ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 762 ความแตกต่าง (2)
บทที่ 762 ความแตกต่าง (2)
การปฏิบัติการที่ดาวปรภพทำให้สามสำนักใหญ่อย่างสำนักนทีครามทราบว่า มารดาแห่งความเจ็บปวดทำลายการแทรกซึมของพวกเขาได้ผ่านความสามารถบางอย่าง
นี่ทำให้ผู้เข้มแข็งมายาพิศวงคนหนึ่งของสำนักวิญญาณไตรอริยะเสียชีวิต และทำให้มายาพิศวงคนหนึ่งของสำนักแปลงวายุหายสาบสูญอย่างลึกลับ
ถ้าไม่ใช่เพราะจักรพรรดิมารชุ่นอิ่งลู่เซิ่งสังหารอสูรเจ็ดวิญญาณและดำเนินแผนการลับที่ได้วางไว้ก่อน เพื่อพัวพันมารดาแห่งความเจ็บปวดในห้วงเวลาสำคัญ จะมีคนกลับมาได้กี่คนก็ไม่อาจทราบได้
ดาวเงาพริบตาแห่งสำนักนทีคราม
ลู่เซิ่งตั้งชื่อดาวเคราะห์ของตัวเองว่าเงาพริบตา และเอามาให้ขุมกำลังใต้อาณัติของตัวเองอาศัยอยู่
เขาไม่คิดจะไปดาวปรภพอีกแล้ว แต่เขาสัมผัสได้ว่าเซลล์จำนวนน้อยที่ตัวเขาทิ้งไว้ในสมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับยังเคลื่อนไหวอยู่
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังไม่พบแผนการลับของตน รอครั้งหน้าถ้าจำเป็น เขาจะเข้าไปในดาวปรภพได้ตลอดเวลา และจัดการภารกิจได้โดยไม่มีใครล่วงรู้
เขาให้พวกหลี่ซุ่นซีไปอยู่บนดาวเคราะห์เงาพริบตาก่อนชั่วคราว สมาคมวิจัยในวันนี้มีหลี่ซุ่นซีแค่คนเดียว ดีที่เขาพาอริยะเจ้าทงเซิงและคนอีกเจ็ดแปดคนมาพร้อมกัน ซึ่งทำให้ลากเข้ามาเป็นสมาชิกรอบนอกของสมาคมวิจัยได้พอดี
หลังพักผ่อนสักพัก ในที่สุดลู่เซิ่งก็ได้พบอริยะเจ้าทงเซิงที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานหลายปี
…
ทงเซิงแก่ชรามากแล้ว ในเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งร้อยกว่าปี เขาเหมือนกับใช้ชีวิตมามากกว่าพันปี ผมหงอกขาว รอยเหี่ยวย่นกระจายเต็มหน้าผากและแก้ม
เขาให้หลี่ซุ่นซีช่วยประคองพร้อมทั้งอาบแดดและสนทนากับอีกฝ่ายอยู่บนดาดฟ้าในตอนที่ลู่เซิ่งเข้ามา
“อริยะเจ้าทงเซิง สบายดีหรือไม่” ลู่เซิ่งพลิกมือปิดประตู บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจริงใจที่หาได้น้อยยิ่ง
ทงเซิงหมุนตัวกลับมา พอเห็นว่าเป็นลู่เซิ่งก็ยิ้มทันที
“ว่าแล้วว่าต้องเป็นเด็กน้อยผู้นี้! ตอนเสี่ยวซีจื่อเรียกข้ามา ข้ายังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เชื่อแล้ว…”
“นั่งลงพักผ่อนก่อนเถอะ” ลู่เซิ่งมองสภาพของทงเซิงในตอนนี้ออก
อีกฝ่ายสูญเสียพลังทั้งหมด ในร่างกายมีพลังประหลาดที่อธิบายไม่ได้สายหนึ่งอัดแน่นอยู่เต็มไปหมด พลังสายหนึ่งตรึงพลังของเขาเอาไว้ ถึงขั้นยังผลาญอายุขัยของเขาอย่างต่อเนื่องด้วย
“นี่มันอะไรกันแน่!” ลู่เซิ่งนิ่วหน้าเล็กน้อย
“หลังท่านจากไป อริยะเจ้าทงเซิงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างเหนือความคาดหมายในตอนสู้กับวิญญาณร้ายครั้งหนึ่ง ในร่างกายคือพลังของจักรพรรดิรัตติกาลแห่งวิญญาณชั่วร้าย ไม่มีวิธีขจัดได้…” หลี่ซุ่นซีกล่าวอย่างจนปัญญา
“ตอนข้าเจอเขาก็มีสภาพแบบนี้แล้ว พลังแห่งจักรพรรดิรัตติกาลรับมือยากจริงๆ ข้าจึงทำอะไรไม่ได้…”
“จักรพรรดิรัตติกาล…” ลู่เซิ่งเคยสัมผัสพลังของจักรพรรดิรัตติกาลมาก่อน พลังชนิดนี้เหมือนกับสิ่งมีชีวิต รับมือยากถึงขีดสุด
แต่สำหรับเขาในเวลานี้แล้ว เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าใหญ่โตอะไร
เขายื่นมือไปกดบนข้อมือของอริยะเจ้าทงเซิง ด้ายกระตุ้นวิญญาณสายหนึ่งมุดเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่าย
ด้ายกระตุ้นวิญญาณในตอนนี้มีคุณสมบัติและความสามารถของปราณปฐพี ครั้นเข้าไปในตัวของทงเซิง กล่าวได้ว่าเจอเทพฆ่าเทพ เจอพระพุทธฆ่าพระพุทธ พลังของจักรพรรดิรัตติกาลแห่งวิญญาณร้ายที่มีสภาพกึ่งโปร่งแสงจำนวนมากถูกหลอมละลายจนหมดสิ้น
ครู่ต่อมาลู่เซิ่งค่อยๆ คลายมือออก
“พักผ่อนรักษาตัวเดี๋ยวจะดีขึ้นเอง ถึงอย่างไรก็ได้รับบาดเจ็บมานาน คิดจะปรับเปลี่ยนให้เป็นเหมือนเดิมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ…” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ทงเซิงรู้สึกอย่างอัศจรรย์ใจว่า พลังงานที่คอยรบกวนตัวเองมาตลอดหลายปีในร่างกายถึงกับหายไปอย่างฉับพลัน
เขารีบโคจรปฐมพลังในตัวเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายที่อ่อนแอจนเกือบเป็นตะเกียงไร้น้ำมัน
ทั้งสองคนงงงวย ทงเซิงตรวจสอบร่างกายอย่างรวดเร็ว พบว่าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ!
“ขอบคุณมาก ถ้าไม่ใช่เจ้าลงมือ บางทีข้าอาจจอยู่ได้อย่างมากสุดอีกหนึ่งหรือสองปีก็ต้องไปพบสหายเก่าแล้ว” ทงเซิงข่มความตื่นตระหนกในใจและกล่าวรำพึง
สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ บุรุษหนุ่มที่ครั้งกระโน้นต้องให้ตนดูแล มาตอนนี้กลับเดินนำหน้าตนไปแล้ว
ในสายตาเขาแค่โบกมือก็แก้ไขพลังของผู้ยิ่งใหญ่อย่างจักรพรรดิรัตติกาลได้
รอจนจัดการปัญหาของทงเซิงเสร็จ ในที่สุดหลี่ซุ่นซีก็อดถามไม่ได้
“ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั่นแหละ ข้าได้ออกจากดาวปรภพและเข้าร่วมกับสำนักนทีคราม หรือขุมกำลังแข็งแกร่งที่อยู่ในระดับเดียวกับมารดาแห่งความเจ็บปวด” ลู่เซิ่งบอกเล่าอย่างรวบรัด
“แต่…”
“วันหลังไว้คุยเรื่องของข้าเถอะ น้องชาย ข้าหวังให้เจ้าวางพื้นฐานของสมาคมวิจัยเพื่อวิจัยแหล่งกำเนิดและธรรมชาติการเกิดของความประหลาดลี้ลับโดยเฉพาะในที่แห่งนี้ ไม่มีปัญหากระมัง” ลู่เซิ่งตัดบทเขา
“ไม่มีปัญหา เพียงแต่คนยังไม่คุ้นชินสถานที่ หลายสิ่งหลายอย่างต้องให้พี่ใหญ่ท่านคอยอนุมัติ ไม่สะดวกเท่าไหร่” หลี่ซุ่นซีเอ่ยพลางพยักหน้า
“อีกประเดี๋ยวข้าจะอนุมัติให้ เจ้าไม่ต้องห่วง อีกไม่นานเจ้าจะได้รับสถานะทางราชการ นอกจากนี้ก็ยังไม่ต้องไปห่วงเรื่องดาวเคราะห์ปรภพ มารดาแห่งความเจ็บปวดเสียหายไม่น้อยเช่นกัน คงกำลังเก็บกวาดอยู่ พวกเรารักษาตัวสักพักค่อยวางแผนกันใหม่” ลู่เซิ่งกล่าวเสริม
“ทางนี้ ข้าต้องการให้พวกเจ้าก่อตั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานต่อความประหลาดลี้ลับขึ้นให้เร็วที่สุด ทางข้ามีข้อมูลที่ได้รวบรวมไว้ก่อนแล้วจำนวนหนึ่ง สามารถเอามาจัดระเบียบและมอบให้ทุกคนอ้างอิงได้” ลู่เซิ่งอธิบาย
“ต่อจากนี้เจ้าใช้ชีวิตอยู่บนดาวเงาพริบตาอย่างวางใจเถอะ ถ้ามีเรื่องอะไรให้ติดต่อข้าที่สำนักนทีคราม ข้าจะกักตนสักระยะหนึ่ง” ลู่เซิ่งเอ่ยต่อ
“เข้าใจแล้วขอรับ” หลี่ซุ่นซีพยักหน้าอย่างจริงจัง “เพียงแต่ผู้น้องยังมีคำขอไร้สาระอีกอย่าง…”
“เจ้าบอกมาเถอะ” ลู่เซิ่งยิ้ม เดาออกแล้วว่าเขาคิดจะพูดอะไร
“บางทีอาจารย์ของข้าอาจจะออกจากดาวปรภพไปนานแล้ว ตอนนี้หายสาบสูญ ถ้าหากพี่ใหญ่มีโอกาส ได้โปรดช่วยคอยสังเกตที่อยู่ของอาจารย์ด้วย” หลี่ซุ่นซีขอร้อง
“ง่ายดายมาก ข้าจะคอยหาให้”
“ยังมีบูรพาจารย์แห่งสำนักพันอาทิตย์ เสี่ยวเซิ่ง ข้าเองก็ขอเตือนสักประโยค…” อริยะเจ้าทงเซิงที่อยู่ด้านข้างแสดงสีหน้าจริงใจ “บางทีเจ้าอาจต้องสังเกตหาที่อยู่ร่องรอยของผู้เข้มแข็งจากสำนักต่างๆ ที่ออกจากดาวปรภพไปก่อนหน้านี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดตัวแปรขึ้น”
“อืม ข้าจะระวัง”
ที่เขาต้องการให้หลี่ซุ่นซีเข้าร่วม ก็ด้วยหวังว่าจะอาศัยพลังของหยกปีศาจในตัวอีกฝ่ายวางแผนการและควบคุมสมาคมวิจัย รวมถึงลดความเสียหายของสมาคมวิจัยในระดับสูงสุดในฐานะแกนกลาง
หลังจากติดต่อกับทั้งสองแล้ว ลู่เซิ่งก็ได้จดจำข้อมูลความประหลาดลี้ลับที่ได้รวบรวมไว้ในสมาคมวิจัยก่อนหน้านี้เขียนเป็นหนังสือ จากนั้นก็ก่อตั้งหอเรื่องพิสดารขึ้นบนดาวเงาพริบตา
ขณะเดียวกันเขาก็สั่งให้ร่างแยกที่อยู่บนดาวปรภพควบคุมสมาคมวิจัยในที่ลับต่อไป เพื่อพัฒนาและเสริมความแข็งแกร่ง รวมถึงรวบรวมข้อมูลของความประหลาดลี้ลับให้มากกว่านี้
ในศึกใหญ่ก่อนหน้านี้ เขาได้ใช้พลังของก้อนเนื้อจากร่างหลักคุ้มครองสมาชิกแกนกลางหนีออกจากเมืองเล็กโดยเฉพาะเช่นกัน
จุดมุ่งหมายคือการแสดงผลในตอนนี้นั่นเอง
หลังจากจัดการแผนการแต่ละอย่างเรียบร้อย การประมือแบบหยั่งเชิงในครั้งนี้ได้ทำให้สามสำนักและทางมารดาแห่งความเจ็บปวดทราบถึงศักยภาพของอีกฝ่ายล้ำลึกกว่าเดิม
ทั้งสองฝ่ายต่างเสียผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงไป นี่เป็นความเสียหายที่สาหัสถึงขีดสุด
บวกกับมายาพิศวงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีความมั่นใจที่จะสู้กันอีกต่อไป หากปะทะกันไปเรื่อยๆ เช่นนี้ แม้จะสู้ต่อได้ ผลลัพธ์เพียงหนึ่งเดียวคือชัยชนะที่ไม่คุ้มค่า จากนั้นฝ่ายที่ชนะก็จะถูกขุมกำลังฝ่ายที่สามฮุบกลืน
ชื่อเสียงของลู่เซิ่งพลันโด่งดังขึ้นมาเพราะสังหารมายาพิศวงที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง
แต่เขาประกาศต่อภายนอกว่า ตนเองได้รับบาดเจ็บหนักในตอนฆ่ามายาพิศวงผู้นั้น จำเป็นต้องกักตนรักษาตัว
หากความจริงแล้วไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร สาเหตุหลักเป็นเพราะลู่เซิ่งได้เห็นพลังอันน่ากลัวของมารดาแห่งความเจ็บปวด และได้เห็นการแปลงพลังที่น่าสะพรึงของขอบเขตอนธการ จึงตัดสินใจพัฒนาขอบเขตของตัวเองไปอีกขั้น!
…
ครึ่งเดือนต่อมา…
ในถ้ำใต้ดินตามธรรมชาติขนาดยักษ์แห่งหนึ่งบนดาวเงาพริบตา
ลู่เซิ่งอยู่ในร่างสมบูรณ์ที่แปลกพิสดารซึ่งมีใบหน้าสามใบและหางยาว สภาพนี้เป็นสภาพที่แท้จริงของร่างหลักในปัจจุบัน
สภาพคนธรรมดาคือสภาพผิดปกติที่เขาควบคุมตัวเองไว้ ส่วนสภาพขนาดยักษ์คือร่างสุดยอดที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งจะปรากฏขึ้นเองในตอนที่เขาระเบิดปราณปฐพีในร่างสุดกำลัง
ด้านในถ้ำใต้ดิน บันไซกับทัวหลันปาเฮ่อกำลังตรวจสอบอย่างละเอียดว่าลวดลายค่ายกลเรียบร้อยหรือไม่
ลู่เซิ่งลอยอยู่ด้านข้าง รอบตัวมีสนามพลังบิดเบี้ยวที่โปร่งแสงหลายสายหมุนวนอยู่
หลังจากใช้พลังอาวรณ์ไปแปดสิบล้านหน่วย เขาก็เลื่อนถึงขอบเขตที่สามของระดับวัฏจักรลวงสำเร็จอย่างเงียบเชียบ
ร่างหลักพัฒนาขึ้นอย่างละเอียดอ่อน การพัฒนานี้ทำให้เขาแสดงพลังทำลายล้างที่แข็งแกร่งกว่าเดิมออกมาได้
แต่แค่นี้ก็แข็งแกรงกว่าเขาเมื่อก่อนหน้านี้สองถึงสามส่วนแล้ว ทว่ายังห่างชั้นกับมารดาแห่งความเจ็บปวดอีกไกล ถึงขั้นทำร้ายนางไม่ได้ด้วยซ้ำ
‘จากวัฏจักรลวงถึงแปลงสัจจะและอนธการ ห่างกันอย่างน้อยมากกว่าห้าขอบเขตย่อย ช่วงใหญ่ๆ ที่ต่างกันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติที่ต่างกัน ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสู้กับผู้ยิ่งใหญ่อนธการ’ ลู่เซิ่งมองค่ายกลจุติที่กำลังได้รับการบำรุงและตรวจสอบตรงหน้าด้วยความกดดันอยู่บ้าง
เขาไม่ได้เป็นห่วงทางมารดาแห่งความเจ็บปวด แต่เป็นห่วงทางโลกตี้วามากกว่า แค่มารดาแห่งความเจ็บปวด คนเดียวก็ร้ายกาจขนาดนี้แล้ว แล้วตาเฒ่ายายเฒ่าที่อยู่บนโลกตี้วา หรือสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ลึกลับยากหยั่งคาดอย่าง เจ้าลัทธิไม่จีรังจะมีพลังแข็งแกร่งขนาดไหน ก็ไม่อาจทราบได้…
พลังอาวรณ์ที่ยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิตี้วาทำให้ลู่เซิ่งน้ำลายสอ แต่แรงกดดันอันน่ากลัวของสองผู้ปกครองระดับอนธการอย่างเจ้าลัทธิไม่จีรังกับเจ้าสำนักวสันต์สารทก็ทำให้เขาเกิดความกริ่งเกรงเช่นกัน
‘ถ้าไม่ไหวจริงๆ อาจต้องจุติอีกหลายครั้ง ดูว่าจะหาโลกที่มีพลังอาวรณ์มากมายอย่างโลกตี้วาได้หรือไม่’
นี่เป็นสาเหตุที่ตอนนี้เขาติดตั้งค่ายกล
“ตรวจสอบเสร็จสิ้น ไม่มีข้อผิดพลาด ตรวจสอบอักขระอักษรจำนวนสิบหกล้านสองแสนหนึ่งหมื่นตัว ค่ายกลขนาดเล็กเจ็ดร้อยกว่าชุด ระบบโคจรสังเคราะห์สามชุด ระบบเติมพลังงานสามชุด ทำงานปกติทุกอย่าง!”
บันไซที่เป็นอัจฉริยะด้านค่ายกลลุกขึ้นรายงานอย่างจริงจัง
“ความเร็วของเวลาคือเท่าใด ระดับพลังงานเล่า” ลู่เซิ่งถามต่อ
“ตามความต้องการของท่าน ครั้งนี้เลือกจักรวาลระดับห้าซึ่งเป็นระดับพลังพลังงานสูงสุดที่พวกเราไปได้ จักรวาลเช่นนี้จะมีความเร็วของเวลาอยู่ที่หนึ่งต่อสิบโดยประมาณ ระดับพลังงานที่สูงกว่านี้ไม่ใช่จักรวาลที่พวกเราเข้าไปได้แล้ว นี่ต้องใช้ค่ายกลจุติที่แข็งแกร่งกว่านี้ถึงจะทะลวงเยื่อจักรวาลได้” บันไซอธิบาย
“หนึ่งต่อสิบหรือ…อย่างไรก็ยังไม่รีบร้อน” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ สำหรับมายาพิศวงที่ใช้เวลางีบหลายร้อยปีแล้ว ไม่ถือเป็นเรื่องใหม่อะไร
ทางลู่หนิงยังหาที่อยู่ไม่เจอ เพียงสัมผัสได้ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
กระแสวังวนมิติเวลากระแทกพวกเขาไปถึงจักรวาลที่อยู่ไกลขนาดไหนก็ไม่ทราบ จึงไม่อาจติดต่อได้
‘ได้แต่หวังว่าหลังจากเรายกระดับขึ้นแล้ว จะเจอที่อยู่ของพวกหนิงเอ๋อร์…’ ลู่เซิ่งที่สัมผัสได้ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
เวลาผ่านมานานขนาดนี้ เขาเริ่มจะปลงตกแล้ว ขอแค่ครอบครัวยังอยู่ก็ถือเป็นการปลอบประโลมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
เขาแน่ใจว่า ด้วยคุณสมบัติของหนิงเอ๋อร์ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่พวกเขาพ่อลูกจะได้พบหน้ากัน
……………………………………….