ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 741 จุดจบ (1)
บทที่ 741 จุดจบ (1)
ตูม
เสียงสายฟ้าดังขึ้นรอบๆ แสงพุทธะอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่นานก็ถูกรังสีแสงสีทองขับไล่จนหายไป
บนผืนดินของห้วงอเวจีชั้นที่เจ็ดสิบเอ็ด อสูรจำนวนมากถูกกองทัพพันธมิตรสามเผ่าโจมตี พวกมันมีจำนวนอยู่ในระดับหนึ่งล้าน ทว่าจำนวนของกองทัพพันธมิตรสามเผ่าที่ทะลักออกมาจากจุดข้ามมิติในสิบนาทีกลับมีมากกว่าล้านแล้ว
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเลือดลมอันมหาศาลกับรอยสักบนร่างพวกมัน พวกอสูรธรรมดาและอ่อนแอนี้ กองทัพพันธมิตรสามารถบดขยี้ใส่ได้โดยตรงแล้ว
ส่วนพวกที่แข็งแกร่งหน่อยก็ใช้ท่าแสงพุทธะสาดส่อง เลือดเนื้อร่างหลักของลู่เซิ่งกลืนกินทุกสิ่งอย่าง สามารถแก้ปัญหาได้เร็วรุดดุจสายฟ้าฟาด
หากมองจากด้านบนลงไป อสูรจำนวนมากกว่าล้านที่เหมือนกับผ้าม่านสีแดงดำผืนใหญ่กำลังถูกย้อมด้วยสีเหลืองและสีขาวจำนวนมาก
‘ใกล้แล้ว…’ ลู่เซิ่งยกมือขึ้นจับแขนซ้ายของตัวเอง
แคว่ก!
เกิดเสียงฉีกขาด เขากระชากเลือดเนื้อก้อนหนึ่งออกจากร่างหลักของตัวเอง นี่เป็นเลือดเนื้อของมังกรสีรุ้ง เพียงแต่มีเลือดเนื้อของร่างหลักปนอยู่ด้วยเท่านั้น
เขาใช้ประโยชน์จากจุดนี้ในการหลีกเลี่ยงการสะกดจากจิตธรรมชาติของจักรวาลแห่งนี้
ลู่เซิ่งค้นพบมานานแล้วว่า ถ้าตนซ่อนอยู่ใต้การห่อหุ้มของสิ่งมีชีวิตท้องถิ่น จะขัดขวางการสะกดจากจิตธรรมชาติของจักรวาลท้องถิ่นได้อย่างทรงประสิทธิภาพ
ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงใช้ประโยชน์จากจุดนี้และความสามารถหลอกลวงธรรมชาติ แบ่งร่างหลักของตัวเองออกเป็นเลือดเนื้อเล็กๆ หลายพันล้านชิ้น แล้วกระจายไปทั่วมิติหลัก ห้วงอเวจี และยมโลก
‘ต่อจากนี้ ควรเป็น…’
ฟ้าว!
ชั่วพริบตานั้นมีแสงสายฟ้าสีทองสายหนึ่งโจมตีมาจากด้านหลังลู่เซิ่ง แทงเข้าใส่ท้ายทอยของเขา
เขาสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เลือดเนื้อในมือกลับคืนสู่ร่างกาย ปีกโปร่งบางดุจปีกจักจั่นสีรุ้งคู่หนึ่งงอกขึ้นด้านหลังเขาและกระพือเบาๆ
ตูม!
พลังเวทธาตุจำนวนมากกลายเป็นเกราะป้องกันด้านหลังเขา ขณะเดียวกันก็มีเกราะป้องกันของจอมเวทระดับสูงที่ทำการปกป้องอัตโนมัติด้วย
เมื่อมีพลังอาวรณ์ที่อาวุธเทพจำนวนมากมอบให้คอยสนับสนุน ก่อนที่จะมายังห้วงอเวจี ลู่เซิ่งก็ได้เรียนรู้มนตราเก้าสิบเก้าชนิดทั้งหมดถึงระดับหนึ่งหมื่นแล้ว
เปรี้ยง!
แสงสายฟ้าสีทองกับเกราะป้องกันพลังเวทปะทะกันอย่างรุนแรง จากนั้นก็ดับสูญหายไปในพริบตา
“ใคร!” ลู่เซิ่งหันไปมองด้านหลัง
กลางอากาศ ก้อนเนื้อสีดำสนิทขนาดยักษ์กลุ่มหนึ่งลอยอยู่ห่างจากตัวเขาไม่ถึงพันเมตรตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
หนวดสีดำจำนวนมากโบกสะบัดอยู่รอบๆ ก้อนเนื้อ ทั้งยังมีหนามแหลมงอกอยู่เต็มไปหมดเหมือนกับเม่นทะเล
ระหว่างซอกของหนามแหลมบนผิวก้อนเนื้อมีดวงตาเล็กๆ สีม่วงจำนวนเหลือคณานับ ดวงตาที่มีริ้วเลือดทั้งหมดกลอกกลิ้งไปมาเหมือนคนเป็นโรคประสาท
“ร่างหลอมรวมอสูรหรือ” ลู่เซิ่งเคยได้ยินบริวารที่เป็นอสูรพูดถึงสิ่งมีชีวิตชนิดนี้มาก่อน นี่เป็นสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากการที่อสูรธรรมดามาหลอมรวมกัน มีพลังอยู่ในระดับตำนาน
“กำจัด…ผู้บุกรุก…” คาดไม่ถึงว่าก้อนเนื้อที่อยู่ไกลออกไปพองตัวช้าๆ พร้อมกับส่งเสียงพูดที่เหมือนกับเสียงฟ้าร้อง
ลู่เซิ่งสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลันพร้อมกับเบี่ยงตัวเล็กน้อย
ตูม!
ลำแสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งเฉียดตัวเขาไป
“รังสีทำลายล้างเหมันต์สมบูรณ์หรือ” ลู่เซิ่งเคยได้ยินถึงเวทมนตร์ระดับศักดิ์สิทธิ์ชนิดนี้มาก่อน แต่ก้อนเนื้อระดับตำนานแค่ก้อนเดียวกลับปล่อยเวทระดับนี้ออกมาได้เชียวหรือนี่
ลู่เซิ่งเข้าใจบางอย่างแล้ว
“ผลงานของจิตแห่งห้วงอเวจีหรือ” เขาย่อมป้องกันรังสีทำลายล้างเหมันต์สมบูรณ์ได้ แต่รังสีชนิดนี้เอาไว้ใช้กับโล่พลังเวทอย่างเกราะป้องกันจอมเวทโดยเฉพาะ หากหักล้างกันจริงๆ สัดส่วนแทบเป็นหนึ่งต่อห้าสิบ ไม่คุ้มเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นเขาเลยหมุนตัวหลบ
“บรรพตพุทธะตอบรับ!”
เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วหลอมรวมเข้ากับร่างพุทธะสีทองขนาดยักษ์ด้านหลังอย่างสมบูรณ์
หริณพุทธะขนาดมหึมายื่นมือตบไปด้านหน้าด้วยสีหน้าเมตตา
ฝ่ามือพุทธะสีทองขนาดยักษ์ใหญ่เท่ากับก้อนเนื้อ กดทับเข้าหาพร้อมกับแสงพุทธะสีทองมืดฟ้ามัวดิน
ฟ้าวๆๆๆ!
ทันใดนั้นหนวดทั้งหมดของก้อนเนื้อกลายเป็นมือใหญ่หลายข้าง ตะปบเข้าหาฝ่ามือพุทธะ ขณะเดียวกันดวงตานับไม่ถ้วนบนผิวของมันก็รวบรวมแสงสีม่วงอย่างคลุ้มคลั่งและยิงลำแสงสีม่วงที่มีอานุภาพน่ากลัวสายหนึ่งออกมาอีกครั้ง
นี่เป็นร่างจิตอันยิ่งใหญ่ที่เกิดจากการที่จิตแห่งห้วงอเวจีหลอมรวมอสูรหลายแสนตัวเข้าด้วยกัน ในนี้ถึงขั้นมีจอมอสูรห้วงอเวจีระดับกึ่งเทพถึงสองตน
สัตว์ประหลาดตัวนี้มีอานุภาพไม่ด้อยไปกว่าเทพระดับกลางแล้ว
นี่เป็นขีดจำกัดทางพลังที่ห้วงอเวจีชั้นนี้จะสำแดงออกมาได้แล้ว
เกิดเสียงดังครืนครัน
ฝ่ามือพุทธะกับหนวดลำแสงปะทะกัน ทั้งสองฝ่ายส่งเสียงระเบิดปานอัสนีบาต หนวดนับไม่ถ้วนขาดสะบั้น แสงสีม่วงระเบิดเป็นจุดแสงสีม่วงจำนวนมากก่อนกระจัดกระจาย
ฝ่ามือพุทธะชะงักเล็กน้อย ถึงกับถูกกระแทกถอยหลังไประยะหนึ่ง
“ลงมือ!”
แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน เงาร่างหลายสายปรากฏขึ้นรอบๆ
เงาคนเหล่านี้ต่างคลุมแสงขาวซึ่งเป็นพลังเทพศักดิ์สิทธิ์ไว้บนร่าง มีเสียงร้องเพลงขับขานดังมาจากกลางประกายแสง เป็นเทพทั้งหมด
เงาคนสองสายที่แข็งแกร่งที่สุดลอยๆ จมๆ อยู่กลางแสงเทพ เงาหนึ่งในนี้มีธารน้ำแข็งและเกล็ดหิมะนับไม่ถ้วนรวมอยู่รอบๆ ตัว
วังวนท้องทะเลขนาดยักษ์ที่พร่ามัวปรากฏรอบๆ ตัวเงาอีกสาย ให้ความรู้สึกล้ำลึกไร้ขอบเขต
“ม่านสวรรค์แห่งความสิ้นหวัง”
ทุกคนยกมือขึ้นพร้อมกัน แสงเทพด้านหลังขยับขยายออกไป แล้วผสมกันกลายเป็นแสงสีรุ้งผืนหนึ่ง ครอบคลุมหริณพุทธะที่อยู่ตรงกลางไว้อย่างสมบูรณ์
“ร่วมมือสุดกำลัง!” ราห์หรือเทพองค์หลักแห่งระบบเทพน้ำแข็งส่งเสียง
“สำเร็จล้มเหลวขึ้นอยู่กับครั้งนี้แล้ว!” เบอรอนเทพองค์หลักแห่งระบบเทพสมุทรหวดแส้คริสตัลสีน้ำเงินออกไปเช่นกัน
“สกัดกลืนกิน”
เขาชักนำให้แสงสีรุ้งทั้งหมดขย้ำแสงพุทธะสีทองบนร่างหริณพุทธะอย่างบ้าคลั่งเหมือนสิ่งมีชีวิต
ลู่เซิ่งที่ลอยอยู่ในร่างหริณพุทธะกวาดตามองรอบๆ
“ระบบเทพสองสายร่วมมือกับห้วงอเวจีหรือ น่าสนใจ แต่พวกเจ้าคิดว่าอาศัยแค่ร่างแปลงไม่กี่ร่างกับภาพจิตของห้วงอเวจีจะรุมสังหารข้าได้จริงๆ หรือ”
เขากางสองแขนออก มนตราคาถาเทพเก้าสิบเก้าชนิดในร่างโคจรสุดกำลัง
ตอนนี้มนตราอันน่ากลัวเก้าสิบเก้าชนิดที่ได้รับการพัฒนาถึงขั้นที่หนึ่งหมื่นกลายเป็นก้อนแสงสีแดงเข้มเก้าสิบเก้ากลุ่ม พุ่งออกจากในร่างเขาและวนเวียนรอบตัวเขาด้วยความเร็วสูง
“เป็นไปได้อย่างไร!?”
พวกราห์ผุดสีหน้าเคร่งเครียด พวกเขาได้ขจัดพลังแห่งธาตุทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ไปจนหมดสิ้นแล้วแท้ๆ ยังมีจิตแห่งห้วงอเวจีคอยร่วมมือสะกดอีกแรง แต่ลู่เซิ่งเอาพลังแห่งธาตุและพลังแห่งมนตราที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาจากไหนกัน!
ทว่าตอนนี้เหมือนพาดลูกศรบนสายแล้วจึงไม่อาจไม่ยิง พลังเทพของพวกเขารวมตัวกับพลังแห่งห้วงอเวจีของจิตแห่งห้วงอเวจี กลายเป็นสิ่งมีชีวิตแสงรุ้งขนาดยักษ์ที่มโหฬารและบิดเบี้ยว กลืนกินหริณพุทธะตัวโตที่อยู่ตรงกลาง
นี่เป็นสิ่งมีชีวิตอายุขัยสั้นที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเพื่อรับมือกับหริณพุทธะโดยเฉพาะ
ประโยชน์เพียงหนึ่งเดียวในการมีอยู่ของมันคือกินหริณพุทธะและทำลายราชาแห่งประกายรุ้ง
ตอนแรกแผนการนี้สมบูรณ์แบบมาก ทว่าหลังจากลู่เซิ่งปล่อยพลังแห่งมนตราที่แข็งแกร่งออกมาอย่างฉับพลัน เมื่อมนตราเก้าสิบเก้าชนิดที่แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อสายนั้นรวมตัวเป็นพลังงาน ต่อให้เป็นเหล่าเทพกับจิตแห่งห้วงอเวจีก็ไม่อาจมองข้ามได้
“รวม!”
ก้อนแสงสีแดงเข้มเก้าสิบเก้ากลุ่มวนเวียนรอบตัวลู่เซิ่งรอบหนึ่ง แล้วรวมตัวกันกลางฝ่ามือของเขาเหมือนหมื่นธารคืนสู่ทะเล
“หมื่นมนตรา ทำลายล้างในพริบตา!” กล้ามเนื้อทั่วร่างลู่เซิ่งขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว เสื้อคลุมบนร่างพองตัวพลิกกระพือ นัยน์ตาสองข้างสาดแสงสีเลือดที่แปลกประหลาดและโหดเหี้ยมออกมา
เขาใช้สองมือกดก้อนแสงไว้ทั้งบนล่าง แสงพุทธะจำนวนมากห่อหุ้มก้อนแสงสีแดงเข้มในมือไว้ด้านในอีกทีหนึ่ง
“ฟ้ามืดจุติ ชาโมโล!” นี่เป็นการลงมือสุดกำลังครั้งแรกหลังจากเขาสร้างเก้าสิบเก้ามนตราคาถาเทพขึ้น
ตอนที่มนตราระดับหนึ่งหมื่นเก้าสิบเก้าชนิดรวมตัวกัน ปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดขึ้นยิ่งอยู่เหนือจินตนาการ
ลู่เซิ่งผลักสองมือออกไปด้านหน้าอย่างฉับพลัน ก้อนแสงที่ขอบเป็นสีทองแกนเป็นสีแดงหายไปจากด้านหน้าเขา ตอนที่โผล่มาอีกครั้ง มันก็แยกออกเป็นสิบกว่าส่วนและโผล่ขึ้นด้านหน้าเทพกับก้อนเนื้อขนาดยักษ์ซึ่งกำลังรุมโจมตีเขา
ราห์สีหน้าเปลี่ยนแปลง พลังเทพทั่วร่างทะลักออกมากลายเป็นเกราะพลังเทพ หมายจะป้องกันก้อนเวทมนตร์สีทองอมแดงนี้
แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง ก้อนเวทมนตร์ก้อนนั้นเหมือนกับโผล่เข้ามาในเกราะพลังเวทของเขา แล้วกระแทกใส่ร่างเทพอย่างสะเทือนเลือนลั่น
ตูม!
กลีบดอกไม้สีแดงขอบทองที่สว่างไสวดอกหนึ่งระเบิดขึ้นบนท้องฟ้าของห้วงอเวจีชั้นที่เจ็ดสิบเอ็ดเกือบจะพร้อมกัน
ดอกไม้ขนาดยักษ์ที่มีขนาดหลายพันเมตรค่อยๆ เบ่งบาน คงอยู่ไม่กี่วินาทีก็เหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากดอกไม้เหี่ยวเฉา สัตว์ประหลาดประกายรุ้งขนาดยักษ์ที่ปกคลุมตัวหริณพุทธะอยู่ก็ถูกฉีกกระชากจนสลายหายไป ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย
ลู่เซิ่งลอยอยู่กลางอากาศ ร่างท่อนบนเปลือยเปล่า ปีกมังกรโปร่งแสงที่เป็นเอกลักษณ์ของมังกรสีรุ้งคู่หนึ่งกระพือช้าๆ อยู่บนหลัง
ก้อนแสงขนาดใหญ่ที่มีขอบเป็นสีทองแกนเป็นสีแดงก้อนหนึ่งบินฉวัดเฉวียนรอบตัวเขา สายฟ้าสีแดงชาดกะพริบระยิบระยับในดวงตาตลอดเวลา แม้ร่างจะไม่ได้กลับคืนเป็นร่างหลักที่มีขนาดโอฬาร แต่สภาพนี้เป็นสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดที่ยังคงอยู่ในลักษณะมนุษย์ เป็นสภาพหลังจากระเบิดมนตราคาถาเทพเก้าสิบเก้าชนิดออกมาสุดกำลัง
และกุญแจในการเปิดใช้สภาพนี้ก็คือกลไกพิเศษที่เขาใช้ภาษาภพสวรรค์เขียนขึ้น
‘หลังจากสร้างมนตราคาถาเทพขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เราใช้ความสามารถทั้งหมด น่าเสียดาย…’
ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ ร่างแปลงของเทพสิบกว่าองค์ ถึงขั้นยังรวมถึงเทพองค์หลักสององค์ และร่างผสมของจิตแห่งห้วงอเวจีที่ร้ายกาจ ต่างก็ดับสูญไปหมดสิ้นภายใต้การเบ่งบานของบุปผาสีทองอมแดงเมื่อครู่
เขาสัมผัสมิติรอบๆ อย่างตั้งใจ พลังเทพก็ดี พลังแห่งห้วงอเวจีก็ดี ทุกอย่างถูกพลังแห่งมนตราทำลายทิ้งกลายเป็นอนุภาคพลังงานระดับพื้นฐานกระจัดกระจายอยู่ในอากาศ ไม่เป็นการคุกคามได้อีก
‘เผลอนิดเดียวเราก็มาถึงระดับนี้แล้ว…’ ลู่เซิ่งสัมผัสพลังของมนตราคาถาเทพที่แทบจะไร้สิ้นสุดในตัว การสิ้นเปลืองอย่างมหาศาลเมื่อครู่กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วภายใต้พลังแห่งศรัทธานับไม่ถ้วน
พลังแห่งศรัทธาคือตัวมอบแหล่งพลังงานเหมือนยาสารพัดนึก แค่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็กลายเป็นพลังอันแข็งแกร่งในรูปแบบต่างๆ ได้
‘ธรรมชาติของพลังแห่งศรัทธาคือพลังแห่งจิตใจ พลังแห่งจิตใจสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานบริสุทธิ์ได้หลายชนิด นี่หมายความว่าแก่นสารของโลกใบนี้ใช้จิตเป็นหลักใช่ไหม’
ลู่เซิ่งพลันนึกถึงจุดนี้
“เทพของที่นี่ใช้พลังแห่งศรัทธารักษาการดำรงอยู่ของตัวเอง พวกเขาเหมือนเส้นเชื่อมระหว่างจิตใจและสสาร ซึ่งคอยเปลี่ยนแปลงพลังแห่งจิตเป็นพลังเทพหลากหลายรูปแบบ จากนั้นก็มอบคืนให้แก่สรรพสิ่งบนผืนดิน แม้โดยเปลือกนอกแล้ว เทพที่อยู่ที่นี่จะไปถึงสภาพมายาพิศวงได้ แต่แก่นสารของพลังในความเป็นจริงกลับพร่องมาก ระดับชั้นของพลังเทพที่พวกเขาพึ่งพาไม่ถือว่าสูง จึงรับมือการกัดกร่อนจากพลังของมารสวรรค์ขอบเขตมายาพิศวงไม่ได้โดยสิ้นเชิง”
พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมารสวรรค์มายาพิศวงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีสสารพลังงานแบบไหน แต่อยู่ที่จิตใจและปณิธานของพวกเขาต่างหาก
……………………………………….