ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 731 การเดินทาง (1)
บทที่ 731 การเดินทาง (1)
“ไม่เป็นไร ข้าเพิ่มของที่ใช้หล่อลื่นลงไปในคอเจ้าแล้ว” ลู่เซิ่งด้านหนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่พันปียากพบพานของพวกเรา จับเทพที่มีพลังเทพอ่อนแอได้ง่ายแบบนี้ จะไปหาได้ที่ไหนอีก” ลู่เซิ่งร่างหลักกล่าวพลางส่ายหน้า
“พอแล้วๆ ทุกคนเตรียมตัว”
ลู่เซิ่งทุกคนโอบล้อมรอบกระเรียนยักษ์พันเทวะ พร้อมกับเงยหน้าจ้องมองอาณาจักรเทพเซ่นสรวงที่อยู่บนศีรษะ
แม้อาณาจักรเทพจะอยู่ใกล้มิติหลัก แต่อย่างไรตัวมันก็อยู่กลางความว่างเปล่า เพียงแต่ฝังตัวอยู่กลางปริภูมิของมิติบนที่เป็นมิติหลักเท่านั้น
ทุกคนเตรียมตัวกันสักพัก อยู่ๆ อาณาจักรที่มีลักษณะเหมือนไข่ไก่บนศีรษะก็สั่นไหวเล็กน้อย
“มาแล้ว!”
กระเรียนยักษ์พันเทวะรีบอ้าปากปรับตำแหน่ง พลางจับจ้องอาณาจักรเทพเซ่นสรวงที่เริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
ครืน…
เกิดเสียงสะเทือนดังครืนส่งมาจากบนศีรษะเบาๆ
อาณาจักรเทพแห่งการเซ่นสรวงสีแพลตินัมหมุนวนช้าๆ จากนั้นก็ค่อยๆ ตกลงมาเหมือนกับดาวตก
พรุ่บ!
เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง อาณาจักรเทพตกเข้าไปในปากของกระเรียนยักษ์พันเทวะ
พลังกระชากและแรงกระแทกขนาดมหึมาชนใส่ร่างของพันเทวะอย่างรุนแรง
พันเทวะกระพือปีกอย่างบ้าคลั่ง เคลื่อนร่างไปด้านบนสุดกำลัง ลู่เซิ่งที่อยู่รอบๆ ก็พากันใช้วิชาเช่นกัน
เชือกมนตราที่หยาบใหญ่หลายเส้นตรึงพันเทวะไว้จากรอบๆ ด้าน ลู่เซิ่งทุกคนออกแรงลากกระเรียนยักษ์ไปด้านบนสุดกำลัง
“เร็ว! รีบเข้าไปเร็ว!” ลู่เซิ่งร่างหลักร้องตะโกน
ร่างลู่เซิ่งทั้งหมดพุ่งเข้าถีบใส่ด้านหลังอาณาจักรเทพอย่างแรง หมายจะกดมันเข้าไปในคอของพันเทวะ
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่
เอื๊อก!
อาณาจักรเทพถูกกลืนเข้าไปในท้องของพันเทวะแล้ว
มันเรอออกมาครั้งหนึ่ง ส่วนลู่เซิ่งทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็หลอมรวมเข้ากับร่างหลัก กลายเป็นหนึ่งเดียว
“ข้าต้องใช้เวลาย่อยสลายหน่อย ประมาณสามวัน แต่หลังจากเข้าท้องข้าไป คลื่นใดๆ ก็ไม่อาจส่งออกไปได้” พันเทวะอธิบาย
“ได้ ที่เหลือข้าจัดการเอง” ลู่เซิ่งร่างหลักพยักหน้า
…
อาณาจักรเทพแห่งการเซ่นสรวง
“สัมผัสได้แล้วหรือยัง ดูเหมือนจะเกิดเรื่องที่ไม่ดีมากๆ ขึ้นนะ” ความอึมครึมบนใบหน้าลู่เซิ่งได้เลือนหายไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยความสงบและรอยยิ้มเช่นตอนแรก
กลางวิหารบนอาณาจักรเทพ เทพแห่งการเซ่นสรวงมองแกนหลักของอาณาจักรเทพตรงหน้าอย่างอึ้งงัน แสงสีขาวที่เดิมเจิดจ้ากำลังถูกสีเทาขมุกขมัวปกคลุมอย่างช้าๆ
“เจ้า…เจ้า!” เสียงของเขากำลังสั่น เห็นได้ชัดว่าอาณาจักรเทพทั้งอาณาจักรของเขาถูกพลังงานอันน่ากลัวบางอย่างลากเข้าไปในมิติที่แปลกหน้าโดยสิ้นเชิง
“เอาเถอะ ในเมื่อสำเร็จแล้ว อย่างนั้นก็ลาก่อน” ลู่เซิ่งยิ้มพร้อมกับโบกมือไปยังทางเข้าของอาณาจักรเทพในโถงเซ่นสรวง ก่อนจะหมุนตัวออกจากโถงใหญ่
สีเทาที่เข้มข้นชั้นหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนออกมาจากทางเข้าอาณาจักรเทพสีแพลตินัมด้านหลัง สีเทานั้นคือสิ่งกีดขวางมิติของกระเรียนยักษ์พันเทวะ
พอลู่เซิ่งเดินออกจากโถงใหญ่ ก็ละลายกลายเป็นเนื้อขนาดหัวคนก้อนหนึ่งพุ่งสู่ฟากฟ้า ก่อนจะลอยไปยังท้องฟ้าราตรีที่มืดครึ้ม
ไม่ว่าเทพแห่งการเซ่นสรวงจะดิ้นรนอย่างไร แต่เมื่อเข้าไปในท้องของพันเทวะ คิดจะออกมาก็สายไปเสียแล้ว ทางเชื่อมของพิภพดาราก็หลุดเข้าไปในท้องด้วยเช่นกัน ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง ทางเชื่อมก็ถูกตัดขาดโดยตรง
กลางท้องฟ้าในราตรีมืดมิด ลู่เซิ่งบินสูงมากกว่าพันเมตร ยังได้ยินเสียงอึงอลที่ส่งมาจากในวิหารด้านล่างได้อย่างเลือนราง
พอของเหลวสีเทาที่ละลายออกมาร่วงหล่นลงพื้นก็หายไปในทันที
‘วิหารนี้มีส่วนหนึ่งเป็นของอาณาจักรเทพ เริ่มถูกย่อยสลายแล้วหรือ’ ลู่เซิ่งคาดเดา จากนั้นก็เร่งความเร็วบินข้ามเนิน ภูเขา และสายน้ำ
ในที่สุด เขาก็เจอร่างหลักบนหน้าผาที่อยู่ห่างจากเมืองแสงอรุณแค่ไม่กี่กิโลเมตร จากนั้นก็โฉบลงด้านล่าง
ก่อนจะหายเข้าไปในแขนของร่างหลัก
ลู่เซิ่งกำลังมองเมืองแสงอรุณที่อยู่ไกลออกไป นักฆ่าสตรีที่สวมเสื้อผ้าเนื้อบางสีดำกับเกราะสีดำคนหนึ่งติดตามอยู่ด้านหลัง
“เฌอมานน์ นิกายใหญ่มีการเคลื่อนไหวอะไรไหม” ลู่เซิ่งถามโดยไม่หันหลังกลับ การกินเทพแห่งการเซ่นสรวงเป็นงานหนึ่งที่เขาส่งร่างแยกไปจัดการเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน อสูรกับร่างแยกที่เขาส่งออกไป ก็แยกกันกลุ้มรุมเทพระดับล่างที่อ่อนแอในสถานที่สามแห่งเช่นกัน
เทพทั้งสามองค์แบ่งเป็น เทพแห่งการเซ่นสรวง เทพแห่งการทำสวน และเทพแห่งความริษยา
เทพแห่งการเซ่นสรวงเป็นเทพที่ตึงมือที่สุด เจ้าหมอนี้ถึงกับเชื่อมต่ออาณาจักรเทพเข้ากับก้นพิภพดารา ไม่รู้ว่าไปเอาความสามารถกับทักษะนี้มาจากไหน ในตอนที่เขาเตรียมจะตกตายร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย ก็ถูกความสามารถที่ลู่เซิ่งเตรียมการไว้ก่อนกินจนหมด
ไม่อย่างนั้นสุดท้ายก็เป็นไปได้ว่าทุกคนจะตายร่วมกันจริงๆ
“ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรค่ะ แต่สายลับที่ทางนิกายเงาลอบจัดการมีเยอะไปบ้าง นอกจากนี้ ทางเผ่ามังกรทองกับเผ่ามังกรนิลก็มีการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย ทางเผ่ามังกรทองกำลังแอบติดต่อกับคุณหนู ต้องการอาศัยสายเลือดของนางเปิดใช้มรดกของราชวงศ์ค่ะ” นักฆ่าหญิงเฌอมานน์ตอบเบาๆ
ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างพอใจ
เฌอมานน์เป็นหัวหน้าองค์กรนักฆ่าองค์กรหนึ่งที่เขาจับตัวได้ด้วยความบังเอิญ นางชำนาญทักษะการลอบสังหาร และเป็นผู้เข้มแข็งระดับตำนานขั้นสูงสุด ลู่เซิ่งไว้ชีวิตนางและใช้เป็นหัวหน้าหาข้อมูลใต้อาณัติของตัวเองเพราะรักชอบคนมีความสามารถ
จนถึงตอนนี้ ใช้งานได้คล่องมือมากทีเดียว
“นอกจากนี้ ได้ตรวจสอบตำแหน่งของอาวุธเทพชิ้นอื่นหรือยัง สิ่งที่ข้าต้องการคืออาวุธเทพโบราณ” ลู่เซิ่งเว้นเล็กน้อยก่อนจะถามต่อ
“ตรวจสอบหมดแล้วค่ะ นอกจากระบบเทพสองสายที่แข็งแกร่งที่สุด อาวุธที่อยู่ใกล้พวกเราที่สุดคือหอกวิญญาณสมุทรและกระบี่แห่งลาร์ส” เฌอมานน์ตอบอย่างรวดเร็ว
“หอกวิญญาณสมุทร…ระบบเทพสมุทรหรือ…ดี จะได้จัดการเรื่องมังกรสีรุ้งไปพร้อมกันด้วย” หลายวันมานี้ลู่เซิ่งได้ที่อยู่คร่าวๆ ของเผ่ามังกรสีรุ้งมาแล้ว แม้จะไม่ได้ละเอียดมาก แต่ก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเลยเหมือนในตอนแรก
“ให้แมนเนสคอยตามติดหงเย่ไว้ พวกเจ้าหยุดพักผ่อนก่อน อีกห้าวันพวกเราจะไปทะเลตะวันตกกัน”
“รับคำสั่ง!” เฌอมานน์ที่คุกเข่าข้างหนึ่งรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลายเป็นควันดำหายไป
ลู่เซิ่งมองเมืองแสงอรุณที่อยู่ไกลๆ เป็นครั้งสุดท้าย เมืองปราการที่เป็นของอาณาจักรเคนแห่งนี้ ปัจจุบันได้ตกเป็นดินแดนในการปกครองของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว
การเข้าออกของนิกายทุกนิกายและขุมกำลังที่มีขนาดใหญ่ล้วนปกปิดเขาไม่ได้
เขาลอยตัวขึ้น ก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง ประตูข้ามมิติบานหนึ่งพลันกางออกด้านหน้า แล้วลู่เซิ่งก็กระโดดเข้าไปด้านใน
ตอนที่โผล่มาอีกครั้ง เขาก็มายืนอยู่ด้านในโถงศิลาที่อยู่ตรงข้ามห้องทดลองใต้ดินบนดินแดนต้องสาปแล้ว
เดินออกจากโถงศิลา ลู่เซิ่งเปิดประตูศิลาทางซ้ายมือ ในประตูคืออุโมงค์สีดำแคบยาวที่สลักอักขระป้องกันจำนวนมากไว้เต็มไปหมด
ตัดผ่านอุโมงค์ ปลายทางคือประตูศิลาสีทองเหลืองขนาดมหึมาบานหนึ่ง สัตว์ประหลาดร่างสุนัขที่มีหัวเป็นงูนับไม่ถ้วนตัวหนึ่งหมอบอยู่หน้าประตู
สัตว์ประหลาดตัวนี้มีร่างเป็นสีทองเข้ม ตรงท้ายทอยมีงูพิษสีดำหนึ่งร้อยเอ็ดตัว พอเห็นลู่เซิ่งมา สัตว์ประหลาดก็ผุดลุกขึ้น เมื่อพบว่าเป็นลู่เซิ่ง ก็ส่งเสียงครวญครางหวาดกลัวเบาๆ
ลูเซิ่งไม่สนใจมัน หากแต่มองไปยังสัญลักษณ์บนประตูศิลาสีทองเหลือง นี่คือสลักลวดลายวงแหวนที่โคจรด้วยตัวเอง สลักบนนั้นจะเปลี่ยนแปลงเองทุกๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ไม่นานเขาก็นึกรหัสของวันนี้ออก จึงยื่นนิ้วไปแตะ หลังจากขีดวาดบนประตูศิลาอยู่หลายรอบ ไม่นานประตูศิลาก็ค่อยๆ แยกออกจากกันซ้ายขวา
ด้านในคือโถงใหญ่ทำจากหินที่มีขนาดไม่เล็กแห่งหนึ่ง
ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป ประตูศิลาด้านหลังปิดผนึกอย่างรวดเร็วพร้อมส่งเสียงทึบหนัก
เขาไม่ได้สนใจ หลังจากเข้าไปในโถงใหญ่แล้วก็เลี้ยวซ้าย แล้วมุดเข้าทางมืดๆ ที่ดูลึกลับแห่งหนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากทางมืด ปลายทางคือถ้ำที่เจาะช่องเป็นรูปครึ่งวงกลมแห่งหนึ่ง
แท่นบูชาเรียบง่ายสีดำสนิทเรืองแสงสีม่วงตั้งอยู่บนพื้นถ้ำ
คริสตัลเรืองแสงหลากสีสามก้อนที่มีหนามแหลมงอกอยู่เต็มไปหมดลอยอยู่เหนือแท่นบูชา เสียงขับขานบทเพลงที่เบาบางวนเวียนอยู่รอบๆ คริสตัลสามก้อน เพียงแต่เสียงเพลงแต่ละเสียงมีลักษณะแตกต่างกัน
“คุณสมบัติเทพสามก้อน…” ลู่เซิ่งโล่งอกขณะมองดูผลพลอยได้ตรงหน้า
เทพแห่งการเซ่นสรวง เทพแห่งการทำสวน เทพแห่งความริษยา คือคุณสมบัติเทพสามก้อนนี้
ลู่เซิ่งหรี่ตามองพร้อมกับเดินเข้าหา ก่อนจะเอื้อมมือไปจับคุณสมบัติเทพแห่งการทำสวน
‘คุณสมบัติเทพคือรูปแบบหนึ่งของตัวตนระดับสูง เหมือนเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจในการจัดการกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติส่วนหนึ่งซึ่งจักรวาลแห่งนี้มอบให้ ถ้าหากบอกว่าจักรวาลทั้งหมดเป็นอาณาจักรขนาดมหึมา อย่างนั้นคุณสมบัติเทพก็เทียบเท่ากับตำแหน่งเจ้าหน้าที่ที่ธรรมชาติแห่งจักรวาลมอบให้ ของสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับเรา’
เขาไม่คิดจะอยู่ในจักรวาลแห่งนี้นาน ดังนั้นต่อให้หาคุณสมบัติเทพไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่างไรอำนาจและตำแหน่งพวกนี้ก็ใช้ทำอะไรในจักรวาลของเขาไม่ได้
‘แต่เอามาทำความเข้าใจกฎเกณฑ์การทำงานของจักรวาลก็ไม่เลวเหมือนกัน’
เขาจับคุณสมบัติเทพการทำสวนไว้ แล้วค่อยๆ หลับตา จิตวิญญาณเริ่มล้วงลึกเข้าไปด้านใน และทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ทั้งหมดเกี่ยวกับการทำสวน
ด้านในโลกรูปจิตในเวลาเดียวกัน
ดอกไม้ใบหญ้าในสถานที่จำนวนมากที่เหมือนกับสวนดอกไม้กลางเมืองซึ่งเดิมทีแห้งเหี่ยว เริ่มพากันเจริญงอกงาม
ต้นไม้ใบหญ้าและดอกไม้มากมายในสภาพแวดล้อมรอบๆ เริ่มมีชีวิตชีวากว่าเดิม
ในคุณสมบัติเทพการทำสวนมีระบบจำแนกดูแลการเพาะปลูกดอกไม้ใบหญ้าอยู่มากมาย เทียบเท่ากับอาชีพที่ดูแลสวนทั้งหมด
ลู่เซิ่งเพียงแค่ทดลองดูในขั้นเบื้องต้นเท่านั้น แต่ดันดูดซับกฎเกณฑ์และความรู้อันมหาศาลเกี่ยวกับการทำสวนได้จากการทำงานของโลกใบนี้ทันที
ความว่างเปล่าทางด้านนี้ในโลกรูปจิตของเขาได้รับการเติมเต็มอย่างรวดเร็ว โลกรูปจิตดูสมจริงขึ้นกว่าเดิม
ลู่เซิ่งสัมผัสคุณสมบัติเทพการทำสวนอยู่สี่วัน แต่ก็ยังไม่อาจดูดซับข้อมูลและความรู้ที่ป้อนกลับมาจากการทำงานของโลกทั้งหมดได้
หากคิดที่จะย่อยสลายโดยสมบูรณ์ ลู่เซิ่งรู้สึกว่าอย่างน้อยตนเองต้องใช้เวลาหลายพันปีถึงจะพอเป็นไปได้
เขาจึงได้แต่ซ่อนคุณสมบัติเทพสามก้อนนี้ไว้ในท้องของพันเทวะด้วยความจนปัญญา
ถ้าหากย่อยสลายประโยชน์ของคุณสมบัติเทพสามก้อนนี้ได้โดยสมบูรณ์ เขารู้สึกว่าโลกรูปจิตของตัวเองจะต้องพัฒนาและก้าวขึ้นไปอีกระดับได้อย่างแน่นอน
ข้อมูลดั้งเดิมที่มาจากการทำงานของโลกแบบนี้ช่วยลู่เซิ่งปรับปรุงช่องโหว่ในโลกรูปจิตได้อย่างใหญ่หลวง ทำให้โลกทั้งใบสมจริงขึ้นกว่าเดิม
ภายหลังขอแค่ดูดซับพลังแห่งวัฏจักรในระดับหนึ่ง ก็จะสร้างความเสถียรให้แก่ระดับมายาพิศวงและยกระดับขอบเขตไปขั้นต่อไปได้
หลังจากดูดซับคุณสมบัติเทพแล้ว ลู่เซิ่งก็มาถึงอีกมุมหนึ่งของถ้ำ ตรงนั้นมีแผ่นสำริดจำนวนไม่น้อยวางอยู่บนโต๊ะหิน บนแผ่นสำริดสลักข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับมังกรสีรุ้งเอาไว้
ก่อนหน้านี้นิกายแสงสว่างและนิกายเงาเปิดศึกใหญ่ การศึกชุลมุนวุ่นวาย ลู่เซิ่งเองก็ยุ่งกับการตระเวนล่าเทพที่แท้จริงด้วยเช่นกัน
และในที่สุดทางเผ่ามังกรสีรุ้งก็มีข่าวใหม่
‘เทือกเขาเลือดสีชาด แดนศักดิ์สิทธิ์ของมังกรแดง ได้ส่งกลุ่มไล่ล่าออกไปร่วมมือกับซาดีนที่เป็นกึ่งเทพเพื่อล่ามังกรสีรุ้ง จนถึงตอนนี้ได้สังหารมังกรสีรุ้งไปสองตัวแล้ว’
……………………………………….