นที่เก้า (อิทธิฤทธิ์: จิตแห่งไฟระดับสูง เปลวเพลิงระดับสูงกลายสภาพ เปลวเพลิงระดับสูงแข็งแกร่งขึ้น สะกดเผ่าพันธุ์สายอัคคีระดับสูง อัคคีเทพทักษิณระดับแปด)])
ที่เหลือไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
มีเพียงแค่อัคคีเทพทักษิณที่กลายเป็นระดับแปดเท่านั้น นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงด้านอิทธิฤทธิ์ และลู่เซิ่งเองก็สัมผัสได้อย่างแจ่มชัดว่า ร่างกายเกิดความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเล็กๆ น่าจะเป็นเพราะอายุขัยเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ยังมีพลังปีศาจและพลังฝึกปรือในตัวยกระดับขึ้นสามเท่าโดยประมาณ
แสดงให้เห็นว่าผลของวัฏจักรนี้คือสิ่งเหล่านี้
หลังจากบันทึกทักษิณอายุวัฒนะยกระดับขึ้น ก็เริ่มมีวัตถุลึกลับหลายสายซึมเข้าไปในร่างหลักมารสวรรค์ เริ่มดูดซับไอความตายเล็กๆ ในร่างหลักให้กลายเป็นหินสีเทา ขณะเดียวกันพลังจิตวิญญาณของร่างหลักก็เหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างช้าๆ เพราะสาเหตุนี้เช่นกัน
“ใช้พลังอาวรณ์ไปเกือบห้าร้อยล้านหน่วย…เยอะเกินไปแล้ว…ห้าพันล้านน่าจะไม่พอใช้แล้วสิ…” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
“ไม่ต้องสนใจ ยกระดับก่อนค่อยว่ากัน”
เขาสั่งความคิด ยกระดับบันทึกทักษิณอายุวัฒนะต่อ
วัฏจักรที่เจ็ดสิบสาม วัฏจักรที่เจ็ดสิบสี่ วัฏจักรที่เจ็ดสิบห้า วัฏจักรที่เจ็ดสิบหก…จนถึงวัฏจักรที่แปดสิบ!
อัคคีเทพสีขาวที่โหมไหม้ทั่วร่างลู่เซิ่งค่อยๆ มีสีดำประหลาดสายหนึ่งเพิ่มมา
ภายนอกเป็นสีขาว ด้านในมีเส้นสายสีดำรางๆ
อัคคีขนาดเท่าเม็ดถั่ว ลอยอยู่ตรงหน้าลู่เซิ่ง แต่ความร้อนที่กระจายออกมาทำให้ผนังถ้ำรอบๆ หลอมละลายเป็นหินหนืดสีทอง ค่ายกลป้องกันมีควันดำลอยขึ้นอย่างบ้าคลั่ง มีอักขระเทพคุ้มกันระเบิดกลายเป็นสีดำเกรียมเป็นระยะ
อากาศถูกเผาไหม้ ก้อนหินในถ้ำที่ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นควันจำนวนมากแผ่พุ่งรอบๆ ตัว ไอหินเหล่านี้เป็นหมอกสีทองอ่อนขมุกขมัว วนเวียนรอบตัวลู่เซิ่งช้าๆ
นอกจากไอหินแล้ว ก็เป็นหินหนืดสีเทา นอกจากหินหนืดสีเทา ก็เป็นหินหนืดสีเหลือง นอกจากนี้ก็มีสีแดง สีแดงเข้ม ไปจนถึงดำสนิท
พื้นผิวบรรพตประกายทั้งหมดระเหยไอความร้อนจำนวนมากออกมา สัตว์และปีศาจที่อยู่ใกล้ๆ เริ่มหนีเตลิดไป เพราะรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ
จอมปีศาจที่ขวัญกล้าน้อยนิดนึกว่าเป็นสมบัติจุติ จับกลุ่มเร่งรุดไปทางลู่เซิ่ง แต่ไปได้ครึ่งทางก็ทนไม่ไหว หันหลังหนีไป
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กับที่ ร่างกายกระจายเปลวอัคคีที่น่ากลัวมันมากพอจะระเหยทุกสิ่งอย่างออกมา เหมือนกับอีกาทองสามขา
อัคคีเทพหงส์เพลิงเดิมเป็นเพียงเปลวอัคคีเทพทักษิณที่ครอบครองความสามารถพิเศษของฟ้าดิน มีแต่อัคคีอาทิตย์เท่านั้น ถึงจะมีความร้อนสูงเกรี้ยวกราดแบบนี้
แต่เวลานี้ลู่เซิ่งเพิ่มความร้อนของอัคคีเทพหงส์เพลิงไปถึงระดับที่เทียบเคียงกับอัคคีอาทิตย์
พลังสังหารอันแข็งแกร่งต่อจิตวิญญาณที่ไฟจิตมีอยู่ ยิ่งถูกเพิ่มความแข็งแกร่งถึงขั้นที่ไม่อาจเพิ่มไปมากกว่านี้
ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า ยกระดับขึ้นอีกไม่มาก ก็จะสัมผัสสิ่งกีดขวางที่ไม่อาจบรรยายได้
นั่นน่าจะเป็นขีดจำกัดก่อนกำเนิดของร่างอริยะหงส์เพลิง
แม้สายเลือดสัตว์เทพโบราณจะเยี่ยมยอดสุดเปรียบปาน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีขีดจำกัด เหมือนกับตึกสูง ที่แม้จะวางโครงสร้างไว้ดีหรือสูงขนาดไหน สุดท้ายก็มีขีดจำกัด เหมือนกับบึงน้ำ แม้จะเป็นบึงน้ำที่ใหญ่และกว้างเท่าไร สุดท้ายก็มีวันถูกเติมเต็ม
ลู่เซิ่งใช้พลังอาวรณ์ ก้าวข้ามการฝึกฝนสั่งสมหลายล้านปี บรรลุถึงคอขวดขีดจำกัดทางสายเลือดของหงส์เพลิง
“ยังไม่พอ…ต้องใช้พลังอาวรณ์มากกว่านี้…มากกว่านี้…” ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าตนใกล้จะถึงขีดจำกัด และเมื่อทะลวงขีดจำกัดเมื่อไหร่ ก็จะบรรลุขอบเขตจอมอริยะได้
ความจริงขีดจำกัดทางคุณสมบัติและร่างกายของเผ่าพันธุ์ใดๆ ก็คือโซ่ตรวนเส้นแรกที่จักรวาลธรรมชาติใช้สะกดชีวิต
หากคิดจะเลื่อนระดับ ก็ไม่มีวิธีอื่นนอกจากสี่วิธีนั้น บรรลุธรรมด้วยพลัง สะบั้นสามอสุภะบรรลุธรรม สั่งสมกุศลบรรลุธรรม และปณิธานบรรลุธรรม
สะบั้นสามอสุภะไม่ต้องนึกถึง ลู่เซิ่งไม่คิดจะเดินทางนี้อยู่แล้ว หากสะบั้นสามอสุภะทิ้ง อยู่ไปก็ไม่มีความหมาย
ดังนั้นเขาจึงคิดจะบรรลุธรรมด้วยพลัง คนเพียงหนึ่งเดียวที่บรรลุธรรมด้วยพลังของจักรวาลแห่งนี้ก็คือผ่านกู่
ผ่านกู่ถือกำเนิดจากความโกลาหลก่อนกำเนิด ไม่มีขีดจำกัดทางกฎเกณฑ์ใดๆ โดยธรรมชาติ ดังนั้นจึงเพิ่มพลังด้วยตัวเอง จนทำลายทุกกฎเกณฑ์ได้
และลู่เซิ่งก็รู้ว่า ความได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตนคือร่างหลัก ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ ร่างมารสวรรค์ไม่รับการควบคุมของกฏเกณฑ์ด้านนี้ จึงมีความได้เปรียบด้านนี้เช่นกัน สามารถเดินเส้นทางบรรลุธรรมด้วยพลังได้อย่างปลอดโปร่ง
ถูกต้อง ตอนบรรลุถึงขีดจำกัด เขาคิดจะใช้พลังของร่างหลักช่วยให้ร่างอริยะหงส์เพลิงทะลวงขีดจำกัด
“ยังขาดอีกหน่อย…ไปเถอะ ไปหาของล้ำค่าพิเศษที่มีความเป็นมายาวนานให้แก่ข้า…” ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กลางหมอก เงาน่ากลัวของหงส์เพลิงขนาดยักษ์กะพริบขึ้น รอยแตกของมิตินับไม่ถ้วนขยายไปรอบบริเวณตัวเขา
ภูเขาเขียวน้ำใสในตอนแรกของบรรพตประกายแสงกำลังถูกเผากลายเป็นนรกเหมือนกับภูเขาเพลิงอย่างรวดเร็ว
…
ณ อุทยานปีศาจ
มหาเทพก้มมองเหล่าบริวารเบื้องล่างผ่านม่านมุก
รอบห้องประชุมสีสันสดใส มีนกหลวนและมังกรเจียวจำลองที่เกิดจากค่ายกลบินฉวัดวียน เผ่าหงส์เพลิงควบคุมนักดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
“ตอนนี้บรรพชนเวทตายไปสองคน ขุมกำลังเสียหายหนักมาก ก่อนหน้านี้อุทยานปีศาจด้อยกว่าขั้นหนึ่ง จึงต้องปกป้องตัวเอง ตอนนี้สภาพการณ์เปลี่ยนไป เป็นเวลาที่ดีกับอุทยานสวรรค์ของเราอย่างยิ่ง ขุนนางทุกท่านมีแผนการกำจัดเผ่าเวทให้หมดไปตลอดกาลหรือไม่” ช่วงนี้เขาเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจเพราะเผ่าเวท
ตี้ซวินผู้เป็นพี่ชายเสียโอรสไปหกองค์ หลังจากแผนการเล่นงานเทพธารากับจู้หรงในครั้งก่อนถูกเปิดเผย ดวงอาทิตย์ดวงเดียวที่เหลืออยู่ ไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ซ่อนตัวเปลี่ยนชื่อปลอมแซ่ ตอนนี้อยู่ไหนก็ไม่ทราบ
ปัจจุบันดวงอาทิตย์ตกเป็นหน้าที่ของซีเหอ มหาเทพเองก็ละอายแก่ใจเพราะเหตุนี้ อย่างไรนั่นก็เป็นถึงบุตรชายสิบคนที่พี่ชายให้กับเนิดกับพี่สะใภ้ซีเหอ แต่ตอนนี้กลับ…
เป็นเพราะสาเหตุนี้เอง เขาจึงรังเกียจเผ่าเวทยิ่งกว่าเดิม ก่อนหน้านี้ได้ไปยังตำหนักจักรพรรดิวาเพื่อขอให้ผู้วิเศษลงมือหลายรอบ แต่ถูกปฏิเสธละมุนละม่อมกลับมา
“ในเมื่อผู้วิเศษไม่ยอมลงมือ อย่างนั้นข้าจะลงมือเอง!” ด้วยความคิดนี้ มหาเทพตงหวงจึงเรียกเหล่าขุนนางมารวมตัวกันเพื่อหารือแผนการที่ดี
เหล่าขุนนางนั่งอยู่ในตำหนัก ไม่พูดอะไรสักคำ
สายตาของมหาเทพตกลงบนร่างขุนพลหลักที่มากความสามารถที่สุดหลายคนของตัวเอง กวาดสายตาผ่านร่างคุรุปีศาจคุนเผิง
“ทุกท่านเป็นเสาหลักของอุทยานสวรรค์ เหตุใดไม่พูดอะไรสักคำเล่า”
“ฝ่าบาท ปัจจุบันเผ่าเวทเกิดปัญหาภายใน เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเราจริงๆ แต่ในทางเดียวกัน ก่อนหน้านี้อุทยานสวรรค์ของพวกเราก็เกิดการบาดเจ็บล้มตายไปในสงครามใหญ่หลายครั้งก่อนหน้านี้อย่างสาหัสเช่นกัน ค่ายกลสิบสองเทพมารสวรรค์มีอานุภาพน่าสะพรึงกลัวเกินไป ต่อให้เสียบรรพชนเวทไปสองคน แต่พวกเราก็สู้ไม่ได้อยู่ดี” เทพปีศาจไป๋เจ๋อเอ่ยอย่างเชื่องช้า
ไป๋เจ๋อเป็นบัณฑิตวัยหนุ่มรูปหล่อสีหน้าขาวผ่อง เวลานี้มือหนึ่งขยับพัด มือถึงถือจอกน้ำชา เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
มหาเทพรู้ว่าเขากำลังเตือนให้ตนอย่าเพิ่งวู่วาม
“ถ้าบรรพชนเวทหายไปอีกคน เราอาจจะครองความได้เปรียบได้” ไป๋เจ๋อว่าต่อ
“พูดนั้นง่าย” ซังหยางส่ายหน้า “ต่อให้ก่อนหน้านี้ท่านจะวางแผนจัดการจู้หรงกับเทพธารา นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาสองคนมีช่องโหว่ ไม่ถูกกัน ทว่าเวลานี้เผ่าเวทมีศัตรูร่วมกัน จึงลงมือไม่ได้”
ทั้งสองคนต่างเป็นสุดยอดเทพปีศาจใต้สังกัดของมหาเทพ ตำแหน่งใกล้เคียงกัน ย่อมพูดคุยได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เพียงแต่พอเทพปีศาจตนอื่นได้ยินว่าเทพธาราเป็นแผนการที่ไป๋เจ๋อวางไว้ เผยสีหน้าตกใจ มองไปยังไป๋เจ๋อ
……………………………………….