ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 749 อานุภาพ (1)
บทที่ 749 อานุภาพ (1)
“ปล่อยให้รอนานเสียแล้ว” ไม่นานรองเจ้าสำนักสวีฮ่าวไป่ก็กลับมายังเบาะกลมอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าให้ลู่เซิ่งน้อยๆ “สำนักของข้าให้ความสำคัญกับข้อมูลประเภทนี้มาโดยตลอด แสดงความขบขันให้สหายร่วมเส้นทางเห็นแล้ว”
“ไม่ใช่อย่างนั้น มารดาแห่งความเจ็บปวดนั้นกลิ้งกลอกมากอุบายเจ้าเล่ห์ สำนักท่านระวังตัวไว้ก่อนก็ดีแล้ว” ลู่เซิ่งตอบ
“ขอไม่ปิดบัง เป็นเพราะก่อนหน้านี้มารดาแห่งความเจ็บปวดวางตัวสายลับจำนวนมากไว้ในสำนักเรา ทำให้เราคว้าน้ำเหลวในสงครามหลายครั้ง ทั้งยังเกิดการบาดเจ็บล้มตายสาหัส ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่เคร่งเครียดกันขนาดนี้” สวีฮ่าวไป่เอ่ยด้วยรอยยิ้มจนปัญญา
“สายลับหรือ” ลู่เซิ่งใจเต้น
“ใช่ เรื่องนี้ไม่สะดวกอธิบาย ถ้าสหายร่วมเส้นทางอยากทำความเข้าใจ วันหน้าลองไปตรวจสอบที่ส่วนอาลักษณ์ดู นอกจากนี้เมื่อครู่ข้าได้รายงานสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องของสหายร่วมเส้นทางกับเจ้าสำนักแล้ว เจ้าสำนักยินดีที่สหายร่วมเส้นทางเข้าร่วมกับสำนักเราเป็นอย่างยิ่ง แต่เป็นเพราะยังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในแดนลับแล เลยไม่อาจออกมาต้อนรับได้ ต้องขออภัยด้วย” สวีฮ่าวไป่เอ่ยอย่างรวบรัด
“ท่านรองเจ้าสำนักเกรงใจแล้ว” ลู่เซิ่งกล่าวพลางประสานมือ
สวีฮ่าวไป่เรียกคนมามอบเครื่องแบบประจำตำแหน่งของลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว ชุดนั้นมีลวดลายใบไตรบรรณเช่นกัน เพียงแต่มีกวนหยกสีขาวน้ำนมใบหนึ่งเพิ่มมาเมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญทั่วไป
รอบๆ กวนมีหมอกสีทองอ่อนที่หมุนเวียนอย่างต่อเนื่องเหมือนกับลำแสง ลำแสงวนเวียนรอบๆ กวนสีขาวหยกเหมือนกับสิ่งมีชีวิต
“นี่คือสัญลักษณ์ของผู้อาวุโสนอก กวนสายธารเงาจันทรา มันเสริมอาคมความเร็วที่แตกต่างกันหลายสิบชนิดเอาไว้ ทนทานอย่างยิ่ง สามารถเก็บเข้าชุดมิติของตัวเองได้ตลอดเวลา ขณะเดียวกันยังมีสิทธิ์ชั่วคราวในการเรียกใช้ขุมกำลังของสำนักด้วย”
สวีฮ่าวไป่แนะนำด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งรับเสื้อคลุมด้วยสองมือ แล้วสะบัดเบาๆ เสื้อคลุมและกวนพลันกางออก ก่อนจะสวมลงบนร่างเขาอย่างเป็นระเบียบโดยอัตโนมัติ
“ยินดีต้อนรับสหายร่วมเส้นทาง ท่านได้กลายเป็นสมาชิกของสำนักข้าอย่างเป็นทางการแล้ว” สวีฮ่าวไป่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งยิ้มตอบ
…
ดาวภูผาเขียวของสำนักนทีคราม
ท่ามกลางความว่างเปล่า ดาวเคราะห์ขนาดยักษ์สีเขียวอ่อนหมุนวนรอบดาวฤกษ์อย่างช้าๆ
สถานีอวกาศขนาดมหึมารูปร่างที่เหมือนกับกระบี่ยาวเล่มหนึ่งลอยอยู่ด้านข้างดาวเคราะห์ ข้างสถานีอวกาศมีสัญลักษณ์ใบไตรบรรณอันแวววาวของสำนักนทีคราม
เวลานี้จุดแสงสีเขียวจำนวนมากกำลังต่อสู้กับจุดแสงสีดำนับไม่ถ้วนตรงความว่างเปล่าด้านหน้าสถานีอวกาศ
จุดแสงสีเขียวคือผู้บำเพ็ญใบไตรบรรณที่ร่างอาบเลือด พวกเขาคือขุมกำลังป้องกันท้ายสุดของสำนักนทีครามที่อยู่ตรงนี้
ด้านในจุดแสงสีแดงคือมนุษย์ร่างมืดสลัวที่ถืออาวุธประหลาดหลากหลายรูปแบบ พวกเขาทุกคนมีกลิ่นอายสีเทาอ่อนๆ บนร่าง นี่คือปราณแหล่งกำเนิดสีเทาที่มาจากโลกแห่งความเจ็บปวด ถ้ามีปราณแหล่งกำเนิดมากพอ จะหักล้างความสามารถและวิชาต่างๆ ได้หมด
จุดแสงสีเขียวต้านทานเป็นเวลานาน เริ่มไม่มีพละกำลังเหลือแล้ว
ด้านในสถานีอวกาศ
ระดับสูงของสำนักนทีครามกลุ่มหนึ่งกำลังมองการรบด้านนอกหน้าต่างด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยริ้วเลือด
ราชาดาวโอวหยางหลิงยึดครองดาวภูผาเขียวมาหลายหมื่นปี กลับนึกไม่ถึงว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ตัวเองอยู่จะกลายเป็นแนวหน้าสุดในการต่อสู้กับมารดาแห่งความเจ็บปวดไปได้
“ตอนนี้กลุ่มอักษรต่างๆ เป็นอย่างไรบ้าง” เขาจ้องมองนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมถามเสียงขรึม
“…กลุ่มอักษรลมเสียหายครึ่งหนึ่ง…กลุ่มอักษรภูเขาค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ว่าการประสานความสามารถของพวกเขาขาดแหล่งกำเนิดพลัง ตอนนี้จึงไม่ค่อยมีผลต่อปราณแหล่งกำเนิดความเจ็บปวดของผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องมากนัก ศิลาแหล่งพลังงานถูกใช้ไปหมดแล้ว…ทางกลุ่มอักษรแดงกับกลุ่มอักษรอื่นๆ…” ผู้ช่วยรีบตอบด้วยเหงื่อที่แตกโซมเต็มศีรษะ
“กลุ่มหลักกลุ่มอื่นเป็นอย่างไร รีบว่ามา!” โอวหยางหลิงพลันสังหรณ์ร้าย
“จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวเลยขอรับ…” ผู้ช่วยตอบเบาๆ
โอวหยางหลิงหน้าเขียวคล้ำ กลุ่มตัวอักษรเลขสิบอันเป็นกลุ่มสุดท้ายคือขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดที่รวบร่วมได้บนดาวภูผาเขียวแล้ว แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นน ก็ยังคง…
“กำลังหนุนจากสำนักใหญ่เล่า…” เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะถามเสียงแหบพร่า
“ยังมาไม่ถึงขอรับ…”
“บัดซบ!” แม่ทัพใหญ่คนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างอดทุบกำปั้นใส่ผนังโลหะไม่ได้
“ราชาดาว ทุ่มกำลังเลยเถอะ!”
“ใช่แล้ว วัดกับพวกมันไปเลย! ไม่เช่นนั้นพวกเราจะไม่เหลือแรงทำศึกสุดท้ายอีกแล้วนะขอรับ”
“ฆ่าเลย! ก่อนตายต้องฆ่าให้พอ!”
แม่ทัพและขุนนางบุ๋นหลายคนส่งเสียงอย่างโกรธเกรี้ยว
โอวหยางหลิงเจ็บปวดรวดร้าว ดาวเคราะห์ใหญ่ๆ ใช้วิธีการดูแลด้วยราชวงศ์แบบวงศ์ตระกูล เขาโอวหยางหลิงบริหารดาวภูผาเขียวมาหลายหมื่นปี แต่การสั่งสมเป็นเวลาหลายหมื่นปีกลับหมดสิ้นเพียงในเวลาไม่กี่ปีสั้นๆ
ตูม!
อยู่ๆ สถานีอวกาศก็สั่นสะเทือน สถานีอวกาศที่บรรจุคนได้หลายหมื่นคนเหมือนถูกมือยักษ์จับเอาไว้
ส่วนคมกระบี่ที่อยู่หน้าสุดของสถานีอวกาศเริ่มบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปร่างและเกิดการแตกหักจำนวนมาก
“หัตถ์แห่งความว่างเปล่า!” โอวหยางหลิงตั้งหลักและยกฝ่ามือที่มีดวงตาสีทองข้างหนึ่งขึ้น
ดวงตายิงแสงสีทองทะลุกำแพงออกไปปะทะกับมือยักษ์ไร้รูปร่างที่กำลังบิดสถานีอวกาศอย่างรุนแรง
ตูม!
มือใหญ่สั่นไหว ถูกกระแทกจนต้องปล่อยมือ
พวกโอวหยางหลิงรู้ว่าถ่วงเวลาไม่ได้แล้ว จึงพากันโถมตัวออกจากห้องควบคุมหลักและร่วมมือกัน คลื่นพลังขนาดยักษ์ฉีกขาดมือใหญ่ในพริบตา ทุกคนพลันเข่นฆ่ากับแม่ทัพของมารดาแห่งความเจ็บปวดที่พุ่งมาจากด้านล่าง
เพิ่งจะปะทะกัน ทั้งสองฝ่ายก็ใช้พลังเกือบทั้งหมด
วงแสงหลากสีที่เล็กบ้างใหญ่บ้างระเบิดขึ้นจากการปะทะกันของพลังงานอันรุนแรง พลังงานจำนวนมากทำลายพายุอนุภาคพลังงานสูงขนาดเล็กๆ ที่พัดขึ้น และผสมเข้ากับพายุสุริยะ ย้อมความว่างเปล่าอันดำมืดรอบๆ เป็นสีรุ้งอ่อนๆ
ตูม!
อยู่ๆ ก็มีมือยักษ์ไร้รูปร่างข้างหนึ่งยื่นมาจากที่ไกลและตะปบเข้าหาสถานีอวกาศอีกครั้ง
ทว่าใบไม้สีเขียวมรกตกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังสถานีอวกาศ ทั้งยังปล่อยแสงสีเขียวเจิดจ้าออกมา ป้องกันไม่ให้มือใหญ่เข้าใกล้
“ข่งซา! เจ้านี่เอง!?” เห็นเงาคนสูงชะลูดในแสงสีเขียวพูดเสียงขรึมได้อย่างเลือนราง
“เซินหู เจ้าหายดีเร็วขนาดนี้เชียวหรือ” ด้านหลังมือใหญ่มีเสียงแหบพร่าของบุรุษที่ค่อนข้างแหลมดังมา
“ต่อให้ไม่หายดีก็รับมือเจ้าได้เหลือเฟือ!” เซินหูในแสงเขียวเยาะหยัน
ทั้งสองคุยกันไม่ถูกคอ พริบตาเดียวมือใหญ่กับแสงสีเขียวก็ปะทะกันอีกรอบ ความสามารถสองชนิดกระแทกกันหลายร้อยหลายพันหน ทุกๆ การปะทะทำให้มีอนุภาคพลังงานจำนวนมากกระจายออกมา แสงสีเขียวและสีดำหลายสายระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับพัดผู้บำเพ็ญสองฝั่งที่ยังสู้กันอยู่รอบๆ ออกไป
เพิ่งสู้กันได้ไม่กี่นาที ข่งซาก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ มือใหญ่สีดำสะกดแสงสีเขียวเอาไว้ราวกับจะบดขยี้ ขณะเดียวกันเขายังมีพลังเหลือพอไปช่วยลูกน้องโจมตีสถานีอวกาศเสียด้วย
“รู้ผลแล้ว!”
ข่งซาหัวเราะร่าขณะเห็นสถานีอวกาศบิดเบี้ยวอย่างรวดเร็วและใกล้จะพังทลายลง
อยู่ๆ แสงสีแดงก็สาดขึ้นบนแขนขวาของเขา สัญลักษณ์พิเศษที่เหมือนแมงมุมเรืองแสงเจิดจ้า
‘แย่แล้ว!’ ไม่ทันได้คิดมาก ข่งซาก็ตีลังกาไปด้านหลัง ออกห่างจากที่เดิมหลายพันหมี่
ในพริบตาที่เขาเพิ่งออกห่างจากที่เดิม มือขนาดมโหฬารสีเหลืองข้างหนึ่งก็ฉีกมิติแล้วมุดออกมาจากความว่างเปล่าเหนือสถานีอวกาศ ก่อนจะตะปบใส่ผู้บำเพ็ญที่เป็นจุดแสงสีดำจำนวนมาก
มือยักษ์ส่งแรงดึงดูดอันน่ากลัวออกมา ตรึงโครงสร้างมิติผืนใหญ่รอบๆ เอาไว้ ทำให้วิชาเคลื่อนย้ายทั้งหมดใช้งานไม่ได้พร้อมกัน
ข่งซาหลบทัน จากนั้นก็มองดูมือใหญ่ข้างนั้นยื่นเข้าไปในจุดแสงสีดำและบีบขยี้ราวกับแมลงตัวเล็กๆ
โผละๆๆ…
เสียงระเบิดเบาๆ นับไม่ถ้วนดังมา แค่ครู่เดียว ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายจากดาวปรภพก็ตกตายไปหลายร้อยคน
“ผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวง!” ข่งซาขนลุกขนพอง หมุนตัวหลบหนีโดยไม่คิดอันใดอีก
ต่อให้เขาจะเป็นขอบเขตลวงตา แตกต่างจากมายาพิศวงแค่ขั้นเดียว แต่ขอบเขตนี้ต่างกันราวฟ้ากับเหว ผู้บำเพ็ญขอบเขตมายานับไม่ถ้วนฝึกฝนจนตายก็ยังไม่อาจทะลวงเปลือกบางๆ ชั้นนี้ได้
พวกโอวหยางหลิงดั่งเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เหงื่อเปียกปอนทั่วร่างเพราะอารมณ์ที่เหวี่ยงไปมา มองดูผู้ใช้วิชาชั่วร้ายแห่งดาวปรภพจำนวนมากถูกมือใหญ่ขับไล่สังหาร ตอนนี้สถานการณ์กลับตาลปัตรในพริบตา พวกเขาต่างก็ตัวสั่นงันงก ผิวชาดิก งงงันอยู่ชั่วขณะ
จนกระทั่งมือใหญ่สีเหลืองระเบิดกลายเป็นกลุ่มควันสีเหลืองนับไม่ถ้วน แล้วรวมตัวกันเป็นเงาร่างของบุรุษในเสื้อคลุมสีขาวร่างกายสูงใหญ่กำยำ พวกเขาค่อยรู้สึกตัว พากันหมอบกราบกรานกลางความว่างเปล่า
“คำนับจอมมรรคา!”
ผู้บำเพ็ญแห่งดาวภูผาเขียวทั้งหมดคุกเข่าส่งเสียงสรรเสริญ
ลู่เซิ่งใส่ชุดคลุมสีขาว สวมกวนหยก กวาดตามองสนามรบเบื้องล่างด้วยสีหน้าสงบนิ่ง จากนั้นก็ยื่นมือชี้ออกไป แสงสีเหลืองมหาศาลพลันเบ่งบานขึ้นด้านหลัง
แสงสีเหลืองนับไม่ถ้วนสาดส่องรอบบริเวณ ปกคลุมร่างของผู้บำเพ็ญบนดาวภูผาเขียว ปราณแหล่งกำเนิดความเจ็บปวดสีเทาหลายสายในบาดแผลของพวกเขาถูกขับออกจากร่าง ทำให้อาการบาดเจ็บดีขึ้นไม่น้อย
ผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงถึงกับมาเยือนสนามรบระดับลวงตา หนำซ้ำยังเป็นผู้ยิ่งใหญ่คนใหม่ที่ไม่ใช่เจ้าสำนักและรองเจ้าสำนักสามคนของสำนักนทีครามอีก
ผู้บำเพ็ญสำนักนทีครามจำนวนมากพลันตื่นตระหนก
“ข้าชื่อชุ่นอิ่ง ฉายาจักรพรรดิมาร ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะทำหน้าที่คุ้มครองดูแลระบบดาวปฐมทัศนา”
เสียงของลู่เซิ่งสั่นสะเทือนและถ่ายทอดไปถึงราชาดาวสิบห้าคนทั่วทั้งระบบดาวด้วยค่ายกลบนกวนหยก
แสงสว่างสีเหลืองกระจ่างสาดส่องสนามรบ เปลี่ยนอาณาเขตหลายสิบหมื่นกงหลี่ให้กลายเป็นอาณาเขตใต้การควบคุมของลู่เซิ่งทันที
เวลานี้พวกโอวหยางหลิงค่อยตอบสนอง พากันแสดงสีหน้าลิงโลด
ระบบดาวปฐมทัศนาเป็นชายแดนของสำนักนทีครามกับเจ้าแม่แห่งความเจ็บปวด และเป็นสถานที่ที่ทั้งสองฝ่ายเกิดการต่อสู้ขนาดย่อมๆ ถี่ที่สุด
ดาวภูผาเขียวในระบบดาวนี้คือจุดที่เกิดการต่อสู้รุนแรงที่สุด
ตอนแรกคิดว่าวันนี้คงปกป้องดาวภูผาเขียวเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว คาดไม่ถึงเลยว่า…
“รับบัญชาของจอมมรรคา!”
ผู้บำเพ็ญเพียรหลายพันคนของดาวภูผาเขียวชื่นชมยินดี เงยหน้าโห่ร้อง เสียงกึกก้องปานอัสนี
ลู่เซิ่งมองดูภาพตรงหน้าจิตใจสงบนิ่ง สิ่งนี้อยู่ในการคาดการณ์ของเขาอยู่แล้ว
แสงสีเหลืองด้านหลังเขาสาดส่อง ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายที่เหลือรอดมีควันลอยออกจากร่างเหมือนถูกราดน้ำกรด ไม่นานก็หลอมละลายกลายเป็นเมือกหลายหย่อมและระเหยหายไป
ระบบดาวปฐมทัศนาซึ่งเป็นแนวหน้ามีผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงมาคุ้มครอง ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วขุมกำลังแนวหน้าของมารดาแห่งความเจ็บปวดทันที
ผู้ใช้คันฉ่องวิญญาณข่งซาบาดเจ็บสาหัส ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายและผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องมากกว่าหมื่นใต้อาณัติถูกกวาดล้างจนสิ้น หลบหนีออกมาได้ไม่กี่สิบคนเท่านั้น
แสงวิญญาณอันเป็นความสามารถของผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงปกคลุมรอบๆ ดาวภูผาเขียวไว้แทบทั้งหมดชนิดไม่เหลือมุมอับ
ในอาณาเขตการสู้รบระหว่างสำนักนทีครามกับมารดาแห่งความเจ็บปวดจะเรียกผู้เข้มแข็งมายาพิศวงเป็นจอมมรรคา
ขอบเขตมายาพิศวงคือตัวตนอันแข็งแกร่งที่ฝึกจนเข้าใกล้มรรคา มายาพิศวงทุกคนต่างก็เป็นเส้นทางที่ตรงดิ่งสู่การฝึกฝนระดับสูงสุด
นี่คือระดับที่เปิดสำนักตั้งพรรคในความว่างเปล่าได้
ใช้เวลาแค่ครึ่งวัน ชื่อของชุ่นอิ่งจักรพรรดิมารก็ขจรขจายไปทั่วอาณาเขตขุมกำลังของสำนักนทีครามและมารดาแห่งความเจ็บปวด
ระบบดาวปฐมทัศนาเองก็ถูกแบ่งเป็นอาณาเขตใต้การคุ้มครองของจักรพรรดิมารชุ่นอิ่งเพราะสาเหตุนี้
ดาวภูผาเขียวกับดาวเคราะห์สองดวงที่อยู่รอบๆ ถูกสำนักนทีครามใช้ดึงลู่เซิ่งเข้าเป็นพวก โดยมอบให้เขาเป็นดินแดนสักการะเพื่อฝึกฝน
ดินแดนสักการะฝึกฝนที่ว่า หมายถึงการมอบทรัพยากรทั้งหมดที่ผลิตได้ในดาวเคราะห์เหล่านี้ให้ลู่เซิ่งฝึกฝน
เมื่อเป็นแบบนี้ แม้เปลือกนอกลู่เซิ่งจะไม่ได้มีอำนาจควบคุมเบ็ดเสร็จ แต่ความจริงดาวเคราะห์สามดวงนี้เทียบได้กับทรัพย์สินส่วนตัวของเขาแล้ว
……………………………………….