ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 992 มากกว่าผลประโยชน์
ตอนที่ 992 มากกว่าผลประโยชน์
แน่นอนว่าเย่เชียนไม่กลัวว่าคนขับแท็กซี่จะแพร่กระจายข่าวไปเพื่อให้หวังฉิงเซิงเตรียมพร้อมเพราะจะไม่มีใครเชื่อคำพูดของเย่เชียนอย่างแน่นอนและถึงแม้ว่าเขาจะเชื่อก็ตามแต่ถึงยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดีเพราะสำหรับเขาแล้วหวังฉิงเซิงนั้นแข็งแกร่งและทรงอิทธิพลอย่างมาก นอกจากนี้เฉินฉิงหนิวก็ลงมาจากบัลลังก์และพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วเพราะฉะนั้นในเมืองซีจิงแห่งนี้ไม่มีใครที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าหวังฉิงเซิงอีกแล้วและใครกันที่สามารถเผชิญหน้ากับหวังฉิงเซิงได้? ตามบันทึกในข้อมูลรายละเอียดเย่เชียนก็รู้ว่าหวังฉิงเซิงเป็นคนที่หยิ่งผยองและมั่นใจในตัวเองมากและในเวลานี้เขาจะยิ่งทำสิ่งที่ผิดกฎหมายมากยิ่งขึ้นไปอีกหลังจากกำจัดเฉินฉิงหนิวได้
ห้องส่วนVIPในสโมสรบลูสกายนั้นมีค่าบริการ 40,000 หยวนต่อคืนและนี่คือการบริการที่หรูหราที่สุดในเมืองซีจิงและยิ่งไปกว่านั้นคนที่มาที่นี่ล้วนเป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองซีจิงทั้งนั้น
ในเวลานี้หวังฉิงเซิงก็สามารถยืดหยัดได้อย่างมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะยิ้มแย้มอยู่ทั้งวัน ในเมื่อเฉินฉิงหนิวอยู่ในคุกก็ไม่มีใครสามารถเผชิญหน้ากับเขาได้อีกในอนาคต เขานั้นภาคภูมิใจอย่างมากเพราะถ้าเขาไม่ปีนกิ่งไม้สูงๆล่ะก็เขาจะมีวันนี้ได้อย่างไร? หลายปีที่ผ่านมาเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อเฉินฉิงหนิวและในที่สุดความปรารถนาของเขาก็สำเร็จแล้ว
ความเกลียดชังก็เหมือนความรักเพราะบางครั้งมันก็ไม่มีเหตุผล ถ้าหากต้องการจะพูดจริงๆเฉินฉิงหนิวก็ไม่ได้เลวร้ายเลยสำหรับหวังฉิงเซิงเพราะถ้าไม่มีเฉินฉิงหนิวล่ะก็คงจะไม่มีหวังฉิงเซิงในวันนี้อย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้หวังฉิงเซิงก็รู้สึกขอบคุณเฉินฉิงหนิวเล็กน้อยใจใจแต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาได้ยินข่าวลือและข่าวซุบซิบลับหลังเขาหลายครั้งโดยกล่าวกันว่าเขาเป็นเพียงสุนัขรับใช้ของเฉินฉิงหนิว ดังนั้นจึงทำให้ความเกลียดชังของเขาที่มีต่อเฉินฉิงหนิวมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
ฝั่งตรงข้ามของหวังฉิงเซิงมีชายวัยกลางคนสวมแว่นตาขอบทองคนหนึ่งแต่มีร่องรอยของความขุ่นเคืองในดวงตาของเขาและเขาคนนี้เป็นรักษาการผู้ว่าการคนใหม่ของคณะกรรมการพรรคเทศบาลของเมืองซีจิงเจิ้งอี้ซวนคนที่เคยถูกเฉินฉิงหนิวทำให้เขาต้องลงจากตำแหน่งผู้สมัครเลือกตั้งและหมดสิทธิ์เข้าสมัครถึงห้าปี เขานั้นเกลียดเฉินฉิงหนิวอย่างมากและเขาก็ได้รับความเดือดร้อนและยากลำบากอย่างมากในช่วงห้าปีที่ผ่านมาจนแทบรอไม่ไหวที่จะแก้แค้นเฉินฉิงหนิว ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินฉิงหนิวล่ะก็การเลือกตั้งผู้ว่าการเมื่อห้าปีที่แล้วก็คงจะเป็นเขาที่ชนะและเป็นผู้ว่าการเทศบาลไปแล้ว เขาทนทุกข์ทรมานจากความยากลำบากในช่วงห้าปีที่ผ่านมาและในที่สุดเขาก็ได้มาทวงสิ่งที่ควรจะเป็นของเขากลับมา
สิ่งแรกที่เขาต้องจัดการเมื่อมาถึงเมืองซีจิงก็คือการกำจัดเฉินฉิงนิวที่ทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานมาหลายปี เขานั้นรู้ดีกว่าเฉินฉิงหนิวนั้นทำสิ่งที่สกปรกมากมายกว่าเฉิงฉิงหนิวจะมีทุกวันนี้ได้ ซึ่งการที่เฉินฉิงหนิวขยายอำนาจอย่างไม่มีขอบเขตได้นั้นทุกคนต่างก็รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่เลวร้ายไม่มากก็น้อยและถึงแม้ว่าทุกคนจะชัดเจนกันอยู่แล้วแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่ดี
“แล้วที่เหลือเราจะทำยังไงกันต่อดี?” หวังฉิงเซิงพูด
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับประธานหวัง..ตอนนี้เราได้รวบรวมข้อมูลต่างๆและสิ่งที่เฉินฉิงหนิวเคยทำมาก่อนเพื่อโจมตีเขาอย่างหนัก..เราจะใช้ประโยชน์จากวีรกรรมเก่าๆของเฉินฉิงหนิวเพื่อโจมตีเขาเอง..นี่ก็ทำให้เขาติดคุกไปตลอดชีวิตแล้วและนอกจากนี้คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาส่วนใหญ่ก็ถูกปลดออกไปหมดแล้วเพราะงั้นเฉินฉิงหนิวจะไม่สามารถพลีกสถานการณ์กลับมาได้อีกแล้ว” เจิ้งอี้ซวนพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ครั้งนี้ผมสัญญากับประธานหวังเลยว่าเฉินฉิงหนิวจะจบสิ้นจริงๆและต่อให้เขาจะออกมาในอีกสิบหรือยี่สิบปีก็ตามแต่เมื่อเขาออกมาตอนนั้นเมืองซีจิงก็ไม่ใช่โลกของเขาอีกต่อไปแล้ว”
“ได้ยินแบบนี้ผมก็โล่งใจ..ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอแสดงความยินดีกับผู้ว่าการเจิ้งด้วย..ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการเมืองของคุณ” หวังฉิงเซิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้ว่าเจิ้ง..เมื่อถึงเวลาคุณถูกแต่งตั้งให้เข้าเป็นสมาชิกของคณะกรรมการประจำมณฑลอย่างแน่นอน”
“ผมเชื่อว่าวันนั้นจะมาถึงในเร็วๆนี้..ถึงยังไงตอนนี้สถานการณ์ก็เป็นไปอย่างราบรื่นและจะไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน” ครั้งหนึ่งเขาเคยล้มลงแต่แววตาแห่งความทะเยอทะยานที่ชัดเจนและมั่นใจในตัวเองอย่างแรงกล้าก็ไม่เคยหายไป ความทะเยอทะยานนั้นเป็นแรงผลักดันให้คนก้าวไปข้างหน้าและถ้าหากไม่มีความทะเยอทะยานล่ะก็เขาคงจะไม่สามารถทนได้ถึงทุกวันนี้ สำหรับทุกคนที่ไม่ต้องการปีนขึ้นมาบนยอดเขาก็ย่อมไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่มีปัญหาอยู่..นั่นคือบริษัทของเฉินฉิงหนิวที่ค่อนข้างจะยากนิดหน่อย..แต่ผู้ว่าการเจิ้งไม่ต้องกังวลไปเพราะผมรับรองเลยว่าภายในสามวันผมต้องยึดบริษัทของเฉินฉิงหนิวมาให้ได้” หวังฉิงเซิงพูดอย่างมั่นใจ “ในเมื่อไม่มีเฉินฉิงหนิวแล้วสิ่งต่างๆมันก็ง่ายมากและนั่นจะเป็นเงินในกระเป๋าของเราในที่สุด”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเจิ้งอี้ซวนก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดว่า “สิ่งต่างๆต้องเป็นไปตามที่ตกลงเอาไว้..อย่าลืมที่เราคุยกันเอาไว้ล่ะและคุณต้องชัดเจนด้วยเพราะผมเป็นคนจัดการเฉินฉิงหนิว..แบบนี้ผมก็ควรจะได้ส่วนแบ่งอย่างเหมาะสม..อย่าลืมไปล่ะก็ประวัติของคุณก็ไม่ได้ขาวสะอาดเลยเพราะงั้นอย่าคิดที่จะลับหลังผมก็แล้วกัน”
หวังฉิงเซิงก็มีความไม่พอใจในดวงตาของเขาจากนั้นเขาก็พูดว่า “ทำไมคุณถึงพูดเรื่องนี้ล่ะ..ผมยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องพึ่งพาผู้ว่าการเจิ้งเพราะงั้นคุณไว้วางใจได้เลย..ซึ่งหุ้น20%จากทั้งหมดจะเป็นของคุณ ”
“อี้สิบเปอร์เซ็นต์?” เจิ้งอี้ซวนหัวเราะด้วยความไม่พอใจแล้วพูดต่อ “ประธานหวังคุณล้อผมเล่นหรือเปล่า..คุณควรจะชัดเจนว่าถ้าคุณไม่มีผมล่ะก็คุณจะสามารถจัดการกับเฉินฉิงหนิวได้หรือเปล่า?”
หวังฉิงเซิงก็สาปแช่งเจิ้งอี้ซวนเพราะเขากำลังสูบเลือดสูบเนื้อตัวเขาด้วยความโลภ ซึ่งหุ้น 20% นั้นก็ไม่ใช่น้อยๆแต่ความจริงก็เป็นแบบนั้นเพราะถ้าไม่มีเจิ้งอี้ซวนมันก็ไม่ง่ายเลยที่จะกำจัดเฉินฉิงหนิว อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องพึ่งพาเจิ้งอี้ซวนและนอกจากนี้เงินก็สามารถหาได้อีกในอนาคตและเขาก็จะมีโอกาสทำเงินได้มากกว่าเดิมด้วยอิทธิพลและอำนาจของเขา จากนั้นหวังฉิงเซิงก็พูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นว่า “เมื่อไหร่ที่บริษัทของเฉินฉิงหนิวตกอยู่ในกำมือของผมแล้วคุณจะได้รับหุ้นครึ่งหนึ่งของทั้งหมด..หลังจากนั้นผมยังมีอีกหลายๆอย่างที่ต้องพึ่งพาผู้ว่าเจิ้งและผมก็หวังว่าผู้ว่าเจิ้งจะช่วยผมได้”
บางครั้งและในบางกรณีเราก็ต้องละทิ้งความเป็นปรปักษ์และความไม่พอใจออกไปเพราะเมื่อเผชิญกับศัตรูและผลประโยชน์ร่วมกันเราก็ต้องเลือกที่จะกำจัดศัตรูก่อนแล้วค่อยคว้าโอกาสใหม่ๆ ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญมากนักเพราะมันคือความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์เท่านั้น
เมื่อได้ยินแบบนั้นเจิ้งอี้ซวนก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจแล้วพูดว่า “อย่ากังวลไปเลยเพราะรัฐบาลจะมีแผนการปรับเปลี่ยนนโยบายของเมืองและนั่นคุณจะมีส่วนในเรื่องนี้”
“นี่คือการติดสินบนหรือเปล่า?” เมื่อเสียงนั้นจบลงเย่เชียนก็ผลักประตูเข้าไปและคีบบุหรี่ออกจากปาก
ในเวลานี้เจิ้งอี้ซวนและหวังฉิงเซิงก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ซึ่งหวังฉิงเซิงเคยพบเย่เชียนมาก่อนหน้านี้แล้วเพราะเขาจะจำคนที่ทำให้ลูกชายของเขาพิการไม่ได้ได้ยังไง? เดิมทีหลังจากกำจัดเฉินฉิงหนิวแล้วเป้าหมายต่อไปของเขาก็คือเย่เชียนแต่ทว่าเรื่องของครั้งที่แล้วเย่เชียนทำให้เขาตกใจอย่างมากจนเขาไม่กล้าที่จะกระทำการโดยใดๆไม่ทราบรายละเอียดของเย่เชียน
เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไม่รู้จักเย่เชียนเพราะจู่ๆเย่เชียนก็ปรากฏตัวออกมาดังนั้นเขาจะไปรู้รายละเอียดของเย่เชียนได้อย่างไร?
“ขอรบกวนลุงๆทั้งสองด้วย” เย่เชียนฉีกยิ้มอย่างชั่วร้ายและเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นเขาก็หันไปมองเจิ้งอี้ซวนแล้วพูดว่า “หืม..คุณคือผู้ว่าเจิ้งอย่างงั้นเหรอ..ยินดีที่ได้พบครับ” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็ยื่นมือออกมาเพื่อจับมือกับเขา ส่วนหวังฉิงเซิงก็ถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์และไม่เข้าใจเจตนาของเย่เชียนเลยแม้แต่น้อย
เจิ้งอี้ซวนก็เพิกเฉยต่อเย่เชียนและยิ้มอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นแบบนั้นเย่เชียนก็ดึงมือที่ยื่นออกไปกลับมาแล้วมองไปที่หวังฉิงเซิงและพูดว่า “ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้ว่าผมมาที่นี่ทำไมใช่มั้ย?”
“เรื่องเฉินฉิงหนิวอย่างงั้นเหรอ?..ครั้งก่อนที่แกร้ายลูกชายของฉันจนเขาเป็นอัมพาตฉันยังไม่ได้จัดการกับแก..คราวนี้ฉันไม่ต้องเสียแรงไปหาแกแล้วสินะในเมื่อแกมาหาฉันถึงที่เอง” หวังฉิงเซิงพูดอย่างเย็นชา
เย่เชียนก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ผิดแล้ว..ผมไม่ได้มาที่นี่เพราะเรื่องของเฉินฉิงหนิวเพราะผมมาที่นี่เพื่อเตือนคุณ..ผมไม่ได้อยากจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของพวกคุณแต่คุณมาคุกคามแฟนของผมเพราะงั้นผมก็เลยจะมาเตือน”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหวังฉิงเซิงก็หัวเราะอย่างดูถูกเหยียดหยามแล้วพูดว่า “แกยังกล้าปากดีอยู่อีกเหรอ..วันนี้ฉันจะไม่ปล่อยให้แกกลับไปอย่างมีชีวิต”
เย่เชียนก็ยักไหล่แล้วพูดว่า “ถ้าคุณมีความสามารถมากพอก็ลองดูสิ..ในฐานะลูกผู้ชายแล้วผมจะไม่ปล่อยให้แฟนสาวของผมต้องทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้เป็นอันขาด..ที่จริงแล้วผมก็ไม่อยากที่จะทำแบบนี้หรอกเพราะงั้นผมมีสองทางเลือกที่จะให้คุณเลือก..อย่างแรกเรามาพูดคุยกันและตกลงกันดีๆด้วยเหตุผล..อย่างที่สองคือผมฆ่าคุณและทำลายความพยายามของคุณในหลายปีที่ผ่านมาจนหมด”
เย่เชียนมีท่าทางที่หยิ่งผยองและมั่นใจอย่างมากในเวลานี้
“ในทางกลับกันผมมีข้อมูลและประวัติเสียๆของคุณมากมายและรู้ไหมว่าผมส่งคุณเข้าคุกได้ตลอดเวลา”
หลังจากนั้นไม่นานเย่เชียนก็พูดต่อ “ถ้าคุณรับปากว่าจะไม่ยุ่งกับแฟนของผมและแม่ของเธออีกล่ะก็ผมจะกลับไปทันทีและผมจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับคุณอีกในอนาคต..คุณจะเอายังไง? ” ในขณะที่พูดเย่เชียนดึงมีดคลื่นโลหิตออกมาแล้วจ่อไปที่คอของหวังฉิงเซิงอย่างรวดเร็ว
.
.
.
.
.