ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 991 อดีตสุนัขรับใช้
ตอนที่ 991 อดีตสุนัขรับใช้
ในโลกวัตถุนิยมยุคนี้ผู้คนต่างก็ห้ำหั่นกันและแย่งกันปีนขึ้นไปสู่จุดสูงสุด แน่นอนว่าคนเหล่านี้มักจะเพิกเฉยต่อความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติของตนเองเพราะในโลกใบนี้ไม่มีคำว่าจริงใจหรือความซื่อสัตย์ในแวดวงนี้จริงๆ แน่นอนว่าคำพูดของเย่เชียนนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อก็ได้
เหมือนความรักของผู้หญิงที่ว่ากันว่าเงินซื้อไม่ได้ บางที 10,000 อาจจะซื้อไม่ได้แต่ถ้าเป็น 100,000 หรือ 1,000,000 ล่ะ? ไม่มีใครสามารถยืนยันสิ่งเหล่านี้ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความอ่อนแอทางจิตใจของมนุษย์
แน่นอนว่าหวังฉิงเซิงนั้นมีสิ่งตอบแทนให้กับหว่านเฟิงเช่นกันถ้าหากหวังฉิงเซิงสามารถครอบครองธุรกิจของเฉินฉิงหนิวได้ ในสมัยก่อนถ้าไม่ใช่เพราะเฉินฉิงหนิวเลื่อนตำแหน่งให้เขาล่ะก็เขาคงจะเป็นได้แค่ผู้จัดการร้านอาหารเท่านั้น ซึ่งเหมือนจะฟังดูดีแต่เมื่อเทียบกับผู้จัดการธุรกิจใหญ่ๆแล้วมันก็แตกต่างกันอย่างมาก สำหรับเฉินฉิงหนิวแล้วในใจของเขาหว่านเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความกตัญญู แต่ทว่าความกตัญญูก็ไม่สามารถใช้กินอยู่และประทังชีวิตได้ในยุคปัจจุบันและครอบครัวของเขายังคงต้องการการสนับสนุนและการเลี้ยงดูจากเขา ดังนั้นถ้าหากเขาล้มลงล่ะก็ครอบครัวของเขาก็จะลำบาก
คนที่ไต่เต้าขึ้นมาอาจรู้สึกว่าเป็นเพราะความสามารถของตัวเองและพวกเขาก็สนุกกับผลลัพธ์อย่างมากแต่ถ้าหากตกจากที่สูงอีกครั้งล่ะก็ความแตกต่างอันมหาศาลก็เพียงพอที่จะทำลายชีวิตของพวกเขาได้แล้ว สถานการณ์ในปัจจุบันเป็นสถานการณ์ที่ได้เปรียบเพียงฝ่ายเดียวอย่างสมบูรณ์และหว่านเฟิงก็ได้สอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนแล้วว่าเฉินฉิงหนิวจะไม่สามารถออกมาจากคุกได้อีก ซึ่งเขาต้องคำนึงถึงอนาคตของเขาในการเผชิญหน้ากับการถูกข่มขู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยิ่งไปกว่านั้นข้อเสนอของหวังฉิงเซิงก็น่าดึงดูดใจมากและเขาจะได้เป็นผู้บริหารในอนาคตและนั่นหมายความว่าอย่างไร? นี่หมายความว่าเขาไม่ใช่แค่ไม่สูญเสียอะไรเลยแต่ยังประสบความสำเร็จและก้าวหน้าอีกด้วย ส่วนแม่และลูกสาวทั้งสองอย่างหลี่ฉีกับหลี่ซือนั้นเขาก็ทำได้เพียงแสดงความเห็นอกเห็นใจเท่านั้น
ทุกวันนี้สุนัขรับใช้ดูเหมือนจะเติบใหญ่กลายเป็นเสือ ถ้าหากเลี้ยงสุนัขเอาไว้แล้วถ้าหากคุณทำให้มันไม่พอใจมันก็จะแว้งกัดเสมอ แน่นอนว่าหว่านเฟิงเองก็เลี้ยงสุนัขเอาไว้และเป็นพันธุ์ทิเบตันมาสทิฟที่เขาชอบลูบขนของมันอย่างอ่อนโยนเพราะเขาชอบสุนัขประเภทนี้ ที่ทั้งเลือดเย็นและมีแข็งแรงมากกว่าหมาป่าหลายเท่า
ในขณะนั้นชายหนุ่มก็เดินเข้าไปในบ้านของหว่านเฟิงอย่างช้าๆพร้อมกับบุหรี่ในปาก เขาไม่ได้แสดงท่าทางหยิ่งผยองและไม่มีเจตนาฆ่าใดๆแต่ทุกอย่างดูสงบและเงียบงัน อย่างไรก็ตามมันกลับมีแรงกดดันบางอย่างราวกับภูเขาที่ใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาจนหว่านเฟิงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
“คุณเป็นใคร” หว่านเฟิงถามอย่างระมัดระวัง
ชายหนุ่มก็นั่งยองๆอย่างช้าๆ ละสุนัขพันธุ์ทิเบตันจ้องมองมาที่เขาด้วยดวงตาที่หวาดกลัวและมีเสียงคำรามต่ำๆในลำคอของมันราวกับว่ามันเห็นอะไรบางอย่าง จากนั้นชายหนุ่มก็เอื้อมมือออกไปด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติแต่หว่านเฟิงก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสุนัขพันธุ์ทิเบตันกลับกลัวและถอยหนีด้วยดวงตาที่รับรู้ได้ถึงอันตรายและร่างกายของมันก็สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ในตอนนี้สุนัขพันธุ์ทิเบตันมาสทิฟแสนดุร้ายกลายเป็นแมวตัวใหญ่ที่ขี้กลัวไปอย่างสมบูรณ์แบบ
ชายหนุ่มลูบผมของทิเบตันมาสทิฟเบาๆ แล้วพูดว่า “ฉันชื่อเย่เฉียน ฉันถ่อมตัวและเจียมเนื้อเจียมตัว”
หว่านเฟิงก็ถึงกับผงะไปแล้วพูดว่า “เอ็งคือแฟนของหลี่ซือไม่ใช่เหรอแล้วเอ็งมาทำอะไรที่นี่?”
“แฟนของผมกำลังตกที่นั่งเดือดร้อนอยู่แต่คุณกลับเหยียบย่ำเธอกับแม่เพราะงั้นคุณจะให้ผมทำยังไง?” เย่เชียนพูดเบาๆ
“เฉินฉิงหนิวจบสิ้นแล้วเพราะงั้นฉันก็ต้องคิดเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองและนี่ก็คือธรรมชาติของมนุษย์ไม่ใช่เหรอ..เอ็งไปหาหวังฉิงเซิงเถอะเพราะเอ็งมาหาฉันมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร” เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใคร? สำหรับหว่านเซิงแล้วเย่เชียนเป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งอยู่ต่อหน้าเฉินฉิงหนิวและหวังฉิงเซิงเขาเป็นเหมือนกับสุนัขแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่หยิ่งผยองเมื่อมีใครมาคุกคามเขาแต่ทว่าต่อหน้าเย่เชียนแล้วเขากลับไม่มีความกล้าใดๆเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ฉีกยิ้มเบาๆแล้วพูดว่า “ผมไม่สนหรอกว่าใครจะทำอะไรแต่คุณได้สูญเสียความกล้าหาญของผู้ชายไปแล้วเพราะงั้นคุณก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่ต่อ”
หว่านเฟิงรู้สึกกลัวอย่างอธิบายไม่ถูกและก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัวแล้วมองไปที่เย่เชียนและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆว่า “แกจะทำอะไร?..แกกล้าฆ่าฉันงั้นเหรอ?”
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “อย่าพูดมาก..คุณคิดว่าชีวิตของคุณมีค่ามากขนาดนั้นเลยเหรอ?” ทันทีที่เขาพูดจบใบหน้าของเย่เชียนก็มืดมนลงทันทีและเขาก็ต่อยสุนัขพันธุ์ทิเบตันจนมันกระเด็นออกไป ซึ่งสุนัขทิเบตันมาสทิฟที่สามารถต่อสู้กับเสือได้กลับทำอะไรไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เชียนและมันก็กระเด็นออกไปด้วยพละกำลังมหาศาล
ฉากนี้ทำให้หว่านเฟิงตกใจอย่างมากจนตัวสั่นไปทั้งตัวโดยไม่พูดอะไรสักคำและมองไปยังเย่เชียนด้วยความสยดสยอง เมื่อมองไปที่ชายหนุ่มคนนี้เขาก็รู้สึกได้ถึงออร่าแห่งความตายจนเขาต้องการจะวิ่งหนีแต่ดูเหมือนเท้าของเขาจะถูกตอกติดกับพื้นและเขาไม่สามารถยกเท้าขึ้นได้เลย นี่คือแรงกดดันอันมหาศาลและเมื่อเผชิญกับเย่เชียนแล้วหว่านเซิงก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่น้อย
“สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดคือสุนัขที่แว้งกัดเจ้าของ..แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกผมจะไม่ฆ่าคุณเพราะฆ่าคุณไปมันก็ไม่ต่างจากการฆ่ามด..เพราะงั้นคุณกลับไปทำหน้าที่ของคุณให้ดีซะ..เดี๋ยวเฉินฉิงหนิวก็จะออกมาแล้ว..ผมขอเตือนคุณว่าอย่าคิดที่จะหลบหนีเพราะไม่ว่าคุณจะหนีไปที่ไหนผมก็จะตามล่าคุณไปทุกที่!” เย่เชียนพูด “ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูได้”
หวังเฟิงก็ถึงกับตกใจและความกลัวที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจก็ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมมันได้เลย เมื่อเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลของเย่เชียนแล้วเขาก็ไม่กล้าคิดที่จะหนีเลยจริงๆ ชายหนุ่มที่หยิ่งผยองและมั่นใจเช่นนี้ทำให้เขาอดคิดไม่ได้เลยว่าเฉินฉิงหนิวสมัยตอนที่หนุ่มๆจะเหมือนกับเย่เชียนคนนี้หรือเปล่า ดูเหมือนว่าคนที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จแบบนี้จะมีบางอย่างที่เหมือนกันและนั่นคือความมั่นใจในตัวเองในการถล่มภูเขาเผากระท่อมและความดุร้ายที่มองไม่เห็นที่สามารถกลืนกินความกล้าของผู้คนได้
คำบางคำก็ไม่มีความหมายหากใช้มากเกินไปแต่เย่เชียนก็เชื่อว่าหว่านเฟิงเป็นคนฉลาดและรู้ว่าอะไรถูกและอะไรผิด ถึงแม้ว่าเขาต้องการต่อต้านเขาจะรอจนกว่าการต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างเย่เชียนและหวังฉิงเซิงจะจบลงและดูว่าใครจะเป็นผู้ชนะนั่นเอง
เย่เชียนไม่ได้ฆ่าหว่านเฟิงเพราะมันไม่จำเป็นที่จะทำแบบนั้นเพราะเขาเป็นเพียงตัวหมากตัวเล็กๆและการฆ่าเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย เย่เชียนแค่อยากจะขู่เขาเพราะเวลาที่เฉินชิงหนิวอยู่ในคุกจะได้มีใครมาคอยดูแลธุรกิจของเขา สำหรับวิธีจัดการกับเขาเย่เชียนก็คิดว่าเฉินฉิงหนิวจะต้องตัดสินใจและหาทางออกได้อย่างแน่นอนเพราะนี่คือคนของเขาและเย่เชียนก็ควรจะมอบหน้าที่นี้ให้แก่เขา
เย่เชียนปล่อยหว่านเฟิงได้แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเย่เชียนจะปล่อยหวังฉิงเซิงไป ว่ากันว่าวังหวังฉิงเซิงนั้นเป็นผู้ทรงอิทธิพลของเมืองซีจิงและมีเครือข่ายมากมาย ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่อยากเข้าไปวุ่นวายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเย่เชียนกลัวเพียงแต่ว่าเขาไม่อยากที่จะเสียเวลากับอะไรไม่จำเป็นเพราะถ้าหากหวังฉิงเซิงไม่มาคุกคามเขาและคนรอบตัวเขาก่อนเย่เชียนก็แค่ปล่อยผ่านไปเท่านั้น
ก่อนที่เขาจะมาเย่เชียนได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับเฉินฉิงหนิวแล้วและเมื่อเย่เชียนรู้ตัวตนของเขาเย่เชียนก็รู้ว่าเขาไม่สามารถสวมบทบาทเป็นบอดี้การ์ดได้อีกต่อไปและมันไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตในการฆ่าแล้ว เย่เชียนนั้นรู้ด้วยว่าใบอนุญาตในการฆ่านี้ก็เป็นเพียงแผ่นกระดาษเพราะถ้าหากใช้อย่างสมเหตุสมผลล่ะก็มันก็เป็นเพียงกระดาษเปล่าๆเท่านั้น แน่นอนว่าเย่เชียนรู้ดีว่ามันควรใช้ในเวลาไหนและสถานการณ์ไหน
เมื่อออกจากบ้านของหว่างเฟิงแล้วเย่เชียนก็โบกแท็กซี่และตรงไปยังสโมสรบลูสกาย ระหว่างทางคนขับยังคงพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมืองซีจิงและถึงแม้ว่าจะดูเหมือนเรื่องธรรมดาสำหรับคนทั่วไปแล้วแต่การล่มสลายอย่างกะทันหันของอดีตราชาแห่งเมืองซีจิงอย่างเฉินฉิงหนิวนั้นก็ทำให้หลายคนต่างก็ถกเถียงกันถึงประเด็นนี้
เย่เชียนฟังอย่างเฉยเมยและไม่ได้พูดอะไรมากเพราะความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนนั้นมีอยู่ทุกที่ ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่สามารถไปเผชิญหน้ากับหวังฉิงเซิงและเฉินฉิงหนิวได้ก็ตามแต่พวกเขาก็สามารถพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างเพลิดเพลินและแม้กระทั่งการพูดเกินจริง ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าทั้งสองคนมีอิทธิพลต่อสังคมมากน้อยแค่ไหน
“หลานสาวของฉันเธอทำงานกับหวังฉิงเซิงและเธอก็บอกกับฉันว่าอีกไม่นานเฉินฉิงหนิวจะต้องลงจากบัลลังก์..บางทีโชคชะตาก็โหดร้ายนะเพราะจากคนที่อยู่จุดสูงสุดของเมืองซีจิงอย่างเฉินฉิงหนิวกลับกลายเป็นนักโทษที่ต้องใช้บั้นปลายชีวิตอยู่ในคุก” ดวงตาของคนขับเต็มไปด้วยความอิจฉาและไม่ว่า เพราะไม่ว่าเฉินฉิงหนิวจะเป็นอย่างไรในตอนนี้แต่ก็ไม่มีใครสามารถลบแสงอันแพรวพราวในอดีตของเขาได้และครั้งหนึ่งในชีวิตของเขาก็เคยอยู่บนจุดสูงสุดมาก่อน
เย่เชียนก็ยิ้มโดยไม่พูดอะไรแล้วรถก็หยุดที่ทางเข้าสโมสรบลูสกายอย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่เป็นสโมสรระดับสูงสุดเพียงแห่งเดียวในเมืองซีจิงและถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับสโมสรเจิดจรัสได้ก็ตามแต่นี่ก็เป็นสโมสรที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเมืองซีจิงแห่งนี้และเป็นธุรกิจที่หวังฉิงเซิงเป็นเจ้าของ!
รถแท็กซี่มาหยุดอยู่ที่หน้าสโมสรและเย่เชียนก็ลงจากรถ “คุณควรบอกให้หลานสาวของคุณหางานใหม่ให้เร็วที่สุดเพราะหวังฉิงเซิงจะอยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้” หลังจากนั้นเย่เชียนก็ก้าวออกไปและเดินไปที่สโมสรทันที
เมื่อมองเย่เชียนที่กำลังเดินจากไปคนขับแท็กซี่ก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและเขาก็ไม่กล้าที่จะสงสัยในสิ่งที่เย่เชียนพูดเลยแม้แต่น้อย
.
.
.
.
.
.