ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 765 พบมารดา (1)
บทที่ 765 พบมารดา (1)
ด้านในตำบลเล็กๆ เปล่าเปลี่ยวบนตีนเขาตั้งอยู่ใกล้กับอารามหยกสดใส
ลู่เซิ่งจูงม้าตัดผ่านแผ่นป้ายข้างประตูตำบล ทหารยามหลายคนเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง พอเห็นเขาแต่งตัวไม่เลว จึงไม่ได้เข้ามาตรวจสอบ ก่อนจะคุยโวโอ้อวดกันอย่างเกียจคร้านเหมือนเดิม
ลู่เซิ่งเดินวนรอบตำบล ในมือไม่ทราบว่ามีเนื้อย่างเสียบไม้เจ็ดสิบแปดสิบแท่ง และขนมเปี๊ยะไส้เนื้อหมูสิบกว่าชิ้นโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากกินข้าวสองถังในแผงแห่งหนึ่ง เขาก็กินขนมในมือไปพลาง สืบหาที่อยู่ของถังชิงชิงไปพลาง
“สำนักน้ำพุวิถีเอกะหรือ”
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าร้านขายแป้งนวดกินแป้งนวดในมือไปด้วย ฟังเถ้าแก่เล่าเรื่องที่ตัวเองทราบไปด้วย
เถ้าแก่เป็นชายหนุ่มองอาจที่ยังอายุน้อย เขาพลิกก้อนแป้งบนหม้อเหล็กด้วยความช่ำชอง พร้อมกับอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ข้าฟังเรื่องพวกนี้มาจากท่านตาของข้า ตอนนี้อารามหยกสดใสนี้ตั้งอยู่ในเขตของวิถีเอกะ คนที่ท่านตามหาแซ่ถัง นั่นจะต้องเป็นคนของตระกูลถังที่อยู่ใกล้กับสำนักน้ำพุวิถีเอกะอย่างแน่นอน”
“เหตุใดท่านแน่ใจขนาดนี้เล่า” ลู่เซิ่งถามพร้อมกับยัดแป้งนวดก้อนหนึ่งใส่ปาก
“เป็นเพราะคนตระกูลถังมีชื่อเสียงในละแวกนี้มาก นั่นคือตระกูลใหญ่ที่แท้จริง ทั้งยังเป็นศิษย์ของวิถีเอกะ ข้าจึงเดาเช่นนี้ ถ้าท่านไม่เชื่อจะลองไปดูเองก็ได้”
“บอกข้าได้หรือไม่ว่าตระกูลถังอยู่ที่ใด” ลู่เซิ่งถามอีก
“ตระกูลถังอยู่ไกลมาก แต่อยู่ใกล้กลับอารามของสำนักน้ำพุ ท่านลองขึ้นเขาไปดูก่อน พวกเขามีจิตใจดี หากเกิดอะไรขึ้นและท่านโชคดี ศิษย์สำนักน้ำพุจะลงมือช่วยเหลือ” เถ้าแก่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ตกลง ขอบคุณเถ้าแก่มาก” ลู่เซิ่งพยักหน้า หลังจากตรวจสอบสถานการณ์แล้ว เขาก็ถือแป้งนวดถุงใหญ่ไปยังสุดเขตตัวตำบลพร้อมกับกินไปด้วย
สุดเขตตำบลคือเส้นทางขึ้นเขาที่มุ่งหน้าไปยังอารามหยกสดใส
ทางขวาของเส้นทางมีลำธารสายเล็ก ซิ่วไฉหลายคนที่แต่งตัวเยี่ยงบัณฑิตนั่งอยู่ริมลำธาร กำลังคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ เหล่าบุตรีลูกชาวนากำลังจัดการผักกาดขาวกับผักกวางตุ้งในแปลงนาเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลออกไป
ภูเขาไม่สูงมาก บนเส้นทางขึ้นเขามีนักเดินทางไม่น้อย
เขากระชับของกินบนหลังและสาวเท้าขึ้นบันไดศิลาไป
ด้านหน้าไม่ไกลออกไปมีนักพรตเฒ่าสองคนที่รัดสนับแข้งสีขาวอมเทา กำลังขึ้นไปด้านบนเหมือนกับเหินบิน
“ท่านนักพรต!” ลู่เซิ่งรีบตะโกนเรียก
นักพรตเฒ่าไว้เคราขาวคนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าชะงัก ก่อนจะหันมามองเขา
“ผู้หลานมีเรื่องใดหรือ”
“อารามของสำนักน้ำพุวิถีเอกะอยู่บนเขาหยกสดใสใช่หรือไม่ขอรับ” ลู่เซิ่งรีบถาม
เขาคิดว่าแทนที่จะเดินทางอย่างไร้จุดหมาย มิสู้ถามสถานการณ์จากงูเจ้าถิ่นของที่นี่ดีกว่า
“ถูกต้อง ข้างๆ โบราณสถานของอารามหยกสดใสที่อยู่ที่นี่คือสำนักน้ำพุ” นักพรตเฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณท่านนักพรต” ลู่เซิ่งรีบประสานมือโค้งคารวะ
“เกรงใจแล้ว ดูจากรูปร่างของประสก เกรงว่าจะปีนเขาลำบากทีเดียว…” นักพรตเฒ่าพิจารณาลู่เซิ่งด้วยสายตาประหลาดอยู่บ้าง
เขาเคยเจอคนอ้วน แต่ไม่เคยเจอคนที่อ้วนถึงขนาดนี้
แม้ช่วงนี้ลู่เซิ่งจะออกกำลังกายจนลดไขมันได้เยอะแล้ว แต่เทียบกับคนธรรมดา ก็ยังอ้วนกว่าสองเท่า หรือมีขนาดเท่าคนสองคนอยู่ดี
“ลำบากนั้นลำบากจริงๆ แต่ผู้มีอุดมการณ์ย่อมทำภารกิจสำเร็จได้” ลู่เซิ่งเอ่ยพลางหัวเราะ
คุยไปคุยมาทั้งสองคนก็เริ่มทำความรู้จักกัน นักพรตเฒ่าผู้นี้แซ่หวัง เป็นนักพรตพเนจรที่คิดจะจำวัดในอารามเล็กๆ บนเขา
ลู่เซิ่งบอกเล่าสถานการณ์ของตัวเองอย่างคร่าวๆ ไม่ได้พูดถึงสถานะของบิดามารดา เพียงบอกว่ามารดาของตนมาบำเพ็ญที่สำนักเต๋าไม่ยอมกลับบ้าน ตนเลยดั้นด้นเดินทางเป็นพันลี้เพื่อมาพาคนกลับไป
“ประสกช่างกตัญญูจนทำให้คนซาบซึ้ง เทียบกับประสกแล้ว ลูกหลานอกตัญญูของข้านั้นด้อยกว่าสิบหมื่นแปดพันลี้นัก” นักพรตหวังบ่นพลางส่ายหน้า
“เฮ้อ ช่วยไม่ได้ นี่อาจจะเป็นหน้าที่ของผู้เป็นลูกกระมัง” ลู่เซิ่งพยายามใช้มือรองไขมันใต้คาง “หลายวันมานี้ข้ากินอะไรก็ไม่อร่อย สวมอะไรก็ไม่อุ่น เลยผอมลงไปสิบชั่งแล้ว” เขาพูดพร้อมกับหยิบเนื้อวัวชิ้นหนึ่งจากย่ามสะพายหลังออกมากิน
“จะว่าไป มารดาของประสกคงมีฉายาเต๋า ไม่แน่ว่าอีกประเดี๋ยวข้าอาจจะได้เจอ…”
“ข้าไม่ทราบเรื่องนี้เหมือนกัน แต่มารดาของข้านั้นงดงามมาก” ลู่เซิ่งเอ่ยพลางส่ายหน้า “ถ้าหากท่านนักพรตเห็นคนที่งดงามเป็นพิเศษ ลองเข้าไปถามดูได้หรือไม่ อาจจะเป็นมารดาข้าก็ได้”
พอเขายัดชิ้นเนื้อหลายชิ้นเข้าปากเสร็จ ก็รู้สึกเหมือนว่าร่างกายมีแรงของกระทิงหนึ่งตัวเพิ่มมา จึงถอนใจด้วยอารมณ์เบิกบาน
พลังมักเป็นสิ่งที่ได้มาโดยไม่คาดฝัน เขาเชื่อมาแต่ไหนแต่ไรว่า ขอแค่มานะบากบั่น สุดท้ายก็จะได้รับผลตอบแทน
นักพรตเฒ่าหนังตากระตุก ไม่ทราบควรพูดอะไรดี
หนึ่งชราหนึ่งวัยเยาว์ปีนเขาด้วยกัน ไม่นานก็ไปถึงส่วนสันเขา
ทางซ้ายทางขวาของเส้นทางขึ้นเขามีอารามฝั่งละแห่ง ทางด้านซ้ายคืออารามพิสุทธิ์ ทางด้านขวาคือสำนักน้ำพุ
ลู่เซิ่งกับนักพรตชราแยกกันไปทางซ้ายทางขวา
สำนักน้ำพุเปิดประตูเร็ว ผู้แสวงบุญที่มาขอพรมีอยู่ไม่น้อย ลู่เซิ่งที่แทรกตัวอยู่ในฝูงชนนั้นไม่สะดุดตาเท่าใดนัก
ลู่เซิ่งติดตามผู้แสวงบุญกลุ่มหนึ่งไปซื้อธูปชั้นดีสองแท่ง จากนั้นก็จุดธูปปักบนกระถาง ก่อนจะกราบไว้เทวรูปของจอมมรรคาแห่งสำนักสามพิสุทธิ์ แล้วลุกขึ้นถามนักพรตน้อยที่หยีตาอยู่ด้านข้าง
“ท่านนักพรต ไม่ทราบว่าในอารามแห่งนี้มีนักพรตที่ชื่อถังชิงชิงหรือไม่” ดวงตาของลู่เซิ่งสาดประกายสีแดงวาบ
เดิมทีนักพรตน้อยคนนั้นไม่คิดจะตอบ แต่พอเห็นสีหน้าจริงใจของลู่เซิ่ง เขาก็เกิดความเอ็นดูอย่างอธิบายไม่ได้
กล่าวในใจว่า ‘อ้วนขนาดนี้ยังอุตส่าห์ปีนเขามาขอพร ช่างมีศรัทธาแรงกล้าต่อจอมมรรคาของเราจริงๆ’
พอคิดแบบนี้ เขาก็รู้สึกดีมากขึ้น ครั้นได้ยินคำพูดของลู่เซิ่ง สีหน้าก็อ่อนโยนลง
“ถังชิงชิงหรือ ข้าไม่รู้จักคนผู้นี้”
“เช่นนั้นนักพรตชิงถังเล่า” ลู่เซิ่งถามด้วยฉายาเต๋าของมารดาตรงๆ
“อ้อ ท่านตามหาอาจารย์น้าชิงถังนี่เอง ข้าจะแจ้งให้” นักพรตน้อยพลันได้สติ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังโถงหลัง
ลู่เซิ่งรออยู่ในตำหนักใหญ่เงียบๆ
…
ด้านหลังอารามมีอารามน้อยอีกแห่งที่สงบเงียบและเปล่าเปลี่ยว
ด้านในอารามหลังนี้ไม่ได้บูชาจอมมรรคาสามพิสุทธิ์ หากเป็นรูปสลักคัมภีร์สีดำหนาหนักที่กางเปิดอยู่เล่มหนึ่ง
นักพรตชราคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหน้ารูปสลัก เป็นหญิงชราที่อาจสิ้นบุญได้แทบทุกเมื่อ
นางถือแส้ปัดรังควานในขณะที่หลับตา ผิวหนังเต็มไปด้วยริ้วรอยเหมือนกับเปลือกไม้แก่ๆ ชุดบำเพ็ญ สีขาวไม่อาจอำพรางร่างผอมแห้งที่ใกล้จะลงโลงของนางไว้ได้
ถ้าหากมีคนในยุทธจักรที่มีความรู้กว้างขวางอยู่ที่นี่ เขาจะจำได้ในทันทีว่า คนผู้นี้คือมู่หรงหรือนักพรตเจวี๋ยอี้ เจ้าอารามแห่งอารามสาดแสงส่อง หนึ่งในสิบหกเจ้าสำนักที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วยุทธจักร
ในตอนที่ลู่เซิ่งบอกชื่อคนที่ตัวเองตามหากับนักพรตน้อย มู่หรงก็ลืมตาเล็กน้อยและขยับริมฝีปาก
“เสวียนชิง”
“เจ้าอาราม ศิษย์อยู่นี่เจ้าค่ะ” ไม่นานนักเด็กหญิงบำเพ็ญเต๋าที่งดงามเหลือจะกล่าวคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา
“ไปเชิญอาจารย์น้าชิงถังของเจ้ามา บ่วงกรรมจบสิ้นแล้ว จะยินยอมทิ้งหรือไม่อยู่ที่หนึ่งความคิด” มู่หรงเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เจ้าค่ะ” เด็กหญิงผู้บำเพ็ญรีบถอยออกจากประตู
ไม่นานนัก เงาร่างสะโอดสะองที่งดงามหมดจดสายหนึ่งก็ลอยเข้ามาในอาราม
“ศิษย์พี่เรียกข้ามามีเรื่องใดหรือ” สตรีที่เข้ามามีหน้าตาสวยงามและรูปร่างล้ำเลิศ แต่บุคลิกเย็นชาสูงส่ง สวมชุดสีขาวเพิ่มความเย็นชาและความเปลี่ยวเหงายิ่งกว่าเดิม
“ครั้งกระโน้นเจ้าฝึกฝนวิชากระบี่จิตอริยะไม่ประสบผล จึงเข้าสู่ทางโลกเพื่อทำให้จิตใจกระจ่าง เมื่อจิตกระจ่างก็จะตัดอารมณ์ทิ้งได้ แต่ตอนนี้ผ่านไปสิบปีแล้ว บ่วงที่เจ้าทิ้งไว้ในโลกเมื่อครั้งกระโน้นได้มาหาถึงที่แล้ว” มู่หรงเอ่ยอย่างราบเรียบ
“หรือศิษย์พี่จะยังไม่เข้าใจจิตธรรมของข้าอีก” สตรีผุดสีหน้าราบเรียบ
“จิตคือจิตเจ้า คนอื่นจะทราบได้อย่างไร” มู่หรงส่ายหน้าน้อยๆ
สตรีแสดงสีหน้าเย็นชา
“ครั้งกระโน้นข้าเข้าสู่ทางโลกด้วยความรัก ภายหลังศึกษาธรรมโดยไร้รัก คนอื่นไม่เข้าใจจิตใจของข้า หรือศิษย์พี่เองก็ไม่เข้าใจ จิตใฝ่หาธรรมของข้ามิอาจสั่นคลอน!”
“ดูเหมือนจิตลืมรักสูงส่งของเจ้าจะไปถึงขอบเขตหทัยศักดิ์สิทธิ์จิตอริยะแล้ว…”
“ศิษย์พี่โปรดปฏิเสธแทนข้าด้วย” ถังชิงชิงผุดสีหน้าราบเรียบ ก่อนจะเดินออกจากอาราม
…
“ขออภัยด้วย อาจารย์น้าให้ข้าตอบว่า อดีตผ่านพ้น ไปหรืออยู่แล้วแต่ใจ” นักพรตน้อยตอบลู่เซิ่งด้วยความจนปัญญา
“อดีตผ่านไปแล้วหรือ” ลู่เซิ่งทวนอีกรอบ ก่อนจะลุกขึ้นจากเบาะกลมและตบฝุ่นที่ก้น จากนั้นก็วางขาหมูในมือลงและพ่นขาไก่อบเกลือในปากออกมา
“หมายความว่านางไม่ยินยอมพบข้าสินะ” เขาถาม
“ถูกต้อง ประสกโปรดกลับไปเถอะ” นักพรตพยักหน้า
ลู่เซิ่งคำนวณระยะห่าง จากแท่นน้ำค้างครามมาถึงที่นี่มีระยะทางเกือบห้าสิบกว่ากงหลี่
“ข้าดั้นด้นมาตั้งไกล แต่ต้องถูกขับไล่โดยที่ได้รับคำพูดแค่หนึ่งประโยค แม้แต่ข้าก็ไม่ยอมให้พบอย่างนั้นหรือ” เขาเงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ประสกโปรดกลับไปเถอะ อาจารย์น้านาง…วิชาที่นางฝึกฝนเป็นเช่นนี้…เรื่องราวในชีวิตคนเรา สิบส่วนมีแปดเก้าส่วนที่ไม่สมหวัง” นักพรตน้อยมีความรู้สึกที่ดีต่อลู่เซิ่งเพราะวิชาจิตโน้มนำ ทว่าตอนนี้ก็ได้แต่เกลี้ยกล่อมอย่างจนปัญญา
ลู่เซิ่งไม่สนใจ
“ช่างเถอะ ข้าขอบอกท่านก็แล้วกัน นางไม่ยอมเจอข้า แต่ถ้าได้เจอ นางจะต้องเปลี่ยนใจแล้วตามข้าไปแน่”
“ประสก…” นักพรตน้อยเอ่ยด้วยความหนักใจ
“ไปเถิด ข้าจะเข้าไปพบหน้านางสักครั้ง” ลู่เซิ่งสาวเท้าเดินไปยังโถงด้านในโดยไม่สนใจ
นักพรตน้อยคิดจะยื่นมือออกมาขวาง กลับถูกพละกำลังผลักไปด้านข้าง
ลู่เซิ่งในตอนนี้มีแรงเท่ากระทิงสามสิบตัวแล้ว กล่าวได้ว่าครอบครองพลังของมหาจอมยุทธ์แล้ว
ระดับเช่นนี้ถือเป็นยอดฝีมือในสิบหกสำนัก สุดที่นักพรตน้อยผู้นี้จะเทียบเคียงได้
เขาเพียงสะบัดเบาๆ ก็ผลักนักพรตน้อยออกไปได้ ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าโถงหลัง
ในโถงหลังไม่มีอะไรเลย นักพรตร่างกำยำหลายคนคิดจะพุ่งเข้ามาขัดขวางเขา
อยู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นรอบๆ
“ให้เขาเข้ามาเถิด”
นักพรตที่ล้อมอยู่รอบๆ พลันคลายกำลัง แล้วหลีกทางให้อย่างไร้สุ้มเสียง
ลู่เซิ่งนึกฉงน ก่อนจะเดินออกจากโถงหลังพร้อมกับพุ่งตัวไปยังอารามน้อยอีกแห่งด้านหลังอารามใหญ่ตามเสียง
มู่หรงนั่งอยู่กลางอาราม มองดูลู่เซิ่งที่เดินเข้ามา
“ไม่เจอกันสิบปี ประสกโตถึงเพียงนี้แล้ว…”
“ท่านนักพรตคือผู้ใดหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างมีมารยาท
“ข้ามู่หรง เป็นศิษย์พี่ของมารดาประสก” มู่หรงตอบด้วยรอยยิ้ม
“ขอเรียนถามว่าตอนนี้มารดาข้าอยู่ที่ใด ข้ามาเชิญนางกลับบ้าน” ลู่เซิ่งถามอย่างนอบน้อม
คนตรงหน้าเป็นผู้เข้มแข็งระดับเจ้าวรยุทธ์ตัวจริงเสียงจริง ปัจจุบันเขาเพิ่งจะเป็นมหาจอมยุทธ์ ต่อจากนี้ยังมีสองระดับช่วงใหญ่ๆ อย่างเจ้าวรยุทธ์และราชาวรยุทธ์ ห่างชั้นกันราวฟ้ากับเหว
“มารดาของเจ้า…” มู่หรงตรึกตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ บอกเล่าความจริงในตอนนั้นให้ลู่เซิ่งฟัง
……………………………………….