ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 766 พบมารดา (2)
บทที่ 766 พบมารดา (2)
ที่แท้การแต่งงานกับผังหยวนจวินกับถังชิงชิงในตอนนั้นเป็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์
ผังหยวนจวินต้องการใช้ขุมกำลังเบื้องหลังถังชิงชิงเพื่อแสวงหาความก้าวหน้า ส่วนถังชิงชิงอาศัยวิชากระบี่หทัยศักดิ์สิทธิ์จิตอริยะ มรรคายุทธ์ระดับกลางค่อนไปทางสูงของผังหยวนจวินเพื่อฝึกฝนวิชาลืมรักสูงส่ง
หลังจากให้กำเนิดผังซือเฉิง ผังหยวนจวินก็บรรลุเป้าหมาย ส่วนพลังฝึกปรือของถังชิงชิงก็เลื่อนระดับสำเร็จ สองฝ่ายเปลี่ยนจากรักกันดูดดื่มเป็นห่างเหิน ก่อนจะแยกย้ายกันไป
กล่าวได้ว่าผังหยวนจวินทำเพื่อความทะเยอทะยาน ส่วนถังชิงชิงทำเพื่อพลังฝึกปรือตั้งแต่แรกเริ่ม การแต่งงานนี้เป็นเพียงข้อผิดพลาดเท่านั้น
สำหรับทั้งสองคน การถือกำเนิดของผังซือเฉิงเป็นเพียงสิ่งที่เหลืออยู่จากความผูกพันทางสายเลือดเท่านั้น ไม่มีความรักใดๆ
แต่ผังหยวนจิงก็ให้ความสำคัญกับผังซือเฉิงอยู่บ้าง อย่างไรทายาทรุ่นต่อไปของจอมอหังการก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ขุมกำลังมั่นคง
หลังจากรู้ความจริงแล้ว ลู่เซิ่งค่อยเข้าใจความยากของผลกรรมความปรารถนาของผังซือเฉิง
สามีภรรยาผู้นี้ไม่ได้รักกันจริงๆ เพียงผูกพันกันด้วยเพราะผลประโยชน์เท่านั้น คิดจะทำให้ครอบครัวมาอยู่กันพร้อมหน้า…ไม่ใช่แค่ยากธรรมดาสามัญเสียแล้ว
ผลกรรมความปรารถนาไม่อาจใช้วิธีบีบบังคับแก้ไข จะต้องให้คนทั้งสองยินยอมพร้อมใจตามธรรมชาติเท่านั้น
“เป็นอย่างไร แบบนี้ประสกยังจะไปพบกับมารดาอยู่อีกหรือไม่” มู่หรงมองลู่เซิ่งด้วยความสงสัย เด็กอ้วนที่เพิ่งอายุแค่สิบกว่าปีคนนี้ แม้จะมีร่างกายใหญ่โต แต่ก็ยังมีอายุแค่สิบขวบเท่านั้น
“แน่นอน” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ข้าโตมาขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นมารดาข้าจริงๆ ครั้งนี้ที่มาก็เพื่อพบหน้า”
“ก็ได้ ในเมื่อประสกไม่ตัดใจ เสวียนซิน พาเขาไปพบถังชิงเถอะ” มู่หรงหลับตาลงและกล่าวอย่างเรียบเฉย
“เจ้าค่ะ” ไม่นานนักเด็กน้อยบำเพ็ญเต๋าคนหนึ่งก็เดินมานำทางลู่เซิ่งเข้าไปในตัวลานด้านในอาราม มุ่งหน้าไปยังเรือนเล็กแห่งหนึ่งด้านหลังสุด
ทั้งสองเจอถังชิงชิงที่นั่งทำสมาธิอยู่ด้านหน้าประตูเรือนเล็กอย่างรวดเร็ว
เด็กน้อยผู้บำเพ็ญปิดประตูเรือนจากไปเงียบๆ ทิ้งลู่เซิ่งกับถังชิงชิงไว้ด้านใน
ถังชิงชิงค่อยๆ ลืมตาหงส์ประกายเย็นชา เพ่งมองลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกล
ใบหน้าที่คล้ายกับผังหยวนจวินถึงขีดสุดทำให้นางหวนนึกถึงช่วงเวลาหวานหอมที่ได้รักกับผังหยวนจวิน
“เจ้าคือ…ซือเฉิงหรือ” นางถามเบาๆ
“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ท่านแม่ ข้ามาพาท่านกลับบ้านด้วยกัน”
“…” ถังชิงชิงนิ่งไปชั่วครู่ “ใจข้าคือบ้านข้า ลูกเอ๋ย เจ้ายังเด็ก จึงไม่เข้าใจ”
“อย่าดื้อรั้นเลย มีเรื่องอะไรพวกเราพ่อแม่ลูกค่อยนั่งลงเปิดอกคุยกันดีๆ มีความขัดแย้งอะไรสามารถใช้การสื่อสารแก้ปัญหาได้” ลู่เซิ่งถอนใจ “ไปเถิด รีบตามข้ากลับบ้าน”
“…” ถังชิงชิงเงียบงันอีกรอบ “ลูกเอ๋ย มีเรื่องมากมายที่เจ้ายังไม่เข้าใจ ข้ากับผังจวินหยวนไม่ได้รักกัน ตอนนี้ผ่านไปสิบปี ยิ่งไม่อาจอยู่ด้วยกันได้อีก เจ้ากลับไปบอกพ่อเจ้าว่า…ข้าลืมทุกสิ่งในตอนนั้นไปหมดแล้ว”
“ข้ากำลังคุยเหตุผลกับท่านดีๆ อยู่นะ อย่าทำตัวดื้อรั้นจะได้หรือไม่” ลู่เซิ่งรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย “ต่อให้จะเป็นเพื่อตัวข้าเอง พวกท่านใช้ชีวิตด้วยกันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ”
ถังชิงชิงงุนงงเล็กน้อย ไม่ทราบว่าเหตุใดน้ำเสียงของ…เด็กน้อยคนนี้เหมือนจะผิดปกติอยู่บ้าง
“ข้าพูดไปแล้ว กลับไปเถิด ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าควรมา อดีตทางโลกเป็นเมฆหมอกที่ผ่านไปแล้วสำหรับข้า” ถังชิงชิงตอบก่อนจะหลับตาทำสมาธิอีกครั้ง
“แต่ท่านเองก็เคยรักผังหยวนจวินกระมัง”
“รักกับไม่รักอยู่ที่ใจ อดีตกับปัจจุบันเหมือนกับแสงกะพริบเงาวูบไหว เหมือนดั่งลูกคลื่นในชีวิตราบเรียบเท่านั้น” ถังชิงชิงเอ่ยอย่างราบเรียบ “ในเมื่อไม่รักแล้ว ต่อให้ข้าจะอยู่กับผังหยวนจวินแล้วมีความหมายอะไร”
“ไม่เป็นไร แค่ข้ารู้สึกมีความหมายก็พอ” ลู่เซิ่งโบกมือ “รีบเก็บของเสีย ข้าขอบอกกับท่านว่าครั้งนี้ข้าไม่ได้มาพูดเหตุผลกับท่าน สามวันต่อจากนี้ สามวันต่อจากนี้ข้าจะมาอีก ถึงตอนนั้นท่านแม่จะต้องเก็บข้าวของให้เรียบร้อย พวกเราจะลงเขาด้วยกัน”
สิ้นเสียงเขาก็หมุนตัวออกจากลานเรือนโดยไม่รอให้ถังชิงชิงตอบ
ฝ่ายหลังงุนงง จากนั้นจิตใจก็กลับเป็นปกติ เข้าสู่ห้วงสมาธิอีกรอบเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน
นางเข้าสู่ขอบเขตหทัยศักดิ์สิทธิ์จิตอริยะมาหลายปีแล้ว ความผูกพันเล็กๆ เท่านี้ไม่อาจสร้างความปั่นป่วนให้แก่ใจนางได้
สำหรับผู้บำเพ็ญที่นั่งสมาธิแทนการกินข้าว ช่วงเวลาสามวันไม่นับว่ายาวนาน เหมือนกับผ่านไปแค่หนึ่งชั่วก้านธูป
พอดีกับที่วันนี้เป็นวันถ่ายทอดวิชาของศิษย์ทุกคนในอาราม
ถังชิงชิงที่เป็นผู้อาวุโสถ่ายทอดวิชาตื่นแต่เช้าตรู่ หลังจากสวดมนตร์และสอนช่วงเช้าเสร็จ นางก็พาศิษย์จำนวนมากในสำนักมาถึงลานว่างระหว่างอารามสองแห่ง
เหล่าศิษย์แสดงวิชากระบี่รอบหนึ่งโดยให้ศิษย์พี่เข้าไปแก้ไขข้อผิดพลาด หลังจากช่วงนี้ผ่านพ้นไป ก็จะเป็นการแลกเปลี่ยนความเข้าใจและประสบการณ์การฝึกฝน
ถังชิงชิงถือกระบี่ยาวสีขาวไว้ในมือ นั่งอย่างสงบนิ่งอยู่บนแท่นสูงมองดูเหล่าศิษย์ของตนที่อยู่ด้านล่างกระจายตัวกันเพื่อชี้แนะศิษย์ทั่วไปในอาราม
เซียวหงเหลยคือศิษย์เอกของนักพรตชิงฉุ่ย วิชากระบี่หทัยศักดิ์สิทธิ์เยียบเย็นสะบั้นรัก คล่องแคล่วดุจมังกรทะยาน ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากนักพรตชิงฉุ่ย อายุยังน้อยก็เป็นผู้เข้มแข็งขอบเขตมหาจอมยุทธ์แล้ว
นางคอยสังเกตศิษย์ในอารามและแก้ไขการเคลื่อนไหวที่ผิดพลาดยามที่พวกเขาฝึกฝนอย่างเอาจริงเอาจัง
หลังจากจัดระเบียบการเคลื่อนไหวของศิษย์คนอื่นสักพักหนึ่ง นางก็หันไปมองบนแท่นสูง แม้ว่าถังชิงชิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นจะเป็นผู้อาวุโสถ่ายทอดวิชา แต่ปกติน้อยมากที่จะพบเห็นคนผู้นี้
ช่วงที่สองผ่านไปในเวลาไม่นาน จากนั้นก็เป็นช่วงที่สาม ผู้อาวุโสในสำนักจะประลองกระบี่กันเพื่อชี้แนะแก่นแท้
ถังชิงชิงที่อยู่บนแท่นสูงค่อยๆ ลุกขึ้น นักพรตชราผอมแห้งเคราขาวโบกสะบัดกระโดดไปทางขวาของนาง เป็นเพียวมู่จื่อผู้อาวุโสถ่ายทอดวิชาอีกคนในสำนักนั่นเอง
“วันนี้พวกเราได้เชิญผู้อาวุโสชิงถังที่กักตนฝึกฝนโดยตลอดมาร่วมแสดงวิชากระบี่หทัยศักดิ์สิทธิ์ ผู้อาวุโสชิงถังคือผู้เข้มแข็งระดับราชาวรยุทธ์ที่เป็นรองเพียงเจ้าอารามของสำนักเราเท่านั้น เคยท้าทายเจ็ดฐานที่มั่นของราชาบรรพตแดงแห่งบรรพตไร้ภูษาติดต่อกัน ก่อนจะชนะและได้รับฉายายุทธจักรว่าเจ็ดกระบี่หทัยศักดิ์สิทธิ์มา”
ถังชิงชิงพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะชักกระบี่ยาวออกมาใช้เคล็ดกระบี่กระบวนท่าหนึ่ง
“วิชากระบี่หทัยศักดิ์สิทธิ์เน้นที่จิตใจไม่เน้นรูปแบบ หมอกห้อมล้อมภูผาเมฆาซึ่งเป็นกระบวนท่าเริ่มต้นเรียกได้ว่าเป็นท่ารักษาสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุดของยุทธจักรในตอนนี้ หากมีพละกำลังพอ คนและกระบี่จะรวมเป็นหนึ่ง ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่าตนเองไม่น้อย ก็ไม่อาจทำลายท่าย่างก้าวของตนได้อย่างง่ายๆ ต่อจากนี้ข้าจะสาธิตให้ทุกคนดู…”
นางยกระบี่ขึ้นแทงไปด้านหน้า สะบัดบุปผากระบี่ จากนั้นก็เก็บกระบี่มาทำท่ารักษาสภาวะ
“หน่วงพละกำลังลงด้านล่าง ร่างเชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว ปลายกระบี่ชี้บน สองแขนผนึกกำลัง นี่คือท่าเริ่มต้น กระบวนท่าหมอกห้อมล้อมภูผาเมฆา! หากว่าตั้งท่าแล้ว จะมั่นคงดั่งศิลา ตั้งมั่นดั่งภูผา มิอาจสั่นคลอน!”
นางยืนสาธิตอยู่ด้านบน เซียวหงเหลยที่อยู่ด้านล่างตั้งใจดู ในใจนึกเลื่อมใส แค่เสียงทึบหนักจากการเหยียบบนแท่นศิลาเมื่อครู่ ก็รู้แล้วว่าผู้อาวุโสถังชิงชิงมีพลังตั้งมั่นที่มั่นคงชนิดที่ต่อให้มีช้างหลายตัวกระแทกใส่ก็ไม่อาจสั่นคลอนร่างกายของนางได้
ทันใดนั้นเซียวหงเหลยเหมือนได้ยินเสียงบางอย่าง แต่พอตั้งใจฟังก็ยังฟังไม่ออก
เหมือนเป็นเสียงลม คล้ายอะไรบางอย่างวาดผ่านท้องฟ้าไป
“มีอะไร…”
ฟ้าว!
เซียวหงเหลยยังไม่ทันได้รู้สึกตัว ก็เห็นต้นไม้สีดำหยาบใหญ่ต้นหนึ่งหมุนควงพลางส่งเสียงแหวกอากาศมาจากที่ไกล
ต้นไม้ยักษ์ที่ใหญ่หนึ่งหมี่กว่าๆ หมุนวนด้วยความเร็วสูง พุ่งผ่านศีรษะของศิษย์ทั้งหลายไปพร้อมกับเสียงแหวกลมน่ากลัว จากนั้นก็กระแทกใส่ถังชิงชิงที่สาธิตวิชากระบี่อยู่อย่างหนักหน่วง
ถังชิงชิงวาดกระบี่วิเศษออกดุจสายฟ้าฟาดด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“ดูให้ดี นี่คือเคล็ดลับที่แท้จริงของวิชาหทัยศักดิ์สิทธิ์ กระบี่ออกไม่หวนกลับ! จิตใจปนเปื้อนมิหวนคืน! หมอกห้อมล้อมภูผาเมฆาตั้งมั่น!”
ตูม!
หลุมเศษหินที่ลึกถึงหนึ่งหมี่กว่าๆ โผล่ขึ้นบนแท่นสูง ถังชิงชิงที่เมื่อครู่อยู่ด้านบนหายตัวไปแล้ว
สิ่งที่มาแทนที่คือบุรุษตัวสูงใหญ่กำยำบึกบึน
ร่างท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า เพียงสวมกางเกงขายาวสีดำไว้ตัวหนึ่ง บนใบหน้ามีส่วนคล้ายผังซือเฉิงสองสามส่วน และคล้ายถังชิงชิงอีกสองสามส่วน ผมสั้นสีดำถูกลมพัดพลิกไปมาเหมือนกับลูกคลื่น
“ท่านแม่ข้ามารับท่านแล้ว!” ลู่เซิ่งฉุดลากถังชิงชิงที่สลบไสลอยู่ในหลุมอุ้มขึ้นบ่า
“ควรกลับบ้านสักที ในที่สุดหลังผ่านไปหลายปีพวกเราสามคนพ่อแม่ลูกก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว” เขาหักกระบี่ในมือถังชิงชิงทิ้ง “ไปเถอะ”
เขาที่อุ้มถังชิงชิงอยู่กระโดดขึ้น ก่อนจะโฉบไปยังที่ไกลราวกับนกยักษ์
“จอมสวรรค์ไร้ประมาณ ประสกเหิมเกริมขนาดนี้ หรือคิดว่าสำนักน้ำพุวิถีเอกะของพวกเราไม่มีคนอยู่แล้ว” ชั่วพริบตานั้นมีเงาคนสายหนึ่งโผล่ขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่งเหมือนกับสับเปลี่ยนเงา
เปรี้ยง!
ทั้งสองประมือกันกระบวนท่าหนึ่งกลางอากาศ ก่อนจะดีดตัวแยกออกจากกัน
“อะไรกัน ท่านยายคิดจะขวางไม่ให้ครอบครัวของข้าอยู่กันพร้อมหน้าหรือ” ลู่เซิ่งยืนอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร คลื่นสั่นสะเทือนที่รุนแรงกลุ่มหนึ่งกระจายออกมาจากร่าง ส่งเสียงดังครืนครันเหมือนกับระฆังโบราณถูกทุบอย่างแรง
“ศิษย์น้องชิงถังฝึกฝนเส้นทางหทัยศักดิ์สิทธิ์จิตอริยะแห่งการลืมรักสูงส่งของสำนักเรา นางได้สะบั้นบ่วงกรรมทั้งหมดเมื่อสิบปีก่อนเพื่อตามหามรรคาฟ้าแล้ว จึงไม่มีความผูกพันใดๆ เหลืออีก เหตุใดประสกต้องบีบบังคับด้วย” เจ้าอารามมู่หรงทิ้งตัวลงพื้นอย่างแผ่วเบา ขวางทางลู่เซิ่งด้วยสีหน้าราบเรียบ
“นี่ไม่ใช่การบีบบังคับ” ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าเจ็บปวดที่จนใจ “หรือว่าคนเป็นลูกจะให้มารดาละทิ้งบางอย่างเพื่อตัวเองไม่ได้เชียวหรือ ข้าแค่อยากให้ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า แค่อยากจะสัมผัสกับความสุขของครอบครัวที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนก็ผิดอย่างนั้นหรือ!”
ตูม!
เขาอดต่อยใส่กำแพงรั้วด้านข้างไม่ได้ กำแพงระเบิดเป็นรูที่ใหญ่สองหมี่กว่าๆ
“ข้าเพิ่งจะสิบขวบเองนะ!” เขาตะโกน “พวกท่านทนดูเด็กสิบขวบคนหนึ่งไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากมารดาลงหรือ!”
“…”
มู่หรงเหลือบมองกำแพงหินเขียวที่หนาหนึ่งหมี่กว่า ก่อนจะหันมามองลู่เซิ่งที่สูงสองหมี่กว่าๆ กว้างอีกหนึ่งหมี่กว่าๆ จากนั้นมุมปากก็กระตุกสั่นระริกอย่างมิอาจควบคุม
‘สิบขวบ…! เด็กสิบขวบมีสารรูปเช่นนี้เนี่ยนะ หลอกกันชัดๆ!’ เซียวหงเหลยมองลู่เซิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกเหมือนโดนหลอก
“ท่านยายหลีกไปเถอะ อย่างไรถ้าลืมรักสูงส่งอะไรนั่นที่ท่านแม่ฝึกฝนมีขอบเขตสูงพอ อยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น มิสู้กลับไปใช้ชีวิตร่วมกับข้าดีกว่า รอหลังจากพวกเราได้สัมผัสความสุขของครอบครัวที่ได้มาอยู่กันพร้อมหน้าเมื่อไหร่ ค่อยปล่อยนางกลับมาฝึกฝนวิถีอะไรของนางต่อก็มีค่าเท่ากันนี่” เขาตวาด
“หลีกทางเถอะ ข้าไม่ได้ฆ่าคนมานานแล้ว อย่าบีบบังคับข้าเลย…”
มู่หรงหนังหน้ากระตุก ก่อนจะลังเลชั่วครู่
“ผังหยวนจวินก็ไม่น่าจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้เหมือนกัน”
“ไม่เป็นไร ท่านพ่อจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ช่าง ข้าเห็นด้วยก็พอ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ
……………………………………….